คำประกาศอิสรภาพสหรัฐ
คำประกาศอิสรภาพแห่งสหรัฐ (อังกฤษ: United States Declaration of Independence) เป็นคำแถลงการณ์ที่ถูกยอมรับโดยการประชุมของสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปครั้งที่สองในเมืองฟิลาเดลเฟีย เพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 คำประกาศดังกล่าวได้อธิบายว่า เหตุใดที่สิบสามอาณานิคมซึ่งทำสงครามกับราชอาณาจักรบริเตนใหญ่จึงได้ถือว่าพวกตนเป็นรัฐอธิปไตยเอกราชทั้งสิบสามรัฐ ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของบริติชอีกต่อไป[1] ด้วยคำประกาศนี้ รัฐใหม่เหล่านี้ได้เริ่มก้าวแรกร่วมกันในการก่อตั้งสหรัฐอเมริกา คำประกาศนี้ได้ถูกลงนามโดยผู้แทนจากนิวแฮมป์เชียร์ อ่าวแมสซาชูเซตส์ โรดไอแลนด์ คอนเนตทิคัต นิวยอร์ก นิวเจอร์ซีย์ เพนซิลเวเนีย แมริแลนด์ เดลาแวร์ เวอร์จิเนีย นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา และจอร์เจีย
การลงมติลีสำหรับเอกราชได้รับการอนุมัติโดยสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม โดยปราศจากเสียงคัดค้าน คณะกรรมทั้งห้าได้ร่างคำประกาศฉบับนี้ให้พร้อม เมื่อสภาคองเกรสได้ลงมติเพื่อเอกราช จอห์น แอดัมส์ ผู้นำในการผลักดันให้ได้รับเอกราช ได้ชักชวนให้คณะกรรมการคัดเลือกทอมัส เจฟเฟอร์สัน ในการจัดทำร่างต้นฉบับของเอกสาร[2] ซึ่งสภาคองเกรสได้แก้ไขเพื่อผลิตขึ้นเป็นฉบับสุดท้าย คำประกาศดังกล่าวเป็นการอธิบายอย่างเป็นทางการว่า เหตุใดที่สภาคองเกรสจึงลงมติในการประกาศเอกราชจากบริเตนใหญ่ มากกว่าหนึ่งปีหลังจากการปะทุขึ้นของสงครามปฏิวัติอเมริกา แอดัมส์ได้เขียนจดหมายไปถึงอาบิเกล ภรรยาของเขาว่า "วันที่สองของเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1776 จะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา"[3] - แม้ว่าวันประกาศอิสรภาพจะมีการเฉลิมฉลองในวันที่ 4 กรกฏาคม วันที่มีการใช้คำของคำประกาศอิสรภาพซึ่งได้รับการอนุมัติ
ภายหลังจากการให้สัตยาบันข้อความ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม สภาคองเกรสได้ออกคำประกาศอิสรภาพในรูปแบบต่าง ๆ ตอนแรกได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นเป็นดันแลป บรอดไซด์ที่ถูกพิมพ์ออกมาซึ่งได้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและสาธารณชนได้อ่านกันทั่วหน้า สำเนาต้นฉบับที่ถูกใช้สำหรับการตีพิมพ์ฉบับนี้ได้สูญหายและอาจจะเป็นสำเนาที่อยู่ในมือของทอมัส เจฟเฟอร์สัน[4] ร่างต้นฉบับของเจฟเฟอร์สันได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดรัฐสภา ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ถูกทำขึ้นโดยจอห์น แอดัมส์และเบนจามิน แฟรงคลิน เช่นเดียวกับบันทึกของเจฟเฟอร์สันได้ถูกเปลี่ยนแปลงที่ถูกทำขึ้นโดยสภาคองเกรส คำประกาศที่เป็นฉบับที่รู้จักกันดีที่สุดคือ สำเนาที่มีลายเซ็นต์ ซึ่งถูกจัดแสดงไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. และได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกสารทางการ สำเนาฉบับแบบคัดลายมือ(คัดลอกด้วยลายมืออันประณีตบรรจงและเสร็จสมบูรณ์) ซึ่งได้รับคำสั่งโดยสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม และถูกลงนามเป็นส่วนใหญ่ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม[5][6]
แหล่งที่มาและการตีความของคำประกาศฉบับนี้เป็นหัวข้อของการสืบสวนทางวิชาการมากมาย คำประกาศดังกล่าวได้ให้เหตุผลอันสมควรถึงความเป็นเอกราชของสหรัฐอเมริกาโดยการลงรายชื่อของอาณานิคมทั้งยี่สิบเจ็ดที่ไม่พอใจต่อพระเจ้าจอร์จที่ 3 และโดยการยืนยันสิทธิธรรมชาติ และสิทธิทางกฏหมายบางประการ รวมทั้งสิทธิการปฏิวัติ จุดประสงค์ดั้งเดิมเพื่อประกาศอิสรภาพ และการอ้างอิงถึงข้อความในคำประกาศนั้นมีน้อยในปีต่อมา อับราฮัม ลินคอล์นได้ทำให้มันกลายเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายและวาทศิลป์ของเขา ดังเช่นในการกล่าวคำปราศัยที่เกตตีสเบิร์ก(Gettysburg Address) ปี ค.ศ. 1863[7] นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลายเป็นคำแถลงการณ์ต่อสิทธิมนุษยชนที่เป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะประโยคที่สอง:
เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการเสาะแสวงหาความสุข
