การท่องเที่ยวในประเทศมาดากัสการ์

แม้จะมีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยว แต่การท่องเที่ยวในประเทศมาดากัสการ์ก็ยังล้าหลัง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศมาดากัสการ์คือชายหาดกับความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นและป่าไม้ของเกาะนี้ต่างก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ[1] อย่างไรก็ตาม สถานที่ทางประวัติศาสตร์, ชุมชนช่างฝีมือ และเมืองพักผ่อน ต่างก็เป็นที่ชื่นชอบสำหรับนักท่องเที่ยวในการกลับมา

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

แก้

จากการที่เกาะมาดากัสการ์ได้เคลื่อนตัวแยกออกจากทวีปแอฟริกาเมื่อประมาณ 165 ล้านปีก่อน พืชและสัตว์เฉพาะถิ่นจึงมีวิวัฒนาการแยกออกไปจากผืนทวีปดังกล่าวตั้งแต่นั้นมา[2] เกาะนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก และมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติของจุดมุ่งหมายด้านการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับความหลากหลายทางชีวภาพและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมุ่งเน้นไปที่ลีเมอร์, นก และกล้วยไม้[3] มากกว่าครึ่งหนึ่งของเกาะเป็นพันธุ์นกที่เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น[2] ส่วนสัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองอื่น ๆ ได้แก่ ลีเมอร์ท้องแดง, อาย-อาย และอินดรี (สายพันธุ์ลีเมอร์ที่ใหญ่ที่สุด)[4]

หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะสังเกตเห็นอินดรี คือ เขตสงวนอนาลามาซาโอตรา (ยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เพรีเนต) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงโดยใช้เวลาเดินทางสี่ชั่วโมง[3] การปรากฏตัวของอินดรีได้ช่วยทำให้เขตสงวนอนาลามาซาโอตราเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของประเทศมาดากัสการ์[5]

สถานที่ทางประวัติศาสตร์สามารถพบได้ทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองหลวง เช่น พระบรมมหาราชวัง หรือโรวาในอันตานานารีโว หรือเนินเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของอัมโบฮีมังกาที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งทั้งสองได้รับเลือกเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางยอดนิยมจากอันตานานารีโวถึงโตลีอาราในภาคใต้ผ่านหลายเมืองที่มีชื่อเสียงสำหรับงานฝีมือ อาทิ อัมบาโทลัมพี (หล่ออะลูมิเนียม), แอนท์ไซราเบ (อัญมณี, งานเย็บปักถักร้อย, ของเล่น), อัมโบซิตรา (เครื่องไม้ประดับมุก) และเฟียนารันต์โซอา

จำนวนนักท่องเที่ยว

แก้
 
อันตานานารีโว เมืองหลวงของประเทศมาดากัสการ์

มีนักท่องเที่ยวมาเยือนประเทศมาดากัสการ์ 312,000 คนในปี ค.ศ. 1990 โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศมีการเติบโตในอัตราเฉลี่ย 11% ในแต่ละปี ซึ่ง 60% ของนักท่องเที่ยวเป็นชาวฝรั่งเศส[6] เป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศ รวมถึงเส้นทางการบิน[7] คนมีการศึกษาสูงต่างมีความสนใจในด้านพฤกษศาสตร์, ลีเมอร์,[7] นก[8] หรือประวัติศาสตร์ธรรมชาติของประเทศ ที่เป็นจุดสนใจของผู้มาเยือนส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะเดินทางมาในฐานะส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว และพักอยู่ในประเทศเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้ การท่องเที่ยวของประเทศมาดากัสการ์ส่วนใหญ่มีปริมาณต่ำ และมีค่าใช้จ่ายสูง[7]

ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 การท่องเที่ยวสามารถทำรายได้จากการส่งออกมากเป็นอันดับสองของประเทศ โดยมีรายได้ราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี[3] สำหรับ ค.ศ. 2007 การสนับสนุนการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของมาดากัสการ์ (ผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม) เป็นที่คาดกันว่าจะมีสัดส่วน 6.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และงาน 206,000 อัตรา (5.1% ของการจ้างงานทั้งหมด)[6]

