ในการใช้งานทั่วไป เกลือ เป็นแร่ธาตุที่ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เป็นหลัก เมื่อใช้ในอาหาร โดยเฉพาะในรูปแบบเม็ด มักเรียกอย่างเป็นทางการว่า เกลือแกง เกลือในรูปของแร่ผลึกธรรมชาติเรียกว่าเกลือหิน หรือ ฮาไลต์ เกลือมีความจำเป็นต่อชีวิต (โดยเป็นแหล่งที่มาของแร่ธาตุสำคัญ อย่างโซเดียม และ คลอรีน) นอกจากนี้ ความเค็ม ยังเป็นหนึ่งในรสชาติพื้นฐานของมนุษย์ เกลือเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสที่เก่าแก่และแพร่หลายที่สุด ทั้งยังช่วยปรับปรุงการรับรู้รสชาติของอาหารได้อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่อาหารที่ไม่น่ารับประทาน[1] การใส่เกลือ การแช่น้ำเกลือ และ การดอง ถือเป็นวิธีถนอมอาหารที่สำคัญและมีมาตั้งแต่โบราณ

เกลือหิน (ฮาไลต์)

หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดบางส่วนของการแปรรูปเกลือมีอายุราว 6,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยผู้คนในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียต้มน้ำพุเพื่อสกัดเกลือ ขณะที่โรงงานผลิตเกลือในประเทศจีนก็มีอายุใกล้เคียงกัน[2] เกลือได้รับการยกย่องจากชาวฮีบรู กรีก โรมัน ไบแซนไทน์ ฮิตไทต์ อียิปต์ และ อินเดีย ในสมัยโบราณ และเป็นสินค้าทางการค้า ที่สำคัญ โดยถูกขนส่งทางเรือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตามถนนเกลือที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ และผ่านทะเลทรายซาฮารา ด้วย คาราวานอูฐ ความขาดแคลนและความจำเป็นของเกลือทำให้หลายประเทศทำสงครามแย่งชิง และใช้เกลือเป็นแหล่งรายได้จากภาษี ตัวอย่างเช่น สงครามเกลือเอลพาโซที่เกิดขึ้นในเอลพาโซในช่วงปลายปี 1860[3] นอกจากนี้ เกลือยังถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประเพณีอื่น ๆ อีกมากมาย

เกลือได้มาจากเหมืองเกลือ และกระบวนการระเหยน้ำทะเล (เกลือทะเล) หรือ น้ำพุแร่ที่อุดมด้วยแร่ธาตุในบ่อระเหยตื้น ๆ การใช้เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ที่สำคัญที่สุดคือเป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมี[4] เกลือถูกใช้ในการผลิตโซดาไฟ และคลอรีน รวมถึงการผลิตโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) พลาสติก และเยื่อกระดาษ จากการผลิตเกลือทั่วโลกปีละประมาณ 300 ล้านตัน มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้เพื่อการบริโภคของมนุษย์ ส่วนที่เหลือใช้ในกระบวนการปรับสภาพน้ำ การละลายน้ำแข็งบนทางหลวง และการเกษตร[5][6] เกลือที่ใช้บริโภคมีหลายรูปแบบ เช่น เกลือทะเล และ เกลือแกง ซึ่งมักมีสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน และอาจมีการเติมไอโอดีนเพื่อป้องกันภาวะขาดไอโอดีน นอกจากใช้ในการปรุงอาหารและโรยบนโต๊ะอาหารแล้ว เกลือยังเป็นส่วนประกอบในอาหารแปรรูปหลายชนิด

โซเดียม เป็น องค์ประกอบสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์ โดยทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ และตัวควบคุมสมดุลออสโมซิส[7][8][9] อย่างไรก็ตาม การบริโภคเกลือมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง ผลกระทบของเกลือต่อสุขภาพได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ดังนั้นสมาคมสุขภาพโลกและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในประเทศพัฒนาแล้วจึงแนะนำให้ลดการบริโภคอาหารรสเค็มยอดนิยม[9][10] องค์การอนามัยโลก แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคโซเดียมน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 5 กรัม[11] [12]

ประวัติศาสตร์

แก้
 
การผลิตเกลือใน ฮัลเลอ แซกโซนี-อันฮัลท์ (1670)
 
บ่อน้ำใกล้ เมืองมาราส ประเทศเปรู เป็นแหล่งน้ำจากน้ำพุแร่และใช้ในการผลิตเกลือมาตั้งแต่ สมัยก่อนอินคา

ตลอดประวัติศาสตร์ เกลือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออารยธรรม เมืองแรกในยุโรปที่เชื่อกันว่าเป็นเหมืองเกลือ และเป็นแหล่งเกลือแก่ภูมิภาคที่ปัจจุบันเรียกว่าคาบสมุทรบอลข่าน มาตั้งแต่ 5400 ปีก่อนคริสตกาล คือเมืองโซลนิตซาตา ในประเทศบัลแกเรีย[13] เกลือเป็นสารกันเสียที่รู้จักกันดีที่สุดสำหรับอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ มานานหลายพันปี[14] มีการค้นพบแหล่งผลิตเกลือโบราณที่แหล่งโบราณคดีโปอานา สลาติเน (Poiana Slatinei) ซึ่งตั้งอยู่ข้างบ่อน้ำเกลือในเมืองลุนคา มณฑลเนียมต์ ประเทศโรมาเนีย หลักฐานชี้ให้เห็นว่าผู้คนในวัฒนธรรมยุคหินใหม่ พรีคูคูเตนี ใช้วิธีการต้มแยกเกลือออกจากน้ำเกลือด้วยกระบวนการบริเกอทาจ (briquetage) ตั้งแต่ราว 6050 ปีก่อนคริสตกาล[15] เกลือที่สกัดจากกระบวนการนี้อาจสัมพันธ์โดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของประชากรในสังคมดังกล่าวหลังจากเริ่มการผลิต.[16] การเก็บเกี่ยวเกลือจากผิวหน้าของทะเลสาบเซียฉี ใกล้เมืองยฺวิ่นเฉิง ในมณฑลชานซี ประเทศจีน มีหลักฐานยืนยันว่าทำมาตั้งแต่ 6000 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตเกลือที่เก่าแก่ที่สุดที่มีหลักฐานยืนยันได้[17]

เนื้อเยื่อของสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ เลือด และนม มีปริมาณเกลือสูงกว่าเนื้อเยื่อของพืช[18] ชนร่อนเร่ที่ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์มักไม่จำเป็นต้องเติมเกลือลงในอาหาร[19] แต่กลุ่มเกษตรกรที่บริโภคธัญพืชและพืชผักเป็นหลัก จำเป็นต้องเสริมเกลือในอาหารของตน เมื่ออารยธรรมขยายตัว เกลือกลายเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่มีการซื้อขายทั่วโลก มันมีค่าสูงสำหรับชาวฮีบรูโบราณ ชาวกรีก ชาวโรมัน ชาวไบแซนไทน์ ชาวฮิตไทต์ และชนกลุ่มอื่นในยุคโบราณ ในตะวันออกกลาง เกลือถูกใช้ในพิธีกรรมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของข้อตกลง โดยชาวฮีบรูโบราณได้ทำ "พันธสัญญาแห่งเกลือ" (covenant of salt) กับพระเจ้า และโปรยเกลือลงบนเครื่องบูชาเพื่อแสดงความไว้วางใจในพระองค์[20] ในช่วงสงคราม มีธรรมเนียมโบราณที่เรียกว่า "การโปรยเกลือ" (salting the earth) ซึ่งหมายถึงการโรยเกลือลงบนพื้นที่ของเมืองที่พ่ายแพ้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายพื้นที่เพาะปลูกและป้องกันไม่ให้พืชเติบโต พระคัมภีร์เล่าเรื่องกษัตริย์อาบีเมเลคซึ่งได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ทำเช่นนี้ที่เมืองเชเคม[21] นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับแม่ทัพโรมัน สคิปิโอ ไอมิเลียนัส แอฟริกานัส ที่ถูกกล่าวว่า ไถและโปรยเกลือในเมืองคาร์เธจ หลังจากพิชิตได้ในสงครามพิวนิกครั้งที่สาม (146 ปีก่อนคริสตกาล)[22] อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นเพียงตำนาน และไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน

เกลืออาจถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าในยุคหินใหม่ โดยเกี่ยวข้องกับการค้าหินออบซิเดียนในอานาโตเลีย[23] ในอียิปต์โบราณ เกลือเป็นหนึ่งในเครื่องสังเวยที่ถูกพบในสุสานตั้งแต่สหัสวรรษที่สามก่อนคริสตกาล เช่นเดียวกับนกและปลาที่ผ่านการถนอมด้วยเกลือ[24] ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์เริ่มส่งออกปลาเค็มไปยังชาวฟินีเชียนเพื่อแลกกับไม้ซีดาร์จากเลบานอน แก้ว และสีย้อมไทเรียนเพอร์เพิล ชาวฟินีเชียนนำปลาเค็มจากอียิปต์และเกลือจากแอฟริกาเหนือไปค้าขายทั่วอาณาจักรการค้าของพวกเขาในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[25] เฮอรอโดทัสได้บรรยายถึงเส้นทางการค้าเกลือข้ามลิเบียตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ในยุคแรกของจักรวรรดิโรมัน มีการสร้างถนนเพื่อขนส่งเกลือจากท่าเรือเมืองออสเทียไปยังกรุงโรม[26]

ในแอฟริกา เกลือเคยถูกใช้เป็นสกุลเงินทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา และในอาบิสซิเนีย (ปัจจุบันคือเอธิโอเปีย)[19] มีการใช้แผ่นหินเกลือเป็นเหรียญเงิน ชาวทัวเร็กมีเส้นทางการค้าเกลือข้ามทะเลทรายซาฮารามาตั้งแต่โบราณ โดยใช้ขบวนคาราวาน "อาซาไล" (Azalai) ในการขนส่งเกลือ แม้ว่าปัจจุบันการค้าส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยรถบรรทุก แต่ขบวนคาราวานยังคงเดินทางจากตอนใต้ของไนเจอร์ไปยังเมืองบิลมา อูฐแต่ละตัวจะบรรทุกหญ้าแห้งและสินค้าอื่น ๆ ไปทางเหนือ และขากลับจะบรรทุกเสาเกลือและอินทผลัม[27] ในกาบอง ก่อนที่ชาวยุโรปจะมาถึง ชาวชายฝั่งเคยทำการค้ากับชนพื้นเมืองในแผ่นดินโดยใช้เกลือทะเลเป็นสื่อกลาง อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวยุโรปนำเกลือบรรจุถุงเข้ามาค้าขาย รายได้ของชาวพื้นเมืองชายฝั่งก็ลดลง จนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1950 เกลือทะเลยังคงเป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมที่สุดในพื้นที่ตอนในของประเทศ[28]

ซัลทซ์บวร์ค, ฮัลชตัท และฮัลไลน์ ตั้งอยู่ใกล้กันภายในระยะ 17 กิโลเมตร ริมแม่น้ำซาลซ์ซัค ทางตอนกลางของออสเตรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งเกลือขนาดใหญ่ ชื่อแม่น้ำซาลซ์ซัค (Salzach) หมายถึง "แม่น้ำเกลือ" ในขณะที่ชื่อเมืองซัลทซ์บวร์ค (Salzburg) หมายถึง “ปราสาทเกลือ” โดยทั้งสองชื่อมาจากคำว่า “Salz” ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่าเกลือ ฮัลชตัทเป็นสถานที่ตั้งของเหมืองเกลือแห่งแรกของโลก[29] เมืองนี้ยังเป็นที่มาของชื่อวัฒนธรรมฮัลชตัท ซึ่งเริ่มทำเหมืองเกลือในบริเวณนี้ตั้งแต่ประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเมืองที่เคยใช้อีเต้อและพลั่วในการขุดเกลือ เริ่มหันมาใช้วิธีต้มเกลือแบบเปิดกระทะ ในช่วงสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล ชุมชนเซลติกเติบโตและมั่งคั่งจากการค้าเกลือและเนื้อสัตว์หมักเกลือกับกรีกและโรมันโบราณ โดยแลกเปลี่ยนกับไวน์และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่น ๆ[14]

คำว่า salary มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาละตินที่หมายถึง เกลือ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และคำกล่าวที่แพร่หลายในปัจจุบันว่า กองทัพโรมันเคยได้รับค่าจ้างเป็นเกลือนั้นไม่มีหลักฐานยืนยัน[30][31] นอกจากนี้ คำว่า salad มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ผ่านการใส่เกลือ" ซึ่งมาจากธรรมเนียมโบราณของชาวโรมันที่ใช้เกลือปรุงรสผักใบเขียว[32]

สงครามหลายครั้งเคยเกิดขึ้นเพราะเกลือ เวนิสเคยทำสงครามกับเจโนวาเพื่อแย่งชิงการควบคุมการค้าเกลือ และเกลือยังมีบทบาทในสงครามปฏิวัติอเมริกา เมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าแผ่นดินใหญ่ร่ำรวยจากการเก็บภาษีศุลกากร[33] และเมืองอย่างลิเวอร์พูลก็เจริญรุ่งเรืองจากการส่งออกเกลือที่สกัดจากเหมืองเกลือในเชชเชอร์[34] รัฐบาลหลายแห่งเคยกำหนดภาษีเกลือในช่วงเวลาต่าง ๆ มีการกล่าวกันว่าการเดินทางของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้รับเงินทุนจากรายได้จากการผลิตเกลือทางตอนใต้ของสเปน ภาษีเกลือที่กดขี่ประชาชนในฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในสาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส แม้ว่าภาษีนี้จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ต่อมานโปเลียนได้นำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นทุนในการทำสงครามต่างประเทศ ภาษีเกลือในฝรั่งเศสถูกยกเลิกอย่างถาวรในปี 1946[33] ในปี 1930 มหาตมา คานธี ได้นำผู้ประท้วง 100,000 คน เดินขบวน "ดานดีมาร์ช" (Dandi March) หรือ "สัตยาเคราะห์เกลือ" (Salt Satyagraha) พวกเขาทำเกลือจากน้ำทะเลเอเพื่อแสดงการต่อต้านภาษีเกลือของอังกฤษ การกระทำนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอินเดียจำนวนมาก และเปลี่ยนขบวนการเอกราชอินเดียให้เป็นการต่อสู้ระดับชาติ[35]

คุณสมบัติทางกายภาพ

แก้

เกลือประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เป็นหลัก เกลือทะเลและเกลือจากเหมืองอาจมีจุลธาตุปะปนอยู่ โดยเกลือจากเหมืองมักถูกนำไปผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ผลึกเกลือมีลักษณะโปร่งแสงและเป็นรูปทรงลูกบาศก์ โดยปกติจะปรากฏเป็นสีขาว แต่อาจมีสีฟ้าหรือม่วงเนื่องจากสิ่งเจือปน เมื่อเกลือละลายในน้ำ จะแตกตัวเป็นไอออน Na+ และ Cl โดยมีค่าการละลาย 359 กรัมต่อลิตร[36] ในสารละลายเย็น เกลือจะตกผลึกในรูปแบบไดไฮเดรต (NaCl·2H2O) สารละลายโซเดียมคลอไรด์มีคุณสมบัติแตกต่างจากน้ำบริสุทธิ์อย่างมาก โดยจุดเยือกแข็งของสารละลายที่มีเกลือ 23.31% โดยน้ำหนักอยู่ที่ −21.12 °C (-6.02 °F) จุดเดือดของสารละลายอิ่มตัวของเกลืออยู่ที่ประมาณ 108.7 °C (227.7 °F)[4]