คำประกาศดังกล่าวฉบับนี้ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อรับประกันสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน และหากมันมีไว้สำหรับส่วนใดส่วนหนึ่งของบุคคลเพียงคนเดียว สภาคองเกรสคงจะปล่อยทิ้งไว้ให้กลายเป็น"สิทธิชาวอังกฤษ"[8] Stephen Lucas ได้เรียกว่า "หนึ่งในประโยคที่รู้จักกันดีมากที่สุดในภาษาอังกฤษ"[9] โดย Joseph Ellis ได้กล่าวว่า เป็น"ถ้อยคำที่ทรงพลังและผลสืบเนืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" ข้อความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานทางศีลธรรมซึ่งสหรัฐควรที่จะมุ่งมั่น มุมมองนี้ได้รับการส่งเสริมโดยลินคอล์นอย่างเห็นได้ชัดเจน ที่ยอมรับว่าคำประกาศฉบับนี้เป็นรากฐานของปรัชญาทางการเมืองของเขา และโต้แย้งว่าเป็นคำแถลงการณ์ของหลักการโดยรัฐธรรมนูญสหรัฐสมควรที่จะตีความ[10]
คำประกาศอิสรภาพเป็นแรงบันดาลใจให้กับเอกสารที่มีความคล้ายคลึงกันหลายฉบับในประเทศอื่น ๆ ฉบับแรกเป็นคำประกาศ ปี ค.ศ. 1789 ของสหรัฐเบลเยียมซึ่งได้ถูกประกาศในช่วงการปฏิวัติบราเดนท์ในเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบสำหรับคำประกาศอิสรภาพหลายฉบับมากมายในยุโรปและละตินอเมริกา ตลอดจนแอฟริกา(ไลบีเรีย) โอเชียเนีย(นิวซีแลนด์) ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19[11]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Wich, Scott (July 2021). "Lessons from the Nation's Founding". Management Report for Nonunion Organizations (ภาษาอังกฤษ). 44 (7): 3–4. doi:10.1002/mare.30723. ISSN 0745-4880.
- ↑ "Declaring Independence" เก็บถาวร พฤษภาคม 4, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Revolutionary War, Digital History, University of Houston. From Adams' notes: "Why will you not? You ought to do it." "I will not." "Why?" "Reasons enough." "What can be your reasons?" "Reason first, you are a Virginian, and a Virginian ought to appear at the head of this business. Reason second, I am obnoxious, suspected, and unpopular. You are very much otherwise. Reason third, you can write ten times better than I can." "Well," said Jefferson, "if you are decided, I will do as well as I can." "Very well. When you have drawn it up, we will have a meeting."
- ↑ "Letter from John Adams to Abigail Adams, 3 July 1776, "Had a Declaration..."". www.masshist.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2016. สืบค้นเมื่อ April 18, 2016.
- ↑ Boyd (1976), The Declaration of Independence: The Mystery of the Lost Original, p. 438.
- ↑ "Did You Know ... Independence Day Should Actually Be July 2?" (Press release). National Archives and Records Administration. June 1, 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 26, 2012. สืบค้นเมื่อ July 4, 2012.
- ↑ The Declaration of Independence: A History เก็บถาวร 2010-01-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The U.S. National Archives and Records Administration.
- ↑ Hirsch, David; Van Haften, Dan (2017). The ultimate guide to the Declaration of Independence (First ed.). El Dorado Hills, California. ISBN 978-1-61121-374-4. OCLC 990127604.
- ↑ Brown, Richard D. (2017). Self-evident truths : contesting equal rights from the Revolution to the Civil War. New Haven. ISBN 978-0-300-22762-8. OCLC 975419750.
- ↑ Stephen E. Lucas, "Justifying America: The Declaration of Independence as a Rhetorical Document", in Thomas W. Benson, ed., American Rhetoric: Context and Criticism, Carbondale, Illinois: Southern Illinois University Press, 1989, p. 85.
- ↑ McPherson, Second American Revolution, 126.
- ↑ Armitage, David (2007). The Declaration of Independence: A Global History. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. pp. 113–126. ISBN 978-0-674-02282-9.
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ: |