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับความเสียหายในปลายปี ค.ศ. 2001 เนื่องจากวิกฤตทางการเมืองและตามมาด้วยภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวในปี ค.ศ. 2002 ได้ลดลง แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ได้ฟื้นตัวในภายหลังและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง[7] จำนวนสูงสุดของผู้เดินทางขาเข้าในประเทศมาดากัสการ์ได้รับการบันทึกในปี ค.ศ. 2008 โดยมีผู้เดินทางขาเข้า 375,000 คน แต่ในปี ค.ศ. 2009 วิกฤตทางการเมืองที่ยืดเยื้อได้ส่งผลกระทบต่อการเดินทางมาถึงของนักท่องเที่ยวอีกครั้ง โดยมีนักท่องเที่ยวเพียง 255,922 รายเดินเท้ามาในประเทศมาดากัสการ์ในปี ค.ศ. 2012 แต่ก็ยังคงเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวในปี ค.ศ. 2011 จำนวนนักท่องเที่ยวในปี ค.ศ. 2013 ยังคงน่าผิดหวังอีกครั้งด้วยจำนวนผู้เดินทางขาเข้า 198,816 ราย ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้ง ที่มีปัญหาด้านความปลอดภัยอย่างสะดุดตาในเกาะนูซีบี ระบอบการปกครองใหม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยหวังจะไปให้ถึงจำนวนขาเข้า 400,000 ราย

การพัฒนาการท่องเที่ยว

แก้

ประเทศมาดากัสการ์ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว[7] โดยประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามและแหล่งวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้สร้างโอกาสมากมายสำหรับการพัฒนาทั้งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวตามรีสอร์ท[6] แม้จะมีการเจริญเติบโต แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนี้ก็มีขนาดที่เล็กมาก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กกว่าของประเทศเซเชลส์และประเทศมอริเชียสที่เป็นเกาะใกล้เคียง รวมทั้งเป็นอุตสาหรรมที่เล็กที่สุดระหว่างหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย[7]

รัฐบาลมาดากัสการ์ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในฐานะกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจ[3] ที่มีผู้ยากจนอาศัยอยู่ในประเทศกว่า 70% การท่องเที่ยวนี้จึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิธีการลดความยากจนและให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันเป็นแหล่งรายได้แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และทางรัฐบาลหวังที่จะเพิ่มในส่วนนี้ ซึ่งยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนา โดยมีศักยภาพขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะเติบโตเป็นโครงสร้างปรับปรุงพื้นฐานของประเทศมาดากัสการ์

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวความท้าทายขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก การเดินทางและการท่องเที่ยวไม่มีความหลากหลาย, โครงสร้างพื้นฐานไม่ดี, ถนนปูทางไม่ดี และการเดินทางของสายการบินที่มีราคาแพงตลอดจนไม่น่าเชื่อถือ มีโรงแรมเพียงบางแห่งที่มีคุณภาพสูง และมีจำนวนน้อยกว่าที่ตรงตามมาตรฐานสากล[7] ซึ่งประเทศมาดากัสการ์มีโรงแรมประมาณ 550 แห่ง โดยมีประมาณ 110 แห่งที่ได้รับการจัดว่าอยู่ในระดับมาตรฐานสากล[6]

แอร์มาดากัสการ์ และแอร์ฟรานซ์เป็นผู้ครอบครองการเดินทางทางอากาศ ซึ่งเที่ยวบินมีราคาแพง โดยสถานะของประเทศในฐานะปลายทางระยะไกลมีราคาที่เพิ่มขึ้น[7]

อ้างอิง

แก้
  1. David Newsome, Susan A. Moore, Ross K. Dowling, 2001, Natural Area Tourism: Ecology, Impacts and Management, Channel View Publications, p.63
  2. 2.0 2.1 Sinclair, Ian; Olivier Langrand (2004). Birds of the Indian Ocean islands. Struik. p. 22. ISBN 1-86872-956-7.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Buckley, Ralf, Case Studies in Ecotourism, p.44
  4. Miller, Ronald Iving, 1994, Mapping the Diversity of Nature, p.41
  5. Mantadia National Park and Analamazaotra Special Reserve, Birdlife International
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 Tourism in OECD Countries 2008: Trends and Policies, p.64.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 Travel And Tourism in Madagascar, Euromonitor International
  8. On Madagascar, Hollywood, Like Evolution Itself, Barely Registers, New York Times.