เกลือบริโภค

แก้

เกลือมีความจำเป็นต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ และเป็นหนึ่งในห้ารสชาติพื้นฐาน[37] เกลือถูกใช้อาหารหลากหลายประเภท และมักพบในขวดเกลือบนโต๊ะอาหาร เพื่อให้ผู้บริโภคปรุงอาหารตามต้องการ นอกจากนี้ เกลือยังเป็นส่วนผสมสำคัญในอาหารแปรรูปหลายชนิด เกลือแกงเป็นเกลือที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ โดยมีโซเดียมคลอไรด์ประมาณร้อยละ 97 ถึง 99[38][39][40] โดยปกติแล้ว สารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน เช่น โซเดียมอะลูมิโนซิลิเกต หรือ แมกนีเซียมคาร์บอเนต จะถูกเติมลงไปเพื่อให้เกลือไหลได้อย่างอิสระ เกลือไอโอดีน ซึ่งมีโพแทสเซียมไอโอไดด์ มีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย บางคนใส่สารดูดความชื้น เช่น เมล็ดข้าวสารดิบ[41] หรือแครกเกอร์รสเค็มลงในขวดเกลือเพื่อช่วยดูดซับความชื้นส่วนเกิน และป้องกันการจับตัวเป็นก้อน[42]

เกลือแกงเสริมธาตุ

แก้

เกลือแกงบางชนิดที่จำหน่ายเพื่อการบริโภคมีสารเติมแต่งเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ชนิดและปริมาณของสารเติมแต่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ไอโอดีนเป็นสารอาหารรองที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์ การขาดไอโอดีนอาจทำให้การผลิต ไทรอกซินลดลง (ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย) ต่อมไทรอยด์โตผิดปกติ (endemic goitre) ในผู้ใหญ่ หรือโรคคอพอกในเด็ก[43] เกลือไอโอดีนถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขภาวะขาดไอโอดีนมาตั้งแต่ปี 1924[44] โดยเป็นเกลือแกงที่ผสมกับโพแทสเซียมไอโอไดด์ โซเดียมไอโอไดด์ หรือโซเดียมไอโอเดตในปริมาณเล็กน้อย นอกจากนี้ อาจเติมเดกซ์โทรสในปริมาณเล็กน้อยเพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของไอโอดีน[45] ภาวะขาดไอโอดีนส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกประมาณสองพันล้านคน และเป็นสาเหตุหลักที่ป้องกันได้ของความบกพร่องทางสติปัญญา[46] เกลือแกงเสริมไอโอดีนมีบทบาทสำคัญ ในการลดความผิดปกติที่เกิดจากภาวะขาดไอโอดีนอย่างมีนัยสำคัญ ในประเทศที่นำมาใช้[47]

ปริมาณไอโอดีนและสารประกอบไอโอดีนที่เติมลงในเกลืออาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในสหรัฐอเมริกา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) แนะนำให้ทั้งชายและหญิงบริโภคไอโอดีน 150 ไมโครกรัม ต่อวัน[48] เกลือไอโอดีนในสหรัฐอเมริกามีปริมาณไอโอดีน 46–77 ppm (ส่วนต่อล้านส่วน) ขณะที่ในสหราชอาณาจักร ปริมาณไอโอดีนที่แนะนำในเกลือไอโอดีนคือ 10–22 ppm[49]

โซเดียมเฟอร์โรไซยาไนด์ หรือโซดาพรัสเชียตสีเหลือง บางครั้งถูกเติมลงในเกลือเพื่อใช้เป็นสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน[50] สารป้องกันการจับตัวเป็นก้อนถูกเติมลงในเกลือตั้งแต่ปี 1911 โดยเริ่มจากการเติมแมกนีเซียมคาร์บอเนต เพื่อช่วยให้เกลือไหลได้อิสระมากขึ้น[51] คณะกรรมการว่าด้วยพิษ พบว่าความปลอดภัยของโซเดียมเฟอร์โรไซยาไนด์ในฐานะสารเติมแต่งอาหารเป็นที่ยอมรับได้ชั่วคราวในปี 1988[50] สารป้องกันการจับตัวเป็นก้อนอื่น ๆ ที่อาจใช้ ได้แก่ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต แคลเซียม หรือแมกนีเซียมคาร์บอเนต เกลือกรดไขมัน (เกลือกรด) แมกนีเซียมออกไซด์ ซิลิกอนไดออกไซด์ แคลเซียมซิลิเกต โซเดียมอะลูมิโนซิลิเกต และแคลเซียมอะลูมิโนซิลิเกต ทั้งสหภาพยุโรปและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้อะลูมิเนียมในโซเดียมอะลูมิโนซิลิเกต และ แคลเซียมอะลูมิโนซิลิเกต[52]

ใน "เกลือเสริมแรงเป็นสองเท่า" จะมีการเติมเกลือไอโอไดด์และเกลือเหล็ก เกลือเหล็กช่วยบรรเทาภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาของทารกประมาณร้อยละ 40 ในประเทศกำลังพัฒนา เฟอรัสฟูมาเรตเป็น แหล่งธาตุเหล็กที่นิยมใช้ในเกลือเสริมธาตุเหล็ก[4] สารเติมแต่งอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญต่อสตรีมีครรภ์ คือ กรดโฟลิก (วิตามินบี 9) ซึ่งทำให้เกลือแกงมีสีเหลือง กรดโฟลิกช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อประสาท และภาวะโลหิตจางซึ่งมักส่งผลต่อคุณแม่วัยรุ่นโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา[4]

การขาดฟลูออไรด์ในอาหารเป็นสาเหตุของอัตราการเกิดฟันผุที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก[53] สามารถเติมเกลือฟลูออไรด์ลงในเกลือแกงเพื่อช่วยลดฟันผุ โดยเฉพาะในประเทศทีไม่มีการเติมฟลูออไรด์ในน้ำประปา หรือที่ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ยังไม่แพร่หลาย การเสริมฟลูออไรด์ในเกลือพบได้บ่อยในบางประเทศแถบยุโรป ที่ไม่มีการการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำ ในประเทศฝรั่งเศส เกลือแกงที่ขายในท้องตลาดร้อยละ 35 มีการเติมโซเดียมฟลูออไรด์ลงไป[4]

ชนิดอื่น ๆ

แก้

เกลือทะเลที่ยังไม่ผ่านการกลั่นมี แมกนีเซียม แคลเซียม ฮาไลด์ และซัลเฟตในปริมาณเล็กน้อย รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายบางชนิด แบคทีเรียที่ทนต่อเกลือ และอนุภาคตะกอน เกลือแคลเซียมและแมกนีเซียมทำให้มีรสขมเล็กน้อย และทำให้เกลือทะเลที่ยังไม่ผ่านการกลั่นมีคุณสมบัติดูดความชื้น (กล่าวคือ เกลือจะค่อย ๆ ดูดซับความชื้นจากอากาศหากเก็บไว้โดยไม่ปิดฝา) ผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายมีกลิ่น "คาว" หรือ "กลิ่นทะเล" เล็กน้อย โดยกลิ่นทะเลเกิดจากสารประกอบออร์กาโนโบรมีน ตะกอนที่มีสัดส่วนแตกต่างกันตามแหล่งที่มาทำให้เกลือมีสีเทาหมอง เนื่องจากมนุษย์สามารถรับรู้รสชาติและกลิ่นได้แม้ในปริมาณเล็กน้อย เกลือทะเลจึงให้รสชาติที่ซับซ้อนกว่าโซเดียมคลอไรด์บริสุทธิ์เมื่อโรยบนอาหาร อย่างไรก็ตาม หากเติมเกลือลงขณะปรุงอาหาร รสชาติเหล่านี้มักถูกกลบด้วยรสชาติของส่วนผสมอื่น ๆ[54] อุตสาหกรรมเกลือบริสุทธิ์อ้างผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า เกลือทะเลและเกลือหินดิบมีไอโอดีนไม่เพียงพอในการป้องกันโรคขาดไอโอดีน[55]

