การท่องเที่ยวในประเทศภูฏาน
การท่องเที่ยวในประเทศภูฏานเริ่มในปี ค.ศ. 1974 เมื่อรัฐบาลภูฏานพยายามที่จะยกระดับของรายได้และส่งเสริมวัฒนธรรมรวมถึงประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศสู่โลกภายนอก ซึ่งเป็นการเปิดประเทศบางแห่งให้แก่ชาวต่างชาติ ในปี ค.ศ. 1974 มีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมประเทศภูฏาน 287 คน ตั้งแต่นั้นมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศภูฏานได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,850 คน ในปี ค.ศ. 1992 แล้วเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 7,158 คนในปี ค.ศ. 1999 [1] ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 การท่องเที่ยวได้มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ประจำปีเกินกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้จะมีการเปิดประเทศให้แก่ชาวต่างชาติ แต่รัฐบาลก็ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้นักท่องเที่ยวจึงสามารถพบความเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงภูมิทัศน์และวัฒนธรรมที่สวยงามอย่างแท้จริง ดังนั้น พวกเขาจึงมีการจำกัดระดับของกิจกรรมการท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่ม โดยมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงกว่า กระทั่งปี ค.ศ. 1991 สมาคมการท่องเที่ยวประเทศภูฏาน (BTC) ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารกึ่งอิสระที่บริหารการเงินของตนเอง ได้ออกนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล[1] อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการทำสู่ภาคเอกชนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1991 เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนและกิจกรรม เป็นผลให้มีบริษัทท่องเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตกว่า 75 รายมาดำเนินงานในประเทศ[1] นักท่องเที่ยวทุกคน (กลุ่มหรือบุคคล) ต้องเดินทางโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า, ชำระเงินล่วงหน้า, จัดไกด์แพคเกจทัวร์ หรือโปรแกรมการเดินทางที่ออกแบบเอง โดยชาวต่างชาติส่วนใหญ่ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระในราชอาณาจักร ซึ่งการเตรียมการจะต้องทำผ่านผู้ประกอบการทัวร์อนุมัติอย่างเป็นทางการโดยตรงหรือผ่านตัวแทนในต่างประเทศ
จุดสำคัญที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวคือทิมพูซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศภูฏาน และในเมืองทางตะวันตกของพาโรซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศอินเดีย ส่วนวัดทักซัง (หรือเรียกในชื่อ"รังเสือ") เป็นอารามที่อยู่บนผา สามารถมองเห็นได้จากหุบเขาพาโร ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของประเทศ โดยวัดนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่ถ้ำภายในวัดยังมีพุทธเทพประดิษฐาน ตามตำนานกล่าวว่า เขาเป็นผู้นำพุทธศาสนามาเผยแพร่ที่ประเทศภูฏาน และทำการอดอาหารเป็นเวลา 90 วันในขณะที่เขาต่อสู้กับเหล่ามารที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ วัดแห่งนี้ยังคงได้รับความศรัทธาเป็นเวลากว่าพันปี กระนั้น ก็ยังเคยได้รับความเสียหายจากเพลิงลุกไหม้สองครั้งซึ่งได้รับการซ่อมแซมแล้ว ส่วนดรุคแอร์เป็นสายการบินปฏิบัติการเพียงรายเดียวในประเทศภูฏาน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ก็มีการให้บริการโดยภูฏานแอร์ไลน์ด้วยเช่นกัน[2]
ทั้งนี้ การขอวีซ่าไปยังประเทศภูฏานจะได้รับผ่านสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศบ้านเกิดเพียงแห่งเดียว
การมาเยือนแบ่งตามประเทศ แก้
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเยือนประเทศภูฏานในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มาจากประเทศต่อไปนี้ (นอกเหนือจากประเทศบังคลาเทศ, อินเดีย และมัลดีฟส์):[3][4]
อันดับ | ประเทศ | ค.ศ. 2013 | ค.ศ. 2015 |
---|---|---|---|
1 | จีน | 4,827 | 9,399 |
2 | สหรัฐ | 6,997 | 7,137 |
3 | ไทย | 3,527 | 3,778 |
4 | สหราชอาณาจักร | 2,309 | 2,958 |
6 | สิงคโปร์ | 2,051 | 2,587 |
5 | เยอรมนี | 2,770 | 2,498 |
7 | ญี่ปุ่น | 4,035 | 2,437 |
8 | ออสเตรเลีย | 2,062 | 1,833 |
9 | ฝรั่งเศส | 1,572 | 1,563 |
10 | มาเลเซีย | 2,054 | 1,546 |
อ้างอิง แก้
- ↑ 1.0 1.1 1.2 Dorji, Tandi. "Sustainability of Tourism in Bhutan" (PDF). Digital Himalaya. สืบค้นเมื่อ August 10, 2008.
- ↑ Ionides, Nicholas (9 April 2008). "Bhutan's Druk Air looks to expand". Airline Business. สืบค้นเมื่อ 2008-08-10.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-11-15. สืบค้นเมื่อ 2016-10-17.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-10-09. สืบค้นเมื่อ 2016-10-17.