ชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข
"ชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข" (อังกฤษ: life, liberty and the pursuit of happiness) เป็นหนึ่งในวลีที่โด่งดังที่สุดในเอกสารคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา และบางส่วนยกย่องให้เป็นหนึ่งในประโยคที่ประดิษฐ์ขึ้นมาดีที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษ[1] มุมมองทั้งสามด้านนี้ถูกระบุไว้ว่าเป็น "สิทธิที่ไม่อาจโอนให้กันได้"
จุดกำเนิดและการถ่ายทอด
แก้ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 พระและนักปรัชญา ริชาร์ด คัมเบอร์แลนด์ (Richard Cumberland) เขียนขึ้นใน ค.ศ. 1672 โดยสนับสนุนว่าความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อนมนุษย์นั้นสำคัญต่อ "การเสาะแสวงหาความสุขของเราเอง" (pursuit of our own happiness)[2] จอห์น ล็อก เขียนใน A Letter Concerning Toleration ไว้ว่า "สิทธิส่วนบุคคลที่ผมเรียกว่า ชีวิต เสรีภาพ สุขภาพ และความเกียจคร้านทางกาย และการถือครองวัตถุนอกกาย..." ล็อกเขียนในผลงาน Essay Concerning Human Understanding ใน ค.ศ. 1693 ว่า "ความสมบูรณ์สูงสุดของธรรมชาติทางปัญญาอยู่ที่การแสวงหาความสุขที่แท้จริงและมั่นคงอย่างระมัดระวังและอย่างต่อเนื่อง"[3]
ล็อกไม่เคยเชื่อมโยงสิทธิธรรมชาติเข้ากับความสุข แต่ใน ค.ศ. 1693 ผู้ต่อต้านทางปรัชญาของล็อก ก็อทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ได้เชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันในผลงาน Codex Iuris Gentium[4] หนังสือ The Religion of Nature Delineated ใน ค.ศ. 1722 ของวิลเลียม วอลลาสตัน อธิบายถึง "นิยามที่ถูกต้องที่สุด" ของ "ศาสนาธรรมชาติ" ว่าเป็น "การแสวงหาความสุขโดยการปฏิบัติตามหลักเหตุผลและความจริง"[5] ในหนังสือแปลเป็นภาษาอังกฤษจากผลงาน Principles of Natural and Politic Law (หลักการกฎหมายธรรมชาติและการเมือง) ของ Jean Jacques Burlamaqui ใน ค.ศ. 1763 ยกย่อง "การแสวงหาอันสูงส่ง" ของ "ความสุขที่แท้จริงและมั่นคง"[6]
ในมาตราที่หนึ่งและที่สองของคำประกาศสิทธิรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งมีการลงมติยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์โดยการประชุมใหญ่ผู้แทนรัฐเวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1776 และเขียนขึ้นโดยจอร์จ เมสัน มีข้อความดังนี้
ที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีและอิสระเท่าเทียมกันตามธรรมชาติ และดำรงไว้ซึ่งสิทธิบางประการอยู่ในตัว ซึ่ง เมื่อพวกเขาเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของสังคม พวกเขาเหล่านี้ ไม่อาจ ไม่ว่าจะโดยวิธีการใด กีดกันหรือขจัดลูกหลานของพวกเขาไปได้ กล่าวคือ ความเพลิดเพลินในชีวิตและเสรีภาพ ด้วยความหมายของการได้มาและถือครองทรัพย์สิน การแสวงหาและการได้รับความสุขและความปลอดภัย
เบนจามิน แฟรงคลินเห็นด้วยกับโทมัส เจฟเฟอร์สันในสบประมาณการคุ้มครอง "ทรัพย์สิน" ว่าเป็นเป้าหมายของรัฐบาล มีบันทึกว่า แฟรงกลินเห็นว่าทรัพย์สินเป็น "สัตว์สังคม" และดังนั้น เขาจึงเชื่อว่าควรจะเรียกภาษีจากทรัพย์สินเป็นหนทางในการจัดหาเงินแก่ประชาสังคม[7] คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ร่างขึ้นโดยเจฟเฟอร์สัน ได้รับการลงติรับโดย สภาภาคพื้นทวีปที่สอง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ข้อความในส่วนที่สองของคำประกาศอิสรภาพปรากฏดังนี้
เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการเสาะแสวงหาความสุข
แนวการวิเคราะห์ที่แตกต่างออกไปว่าด้วยจุดกำเนิดของวลีนี้เสนอโดย แกรี่ วิลส์ ในหนังสือ Inventing America: Jefferson's Declaration of Independence[8] วิลส์แย้งว่า "การแสวงหาความสุข" นั้นไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินหรือความสุขส่วนบุคคล แต่เป็นความสุขของส่วนรวม เขาย้อนแนวคิดที่ว่าการแสวงหาความสุขของสาธารณะของรัฐบาลนั้นอยู่ในแนวคิดของสิทธิอันโอนให้แก่กันไม่ได้ของมนุษย์ของฟรานซิส ฮัทชีสัน มิใช่จอห์น ล็อก
อ้างอิง
แก้- ↑ "Lucas, Stephen E., "Justifying America: The Declaration of Independence as a Rhetorical Document," in Thomas W. Benson, ed., American Rhetoric: Context and Criticism (1989).
- ↑ Cumberland, Richard (2005). A Treatise of the Laws of Nature. Indianapolis: Liberty Fund. pp. 523–24.
- ↑ John Locke, Essay Concerning Human Understanding, Book 2, Chapter 21, Section 51
- ↑ Leibniz, Gottfried Wilhelm มันนิตรกับมันนาง (1978). Patrick Riley (บ.ก.). Leibniz: Political Writings. Cambridge. p. 171.
- ↑ Wollaston, William The Religion of Nature Delineated 1759 ed., p. 90
- ↑ Burlamaqui, Jean Jacques (2006). The Principles of Natural and Politic Law. Indianapolis. p. 31.
- ↑ Franklin, Benjamin (2006). Mark Skousen (บ.ก.). The Compleated Autobiography. Regnery Publishing. p. 413. ISBN 0895260336.
- ↑ Wills, Gerry (2002) [Copyright 1978]. Inventing America: Jefferson's Declaration of Independence. Mariner Books. ISBN 978-0-618-25776-8.