เกลือมีแร่ธาตุหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ทำให้แต่ละชนิดมีรสชาติเฉพาะตัว เฟลอร์ เดอ เซล (Fleur de sel) ซึ่งเป็นเกลือทะเลธรรมชาติที่เกิดจากการระเหยของน้ำเกลือในแหล่งเกลือ มีรสชาติที่แตกต่างกันไปตามแหล่งผลิต ในอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิม สิ่งที่เรียกว่า "เกลือไผ่" ทำโดยการคั่วเกลือ[56] ในภาชนะไม้ไผ่ที่อุดด้วยโคลนทั้งสองด้าน ผลิตภัณฑ์นี้ดูดซับแร่ธาตุจากไม้ไผ่และโคลน และมีการอ้างว่าสามารถเพิ่มคุณสมบัติ ต้านการแข็งตัวของเนื้อเยื่อ และต้านการกลายพันธุ์ ของโดเอนจัง (ถั่วหมัก)[57] เกลือโคเชอร์หรือเกลือสำหรับทำอาหารมีเม็ดใหญ่กว่าเกลือแกงและนิยมใช้ในการทำอาหาร มีประโยชน์ในการหมักเกลือ ทำขนมปังหรือเพรทเซล และใช้เป็นสารขัดถูเมื่อผสมกับน้ำมัน[58]

เกลือในอาหาร

แก้

เกลือมีอยู่ในอาหารส่วนใหญ่ แต่ในอาหารตามธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ จะมีอยู่เพียงเล็กน้อย มักถูกเติมลงในอาหารแปรรูป (เช่น อาหารกระป๋อง อาหารรสเค็ม อาหารดอง อาหารว่าง และอาหารว่างอาหารสะดวกซื้อ) โดยทำหน้าที่เป็นทั้งสารกันบูด และตัวปรุงรส เกลือผลิตภัณฑ์นม ใช้ในการเตรียมเนยและชีส [59] นอกจากนี้ยังช่วยปรุงรสอาหารโดยลดความขม ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นและรับรู้ความหวานได้มากขึ้น [60]

ก่อนการถือกำเนิดของตู้เย็นไฟฟ้า การใส่เกลือเป็นหนึ่งในวิธีหลักของการถนอมอาหาร ดังนั้น ปลาเฮอริง มีโซเดียม 67 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะที่ปลาคิปเปอร์ดองมี 990 มิลลิกรัม ในทำนองเดียวกัน เนื้อหมูมี 63 มิลลิกรัม ขณะที่เบคอนมี 1,480 มิลลิกรัม และมันฝรั่งมี 7 มิลลิกรัม แต่มันฝรั่งทอดกรอบ มีถึง 800 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม[18] เกลือถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการปรุงอาหาร ทั้งเป็นเครื่องปรุงรส และในเทคนิคต่าง ๆ เช่น การอบเกลือ และการแช่น้ำเกลือ แหล่งหลักของเกลือในอาหารตะวันตก นอกเหนือจากการใช้โดยตรง ได้แก่ ขนมปังและธัญพืช เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม[18]

ในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกหลายแห่ง เกลือไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องปรุงรสตามประเพณี[61] เครื่องปรุงรส เช่น ซอสถั่วเหลือง น้ำปลา และซอสหอยนางรม มักมีโซเดียมสูง และทำหน้าที่คล้ายเกลือแกงในวัฒนธรรมตะวันตก โดยนิยมใช้ในการปรุงอาหารมากกว่าการปรุงรสบนโต๊ะอาหาร[62]

ชีววิทยาของรสเค็ม

แก้

รสชาติเค็มของมนุษย์จะถูกตรวจจับโดยตัวรับรสโซเดียมในเซลล์ของต่อมรับรสบนลิ้น[63] ผลการศึกษาทางประสาทสัมผัสพบว่า รูปแบบโปรตีโอไลซ์ของช่องโซเดียมของเยื่อบุผิว (ENaC) ทำหน้าที่เป็นตัวรับรสเค็มในมนุษย์ [64]

การบริโภคโซเดียมกับสุขภาพ

แก้

เกลือแกงมีโซเดียมประมาณ 40% ของน้ำหนัก ดังนั้นในปริมาณ 6 กรัม (1 ช้อนชา) มีประมาณ 2,400 มิลลิกรัม[65] โซเดียมมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ โดยทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังมีส่วนในการควบคุมออสโมซิส และรักษาสมดุลของของเหลวในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย[66] โซเดียมส่วนใหญ่ในอาหารตะวันตกมาจากเกลือ[9] ปริมาณการบริโภคเกลือโดยทั่วไปในหลายประเทศตะวันตกอยู่ที่ประมาณ 10 กรัมต่อวัน ซึ่งสูงกว่าในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชีย[67] ระดับโซเดียมที่สูงในอาหารแปรรูปมีผลอย่างมากต่อปริมาณโซเดียมที่บริโภครวมทั้งหมด[68] ในสหรัฐอเมริกา 75% ของโซเดียมที่บริโภคมาจากอาหารแปรรูปและอาหารในร้านอาหาร 11% มาจากการปรุงอาหารและการเติมระหว่างมื้อ ที่เหลือมาจากโซเดียมตามธรรมชาติในอาหาร[69]

เนื่องจากการบริโภคโซเดียมมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด[9] องค์กรด้านสุขภาพจึงแนะนำให้ลดการบริโภคเกลือในอาหาร[9][11][70][71] การบริโภคโซเดียมในปริมาณสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และ โรคไต[8][67] การลดโซเดียมลง 1,000 มิลลิกรัมต่อวันอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ [7] [9] ในผู้ใหญ่และเด็กที่ไม่มีอาการป่วยเฉียบพลัน การลดการบริโภคโซเดียมจากระดับที่สูงตามปกติจะช่วยลดความดันโลหิตได้ [70] [72] การรับประทานอาหารโซเดียมต่ำช่วยปรับปรุงความดันโลหิตได้มากขึ้นในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง[73] [74]

องค์การอนามัยโลก แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับเกลือ 5 กรัม[11] แนวทางของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ชาวแอฟริกันอเมริกัน และผู้ใหญ่วัยกลางคนและผู้สูงอายุ จำกัดการบริโภคโซเดียวไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน พร้อมทั้งได้รับโพแทสเซียมตามคำแนะนำที่ 4,700 มิลลิกรัมต่อวัน ผ่านการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ [9] [75]

ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วแนะนำให้ลดการบริโภคโซเดียมให้น้อยกว่า 2,300  มิลลิกรัมต่อวัน[9] บทวิจารณ์หนึ่งแนะนำให้ลดลงเหลืออย่างน้อย 1,200 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากับเกลือ 3 กรัมต่อวัน) เนื่องจากการลดปริมาณเกลือลงเพิ่มเติมช่วยให้ความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงมากขึ้นในทุกกลุ่มอายุและชาติพันธุ์ [70] การทบทวนอีกกรณีหนึ่งระบุว่ามีหลักฐานไม่สอดคล้องหรือไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าการลดการบริโภคโซเดียมให้ต่ำกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวันเป็นประโยชน์หรือเป็นอันตราย[76]

หลักฐานแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเกลือและโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยพบว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคโซเดียมกับโรคหลอดเลือดหัวใจหรืออัตราการเสียชีวิตมีลักษณะเป็นรูปตัว U ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทั้งในกรณีที่บริโภคโซเดียมในปริมาณสูงและต่ำเกินไป" [77] ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากการบริโภคเกลือมากเกินไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเป็นหลัก ขณะที่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มที่จำกัดการบริโภคเกลือดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน ไม่ว่าระดับความดันโลหิตจะเป็นเท่าใด หลักฐานนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงควรให้ความสำคัญกับการลดโซเดียมให้อยู่ในระดับที่แนะนำ แต่ทุกกลุ่มควรรักษาระดับการบริโภคโซเดียมให้เหมาะสม โดยอยู่ระหว่าง 4-5 กรัมต่อวัน (เทียบเท่ากับเกลือ 10-13 กรัม)[77]

หนึ่งในสองความเสี่ยงด้านอาหารที่สำคัญที่สุดต่อภาวะทุพพลภาพทั่วโลกคือการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง[78]

ชนิดอื่น ๆ

แก้

เกลือทะเลที่ยังไม่ผ่านการกลั่นมี แมกนีเซียม แคลเซียม ฮาไลด์ และซัลเฟตในปริมาณเล็กน้อย รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายบางชนิด แบคทีเรียที่ทนต่อเกลือ และอนุภาคตะกอน เกลือแคลเซียมและแมกนีเซียมทำให้มีรสขมเล็กน้อย และทำให้เกลือทะเลที่ยังไม่ผ่านการกลั่นมีคุณสมบัติดูดความชื้น (กล่าวคือ เกลือจะค่อย ๆ ดูดซับความชื้นจากอากาศหากเก็บไว้โดยไม่ปิดฝา) ผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายมีกลิ่น "คาว" หรือ "กลิ่นทะเล" เล็กน้อย โดยกลิ่นทะเลเกิดจากสารประกอบออร์กาโนโบรมีน ตะกอนที่มีสัดส่วนแตกต่างกันตามแหล่งที่มาทำให้เกลือมีสีเทาหมอง เนื่องจากมนุษย์สามารถรับรู้รสชาติและกลิ่นได้แม้ในปริมาณเล็กน้อย เกลือทะเลจึงให้รสชาติที่ซับซ้อนกว่าโซเดียมคลอไรด์บริสุทธิ์เมื่อโรยบนอาหาร อย่างไรก็ตาม หากเติมเกลือลงขณะปรุงอาหาร รสชาติเหล่านี้มักถูกกลบด้วยรสชาติของส่วนผสมอื่น ๆ[54] อุตสาหกรรมเกลือบริสุทธิ์อ้างผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า เกลือทะเลและเกลือหินดิบมีไอโอดีนไม่เพียงพอในการป้องกันโรคขาดไอโอดีน[79]

การใช้ประโยชน์อื่น ๆ

แก้

เกลือที่ผลิตทั่วโลกมีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ในการบริโภคอาหาร ส่วนที่เหลือนำไปใช้ในการเกษตร การบำบัดน้ำ การผลิตสารเคมี การละลายน้ำแข็ง และอุตสาหกรรมอื่น ๆ[4] ในการใช้เกลือเป็นปุ๋ยในการรดน้ำต้นไม้ การควบคุมความเข้มข้นให้อยู่ในระดับปานกลางช่วยหลีกเลี่ยงความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยทั่วไป ปริมาณ 1–3 กรัม (0.035–0.106 ออนซ์) ต่อลิตร ถือว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับพืชส่วนใหญ่[80][81][82] โซเดียมคลอไรด์เป็นหนึ่งในวัตถุดิบอนินทรีย์ที่มีปริมาณการใช้สูงที่สุด และเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโซดาไฟและคลอรีน ซึ่งใช้ในการผลิตพีวีซี เยื่อกระดาษ และสารประกอบอนินทรีย์และอินทรีย์อื่น ๆ อีกมากมาย เกลือใช้เป็นสารฟลักซ์ในการผลิตอะลูมิเนียม โดยชั้นเกลือที่ละลายจะลอยอยู่บนโลหะที่หลอมละลาย และช่วยกำจัดเหล็กและสิ่งปนเปื้อนจากโลหะอื่น ๆ นอกจากนี้ยังใช้ในการผลิตสบู่ และกลีเซอรีน โดยทำหน้าที่ช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นสบู่ เกลือทำหน้าที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์ในการผลิตยางสังเคราะห์ อีกทั้งยังใช้ในการเผาเครื่องปั้นดินเผา โดยเกลือที่เติมลงในเตาจะระเหยเป็นไอก่อนควบแน่นบนพื้นผิวของเซรามิก ทำให้เกิดเคลือบที่แข็งแรง [83]

เมื่อเจาะผ่านวัสดุหลวม เช่น ทรายหรือกรวด อาจเติมเกลือลงในของเหลวเจาะเพื่อสร้าง "ผนัง" ที่มั่นคงและป้องกันไม่ให้รูพังทลาย ยังมีกระบวนการอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้เกลือ เช่น การเป็นสารกัดสีในการย้อมสิ่งทอ การฟื้นฟูยางไม้ในกระบวนการทำให้น้ำอ่อนตัว การฟอกหนัง การถนอมเนื้อและปลา รวมถึงบรรจุกระป๋องเนื้อและผัก[83][84][85]

การผลิต

แก้
 
เหมืองเกลือและโรงงานแปรรูป Sifto Canada ที่ท่าเรือใน เมือง Goderich รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา

เกลือที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคิดเป็นเพียงส่วนน้อยของการผลิตเกลือในประเทศอุตสาหกรรม (7% ในยุโรป)[86] แม้ว่าทั่วโลก การใช้เกลือเพื่อการบริโภคจะคิดเป็น 17.5% ของการผลิตทั้งหมด[87] ในปี 2018 การผลิตเกลือทั่วโลกอยู่ที่ 300 ล้านตัน โดย 6 อันดับแรก ได้แก่ จีน (68 ล้านตัน) สหรัฐอเมริกา (42 ล้านตัน) อินเดีย (29 ล้านตัน) เยอรมนี (13 ล้านตัน) แคนาดา (13 ล้านตัน) และออสเตรเลีย (12 ล้านตัน)

การผลิตเกลือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเคมีที่เก่าแก่ที่สุด[88] แหล่งสำคัญของเกลือคือน้ำทะเล ซึ่งมีความเค็มประมาณ 3.5%[4] หมายความว่าน้ำทะเล 1 กิโลกรัม (2.2 ปอนด์) มีเกลือละลายอยู่ประมาณ 35 ก. (1.2 ออนซ์) โดยส่วนใหญ่เป็นไอออน โซเดียม ( Na+
) และคลอไรด์ ( Cl
)[89] มหาสมุทรของโลกเป็นแหล่งเกลือที่แทบจะไม่มีวันหมด ด้วยปริมาณที่มหาศาลจนทำให้ไม่มีการคำนวณปริมาณสำรองอย่างเป็นทางการ[84] การระเหยของน้ำทะเลเป็นวิธีการผลิตที่นิยมใช้ในประเทศชายฝั่งที่มีอัตราการระเหยสูงและปริมาณน้ำฝนต่ำ บ่อระเหยเกลือถูกเติมน้ำจากมหาสมุทร และสามารถเก็บเกี่ยวผลึกเกลือได้เมื่อน้ำระเหยแห้ง บางครั้งบ่อน้ำเหล่านี้มีสีสันสดใส เนื่องจากสาหร่ายบางชนิดและจุลินทรีย์อื่น ๆ เจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีความเค็มสูง[90]

ห่างจากทะเลออกไป เกลือถูกสกัดจากตะกอนขนาดใหญ่ที่ทับถมกันมาหลายพันปีจากการระเหยของน้ำทะเลและทะเลสาบ แหล่งเกลือเหล่านี้ถูกขุดโดยตรงเพื่อผลิตเกลือหิน หรือสกัดโดยการสูบน้ำเข้าไปละลายแร่เกลือ ในทั้งสองกรณี เกลืออาจถูกทำให้บริสุทธิ์ด้วยการระเหยน้ำเกลือทางกล โดยเดิมที ใช้กระทะเปิดตื้นที่ให้ความร้อนเพื่อเร่งการระเหย นอกจากนี้ยังมีการใช้วิธีระเหยแบบสูญญากาศอีกด้วย[85] เกลือดิบถูกทำให้บริสุทธิ์โดยการบำบัดด้วยสารเคมีเพื่อตกตะกอนสิ่งเจือปนเป็นหลัก (เช่น เกลือแมกนีเซียมและแคลเซียม) จากนั้นจึงผ่านกระบวนการระเหยหลายขั้นตอน เกลือบางส่วนผลิตด้วยกระบวนการอัลเบอร์เกอร์ ซึ่งใช้การระเหยในหม้อสุญญากาศร่วมกับการหว่านสารละลายด้วยผลึกลูกบาศก์ ทำให้ได้เกล็ดเกลือที่มีลักษณะเป็นเม็ดหยาบ[91] ชาวอาโยเรโอ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองจากเผาชาโกในปารากวัย ได้เกลือจากขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาไม้ของต้นเกลืออินเดีย (Maytenus vitis-idaea) และไม้ชนิดอื่น ๆ[92]

เหมืองใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ เหมืองซิฟโต ซึ่งตั้งอยู่ใต้ทะเลสาบฮูรอนลึกประมาณ 550 เมตร ในเมืองกอเดอริช รัฐออนแทรีโอ (ประเทศแคนาดา) โดยมีการสกัดเกลือประมาณ 7 ล้านตันต่อปี[93] เหมืองเกลือเควรา ในปากีสถานมี 19 ชั้น โดย 11 ชั้นอยู่ใต้ดิน และมีทางเดินรวมระยะทาง 400 กม. (250 ไมล์) เกลือจะถูกขุดออกโดยวิธี ห้องและเสา โดยเหลือวัสดุประมาณครึ่งหนึ่งไว้ในตำแหน่งเดิมเพื่อรองรับโครงสร้างด้านบน คาดว่าการสกัดเกลือหิมาลัย จะดำเนินต่อไปได้อีกประมาณ 350 ปี ด้วยอัตราการสกัดปัจจุบันที่ราว 385,000 ตันต่อปี เหมืองยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมประมาณ 250,000 คนต่อปี[94]

ในศาสนา

แก้
 
ขนมปังและเกลือ ในพิธีแต่งงานแบบรัสเซีย

เกลือมีบทบาทสำคัญในศาสนาและวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน ในพิธีบูชายัญแบบพราหมณ์ พิธีกรรมของชาวฮิตไทต์ และเทศกาลของชาวเซไมต์และชาวกรีกในช่วง จันทร์ดับ เกลือมักถูกโยนลงไปในกองไฟ ซึ่งทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ [95] ชาวอียิปต์ กรีก และโรมันโบราณบูชาเทพเจ้าของตนด้วยการถวายเกลือและน้ำ ซึ่งบางคนคิดว่านี่เป็นต้นกำเนิดของน้ำศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์[96] ใน ศาสนายิว แนะนำให้รับประทานขนมปังรสเค็มหรือเติมเกลือลงไป หากขนมปังไม่มีรสเค็ม เมื่อประกอบพิธีคิดดูชใน วันชาบัต นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมโรยเกลือบนขนมปังหรือจุ่มขนมปังลงในเกลือเล็กน้อยก่อนส่งไปรอบโต๊ะหลังพิธีคิดดุช เพื่อรักษาพันธสัญญาระหว่างประชาชนกับพระเจ้า ชาวยิวจึงจุ่มขนมปังสะบาโตลงในเกลือ [96] เกลือมีบทบาทในประเพณีคริสเตียนหลายรูปแบบ และเป็นสิ่งจำเป็นในพิธีมิสซาแบบทริเดนไทน์ เกลือถูกใช้ในรายการที่สาม (ซึ่งรวมถึงพิธีขับไล่ปีศาจ) ของการถวายแบบเซลติก (เทียบกับ พิธีกรรมกาลลิกัน) ซึ่งใช้ในการถวายโบสถ์ และยังได้รับอนุญาตให้เติมลงในน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีของนิกายโรมันคาธอลิกใน "สถานที่ที่มีธรรมเนียมปฏิบัติ" นี้[97] พระคัมภีร์ กล่าวถึงเกลือหลายครั้ง ทั้งในฐานะแร่ธาตุและสัญลักษณ์เชิงเปรียบเทียบ หนึ่งในตัวอย่างคือเรื่องราวที่ภรรยาของโลทกลายเป็นเสาเกลือเมื่อหันกลับไปที่เมือง โซดอมและโกโมราห์ขณะถูกทำลาย ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงเปรียบผู้ติดตามของพระองค์ว่าเป็น "เกลือแห่งแผ่นดินโลก" [98]

ในตำนาน แอซเท็ก แอซเท็กฮุยซ์โตซิฮัวตล์เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ผู้ปกครองเกลือและน้ำเค็ม[99] ในศาสนาฮินดู เกลือถือเป็นสารมงคล และถูกใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีขึ้นบ้านใหม่ และงานแต่งงาน [100] ใน ศาสนาเชน ผู้ศรัทธาจะถวายข้าวสารดิบพร้อมเกลือเล็กน้อยต่อหน้าเทพเจ้าเพื่อแสดงความจงรักภักดี นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมโรยเกลือบนเถ้ากระดูกของผู้เสียชีวิตก่อนทำการฝัง[101] เชื่อกันว่าเกลือสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายในพุทธศาสนามหายาน เมื่อกลับจากงานศพ มีธรรมเนียมให้โรยเกลือเล็กน้อยบนไหล่ซ้าย เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายติดตามเข้ามาในบ้าน[102] ใน ศาสนาชินโต ชิโอะ (Shio, 塩) ใช้ในการชำระล้างสถานที่และผู้คนในพิธีกรรม (ฮาราเอะ โดยเฉพาะชูบาสึ) นอกจากนี้ ยังมีการกองเกลือเล็ก ๆ ไว้ในจานใกล้ทางเข้าเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและดึงดูดลูกค้า [103]

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Institute of Medicine (US) Committee on Strategies to Reduce Sodium Intake (2010). "3 — Taste and Flavor Roles of Sodium in Foods: A Unique Challenge to Reducing Sodium Intake". ใน Jane E. Henney; Christine L. Taylor; Caitlin S. Boon (บ.ก.). Strategies to Reduce Sodium Intake in the United States. Washington, DC: National Academies Press. ISBN 978-0-309-14806-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2021. สืบค้นเมื่อ 29 October 2022.
  2. Salt: a world history.
  3. "El Paso Salt Wars (U.S. National Park Service)". www.nps.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-25.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 Westphal et al. (2010).
  5. "How salt works and overview of deicing chemicals - Minnesota Stormwater Manual". stormwater.pca.state.mn.us. สืบค้นเมื่อ 2025-02-25.
  6. jdlanier (2016-01-15). "The Impact of Salts on Plants and How to Reduce Plant Injury from Winter Salt Applications". Center for Agriculture, Food, and the Environment (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-02-25.
  7. 7.0 7.1 Scientific Report of the 2015 Dietary Guidelines Advisory Committee (PDF). US Department of Agriculture. 2015. p. 7. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 เมษายน 2016.
  8. 8.0 8.1 Committee on the Consequences of Sodium Reduction in Populations; Food Nutrition, Board; Board on Population Health Public Health Practice; Institute Of, Medicine; Strom, B. L.; Yaktine, A. L.; Oria, M. (2013). Strom, Brian L.; Yaktine, Ann L.; Oria, Maria (บ.ก.). Sodium intake in populations: assessment of evidence. Institute of Medicine of the National Academies. doi:10.17226/18311. ISBN 978-0-309-28295-6. PMID 24851297. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2013.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 "Most Americans should consume less sodium". Salt. Centers for Disease Control and Prevention. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2013.
  10. "EFSA provides advice on adverse effects of sodium". European Food Safety Authority. 22 June 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2017. สืบค้นเมื่อ 9 June 2016.
  11. 11.0 11.1 11.2 "WHO issues new guidance on dietary salt and potassium". World Health Organization. 31 มกราคม 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2013.
  12. Delahaye, F. (2012). "Europe PMC". Presse Médicale. 41 (6 Pt 1): 644–649. doi:10.1016/j.lpm.2012.02.035. PMID 22465720. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-06-07.
  13. LA Times
    Bulgarians find oldest European town, a salt production center เก็บถาวร 4 พฤษภาคม 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  14. 14.0 14.1 Barber (1999), p. 136.
  15. Weller & Dumitroaia (2005).
  16. Weller, Brigand & Nuninger (2008), pp. 225–30.
  17. Kurlansky (2002), pp. 18–19.
  18. 18.0 18.1 18.2 Buss, David; Robertson, Jean (1973). Manual of Nutrition. Her Majesty's Stationery Office. pp. 37–38. ISBN 978-0-11-241112-3. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "HMSO" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  19. 19.0 19.1 Wood, Frank Osborne. "Salt (NaCl)". Encyclopædia Britannica online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2013.
  20. Suitt, Chris. "Covenant of salt". Rediscovering the Old Testament. Seed of Abraham Ministries. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2013.
  21. Gevirtz, Stanley (1963). "Jericho and Shechem: A Religio-Literary Aspect of City Destruction". Vetus Testamentum. 13 (1): 52–62. doi:10.2307/1516752. JSTOR 1516752.
  22. Ripley, George; Dana, Charles Anderson (1863). The New American Cyclopædia: a Popular Dictionary of General Knowledge. Vol. 4. p. 497. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กันยายน 2015.
  23. Golbas, Alper; Basobuyuk, Zeynel (2012). "The role of salt in the formation of the Anatolian culture". Batman University: Journal of Life Sciences. 1 (1): 45–54. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 ธันวาคม 2013.
  24. Kurlansky (2002), p. 38.
  25. Kurlansky (2002), pp. 44.
  26. "A brief history of salt". Time Magazine. 15 มีนาคม 1982. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 พฤษภาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2013.
  27. Paolinelli, Franco. "Tuareg Salt Caravans of Niger, Africa". Bradshaw Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2013.
  28. Schweitzer, Albert (1958). African Notebook. Indiana University Press.
  29. Lopez, Billie Ann. "Hallstatt's White Gold: Salt". Virtual Vienna Net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2007. สืบค้นเมื่อ 3 March 2013.
  30. Bloch, David. "Economics of NaCl: Salt made the world go round". Mr Block Archive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 มกราคม 2007. สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2006.
  31. "The history of salt production at Droitwich Spa". BBC. 21 มกราคม 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2011.
  32. Kurlansky (2002), pp. 64.
  33. 33.0 33.1 Cowen, Richard (1 พฤษภาคม 1999). "The Importance of Salt". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 พฤษภาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2013.
  34. Smith, Mike (2003). "Salt". Goods & Not So Goods: Lineside Industries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2011. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2013.
  35. Dalton (1996), p. 72.
  36. Wood, Frank Osborne; Ralston, Robert H. "Salt (NaCl)". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2013.
  37. "The sense of taste". 16 มีนาคม 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2013.
  38. "Tesco Table Salt 750g". Tesco. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 พฤษภาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010. Nutritional analysis provided with Tesco Table Salt states 38.9 percent sodium by weight which equals 97.3 percent sodium chloride
  39. Table Salt เก็บถาวร 5 สิงหาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Wasalt.com.au. Retrieved 7 July 2011.
  40. The international Codex Alimentarius Standard for Food Grade Salt เก็บถาวร 14 มีนาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. (PDF). Retrieved 7 July 2011.
  41. "Rice in Salt Shakers". Ask a Scientist. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 29 กรกฎาคม 2008.
  42. "Food Freshness". KOMO News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 August 2011. สืบค้นเมื่อ 8 July 2011.
  43. Vaidya, Chakera & Pearce (2011).
  44. Markel (1987).
  45. "Canning and Pickling salt". Penn State University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 เมษายน 2013.; "FAQs". Morton Salt. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2014.
  46. McNeil, Donald G. Jr (16 ธันวาคม 2006). "In Raising the World's I.Q., the Secret's in the Salt". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 4 ธันวาคม 2008.
  47. "Iodized salt". Salt Institute. 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2013. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
  48. "21 Code of Federal Regulations 101.9 (c)(8)(iv)". www.accessdata.fda.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-01-30.
  49. "Discussion Paper on the setting of maximum and minimum amounts for vitamins and minerals in foodstuffs" (PDF). Directorate-General Health & Consumers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2012. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
  50. 50.0 50.1 Discussions of the safety of sodium hexaferrocyanate in table salt เก็บถาวร 4 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. api.parliament.uk (5 May 1993). Retrieved 7 July 2011.
  51. "Morton Salt FAQ". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มกราคม 2012. สืบค้นเมื่อ 12 พฤษภาคม 2007.
  52. Burgess, Wilella Daniels; Mason, April C. "What Are All Those Chemicals in My Food?". School of Consumer and Family Sciences, Purdue University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2006. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2011.
  53. Selwitz, Ismail & Pitts (2007).
  54. 54.0 54.1 McGee (2004).
  55. "References on food salt & health issues". Salt Institute. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กันยายน 2010. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
  56. Livingston (2005).
  57. Shahidi, Shi & Ho (2005).
  58. "Kosher Salt Guide". SaltWorks. 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 ธันวาคม 2010.
  59. Pieters, A.J.; Flint, D.; Garriott, E.B.; Wickson, E.J.; Lamson-Scribner, F.; และคณะ (1899). Experiment Station Work. Bread and the Principles of Bread Making. U.S. Department of Agriculture. pp. 28–30. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2015.
  60. Breslin, P. A. S.; Beauchamp, G. K. (5 June 1997). "Salt enhances flavour by suppressing bitterness". Nature. 387 (6633): 563. Bibcode:1997Natur.387..563B. doi:10.1038/42388. PMID 9177340. S2CID 205030709.
  61. "The Salt of Southeast Asia". The Seattle Times. 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2011.
  62. "Asian diet". Diet.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2013.
  63. Intake, Institute of Medicine (US) Committee on Strategies to Reduce Sodium; Henney, Jane E.; Taylor, Christine L.; Boon, Caitlin S. (2010). Taste and Flavor Roles of Sodium in Foods: A Unique Challenge to Reducing Sodium Intake (ภาษาอังกฤษ). National Academies Press (US). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2021. สืบค้นเมื่อ 4 April 2021.
  64. Shekdar, Kambiz; Langer, Jessica; Venkatachalan, Srinivasan; Schmid, Lori; Anobile, Jonathan; และคณะ (2021-03-08). "Cell engineering method using fluorogenic oligonucleotide signaling probes and flow cytometry". Biotechnology Letters. 43 (5): 949–958. doi:10.1007/s10529-021-03101-5. ISSN 1573-6776. PMC 7937778. PMID 33683511.
  65. "National Nutrient Database for Standard Reference, Basic Report: 02047, Salt, table". Agricultural Research Service, National Nutrient Database for Standard Reference. United States Department of Agriculture. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 21 กรกฎาคม 2018.
  66. "Dietary sodium". MedLinePlus. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2013.
  67. 67.0 67.1 Strazzullo, Pasquale; D'Elia, Lanfranco; Kandala, Ngianga-Bakwin; Cappuccio, Francesco P. (2009). "Salt intake, stroke, and cardiovascular disease: meta-analysis of prospective studies". British Medical Journal. 339 (b4567): b4567. doi:10.1136/bmj.b4567. PMC 2782060. PMID 19934192.
  68. "Prevention of cardiovascular disease". National Institute for Health and Clinical Excellence. 1 มิถุนายน 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2015.
  69. "Sodium and food sources". Salt. Centers for Disease Control and Prevention. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2013.
  70. 70.0 70.1 70.2 He, F.J.; Li, J.; Macgregor, G.A. (3 April 2013). "Effect of longer term modest salt reduction on blood pressure: Cochrane systematic review and meta-analysis of randomised trials". BMJ (Clinical Research Ed.). 346: f1325. doi:10.1136/bmj.f1325. PMID 23558162.
  71. "Sodium and salt". American Heart Association. 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2016.
  72. Aburto, Nancy J.; Ziolkovska, Anna; Hooper, Lee; และคณะ (2013). "Effect of lower sodium intake on health: systematic review and meta-analyses". British Medical Journal. 346 (f1326): f1326. doi:10.1136/bmj.f1326. PMC 4816261. PMID 23558163.
  73. Graudal, N iels Albert; Hubeck-Graudal, Thorbjorn; Jurgens, Gesche (April 9, 2017). "Effects of low sodium diet versus high sodium diet on blood pressure, renin, aldosterone, catecholamines, cholesterol, and triglyceride". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 4 (4): CD004022. doi:10.1002/14651858.CD004022.pub4. ISSN 1469-493X. PMC 6478144. PMID 28391629.
  74. Adler, A. J.; Taylor, F.; Martin, N.; Gottlieb, S.; Taylor, R.S.; Ebrahim, S. (18 December 2014). "Reduced dietary salt for the prevention of cardiovascular disease". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 12 (12): CD009217. doi:10.1002/14651858.CD009217.pub3. PMC 6483405. PMID 25519688.
  75. Dietary Guidelines for Americans (PDF). U.S. Department of Agriculture & U.S. Department of Health and Human Services. 2010. p. 24. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กันยายน 2016. สืบค้นเมื่อ 29 เมษายน 2015. African Americans, individuals with hypertension, diabetes, or chronic kidney disease and individuals ages 51 and older, comprise about half of the U.S. population ages 2 and older. While nearly everyone benefits from reducing their sodium intake, the blood pressure of these individuals tends to be even more responsive to the blood pressure-raising effects of sodium than others; therefore, they should reduce their intake to 1,500 mg per day.
  76. Committee on the Consequences of Sodium Reduction in Populations; Food Nutrition, Board; Board on Population Health Public Health Practice; Institute Of, Medicine; Strom, B. L.; Yaktine, A. L.; Oria, M. (2013). 5 Findings and Conclusions | Sodium Intake in Populations: Assessment of Evidence (ภาษาอังกฤษ). The National Academies Press. doi:10.17226/18311. ISBN 978-0-309-28295-6. PMID 24851297. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤษภาคม 2017.
  77. 77.0 77.1 Mente, Andrew; O'Donnell, Martin; Rangarajan, Sumathy; Dagenais, Gilles; Lear, Scott; และคณะ (2016). "Associations of urinary sodium excretion with cardiovascular events in individuals with and without hypertension: A pooled analysis of data from four studies". The Lancet. 388 (10043): 465–475. doi:10.1016/S0140-6736(16)30467-6. PMID 27216139. S2CID 44581906. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2022. สืบค้นเมื่อ 3 October 2020. {{cite journal}}: |hdl-access= ต้องการ |hdl= (help)
  78. Lim, Stephen S.; Vos, Theo; Flaxman, Abraham D.; Danaei, Goodarz; Shibuya, Kenji; Adair-Rohani, Heather; Amann, Markus; Anderson, H. Ross; Andrews, Kathryn G. (15 December 2012). "A comparative risk assessment of burden of disease and injury attributable to 67 risk factors and risk factor clusters in 21 regions, 1990-2010: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2010". The Lancet. 380 (9859): 2224–2260. doi:10.1016/S0140-6736(12)61766-8. PMC 4156511. PMID 23245609.
  79. "References on food salt & health issues". Salt Institute. 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กันยายน 2010. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2010.
  80. Flowers, Timothy J.; Munns, Rana; Colmer, Timothy D. (1 December 2014). "Sodium chloride toxicity and the cellular basis of salt tolerance in halophytes". Annals of Botany. 115 (3): 419–431. doi:10.1093/aob/mcu217. PMC 4332607. PMID 25466549.
  81. Maathuis, Frans J. M. (22 October 2013). "Sodium in plants: Perception, signalling, and regulation of sodium fluxes". Journal of Experimental Botany. 65 (3): 849–858. doi:10.1093/jxb/ert326. PMID 24151301.
  82. Lee, M. Kate; Van Iersel, Marc W. (2008). "Sodium Chloride Effects on Growth, Morphology, and Physiology of Chrysanthemum (Chrysanthemum ×morifolium)". HortScience. 43 (6): 1888–1891. doi:10.21273/HORTSCI.43.6.1888.
  83. 83.0 83.1 "Salt uses". WA Salt Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2013. สืบค้นเมื่อ 10 October 2013.
  84. 84.0 84.1 "Sodium chloride". IHS Chemical. 1 ธันวาคม 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2013.
  85. 85.0 85.1 Kostick (2011).
  86. "Salt Uses". European Salt Producers' Association. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2015.
  87. "Roskill Information Services". Roskill.com. 30 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มิถุนายน 2003. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2011.
  88. "Salt made the world go round". Salt.org.il. 1 กันยายน 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 เมษายน 2016. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2011.
  89. Millero et al. (2008).
  90. "Salt Ponds, South San Francisco Bay". NASA Visible Earth. NASA. 11 สิงหาคม 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2015.
  91. "Alberger process". Manufacture of salt: Uses of artificial heat. Encyclopædia Britannica online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2011. สืบค้นเมื่อ 9 October 2013.
  92. Schmeda-Hirschmann (1994).
  93. Calvo, Miguel; Calvo, Guiomar (2023). Una pizca de sal [A pinch of salt] (ภาษาสเปน). Zaragoza, Spain: Prames. pp. 114–115. ISBN 978-84-8321-582-1.
  94. Pennington, Matthew (25 มกราคม 2005). "Pakistan salt mined old-fashioned way mine". The Seattle Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2013.
  95. "Research article: Salt". Encyclopedia of Religion. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2013.
  96. 96.0 96.1 "10+1 Things you may not know about Salt". Epikouria. Fall/Winter (3). 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 July 2008.
  97. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ CE
  98. McKenzie, John L. (1995). Dictionary of the Bible. Simon & Schuster. pp. 759–760. ISBN 0-684-81913-9.
  99. Quipoloa, J. (2007). "The Aztec Festivals: Toxcatl (Dryness)". The Aztec Gateway. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2013.
  100. Gray, Steven (7 ธันวาคม 2010). "What Lies Beneath". Time Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2013.
  101. "The Final Journey: What to do when your loved one passes away". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2013.
  102. "Religion: Chasing away evil spirits". History of salt. Cagill. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2013.
  103. "Harae - purification rites". BBC. 16 September 2009. สืบค้นเมื่อ 25 November 2024.

ข้อมูล

แก้