ประวัติศาสตร์อาร์ดา

(เปลี่ยนทางจาก ยุคแห่งตะวัน)

ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาร์ดา ซึ่งหมายถึงโลกและห้วงหาวที่ห่อหุ้มทั้งหมด เหตุการณ์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่การสร้าง เออา หรือจักรวาลของโลก เหล่าไอนัวร์เข้ามายังอาร์ดา และเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ใน ไอนูลินดาเล ระยะเวลาในช่วงนี้นับด้วยวาเลียนศก หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ของอาร์ดาแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ที่มีการนับระยะเวลาแตกต่างกัน เรียกชื่อยุคทั้งสามว่า ยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกการนับศักราชแยกออกมาอีกเป็น ยุคของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ โดยที่ยุคที่หนึ่งเริ่มนับตั้งแต่แรกที่พวกเอลฟ์ตื่นขึ้นที่ทะเลสาบคุยวิเอเนนระหว่างยุคแห่งพฤกษา และเรื่อยไปอีกประมาณหกร้อยปีในยุคแห่งตะวัน ยุคของเหล่าบุตรหลังจากนั้นเกิดขึ้นในยุคแห่งตะวันทั้งหมด เรื่องราวต่างๆ ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างสามยุคแรกของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์

มหาคีตาแห่งไอนัวร์

แก้

พระเจ้าสูงสุดในจักรวาลของโทลคีนมีชื่อเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ที่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง อิลูวาทาร์ได้สร้างดวงจิตขึ้นจากพระดำริเรียกว่า ไอนัวร์ ดวงจิตเหล่านี้จำนวนหนึ่งนับเนื่องกันเองจากสภาวะอันคล้ายคลึงกันว่าเป็นพี่เป็นน้อง อิลูวาทาร์ได้แสดงดนตรีให้แก่พวกเขา แล้วให้พวกเขาช่วยกันบรรเลงดนตรีเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แต่ระหว่างการบรรเลงนั้นไอนูองค์หนึ่งชื่อ เมลคอร์ ได้แกล้งทำลายความประสานของท่วงทำนองลงเสีย จนกระทั่งถึงท่วงทำนองที่สาม อิลูวาทาร์จึงบรรเลงเพลงสยบขณะที่ไอนัวร์องค์อื่นชะงักหยุดลงจนหมดไม่มีใครสู้ได้ การบรรเลงดนตรีครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเหตุการณ์ความเป็นไปของจักรวาลแห่งนั้น ที่ซึ่งบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือเอลฟ์และมนุษย์ จะมาอาศัยอยู่

หลังจากสิ้นสุดการบรรเลง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา ขึ้น คำนี้มีความหมายว่า "เป็นเช่นนั้น" ซึ่งเป็นจักรวาลในปกรณัม ภายในเออาเป็นโลกอาร์ดา ซึ่งมีสัณฐานกลมอยู่ในท่ามกลางสุญญภูมิ มีอากาศและท้องฟ้าห่อหุ้มล้อมรอบ จากนั้นไอนัวร์ 15 องค์แรกได้ลงมาสู่อาร์ดา ไอนัวร์เหล่านี้เป็นดวงจิตที่มีฤทธิ์มาก เรียกชื่อว่า วาลาร์ มีหน้าที่สร้างสรรค์อาร์ดาให้เป็นไปตามบทดนตรีที่บรรเลง หลังจากนั้นดวงจิตที่มีฤทธิ์รองลงมาจึงได้เข้ามายังอาร์ดาเพื่อคอยช่วยเหลือเหล่าวาลาร์ เรียกดวงจิตเหล่านี้ว่า ไมอาร์

วาเลียนศกและยุคแห่งชวาลา

แก้

ศักราชวาเลียนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไอนัวร์เข้ามายังอาร์ดา ชื่อศักราชมาจากคำว่า วาลาร์ และมีการใช้ศักราชนี้ต่อเนื่องไปจนถึงยุคถัดไปอีกเช่นในยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน หลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีการใช้ศักราชวาเลียนต่อไปในอามันอีก แต่โทลคีนไม่ได้ให้ข้อมูลวันเวลาที่เกี่ยวข้องบนอามันอีกเลยนับแต่จุดนั้น ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์บนมิดเดิลเอิร์ธหลังจากยุคแห่งตะวัน จึงไม่ใช้ศักราชวาเลียนในการอธิบาย

หลังจากที่เหล่าวาลาร์มายังอาร์ดา มีแสงสว่างหนึ่งแผ่ปกคลุมพื้นดินอยู่ วาลาร์จึงนำเอาแสงนั้นมาบรรจุเข้าไปในชวาลาใหญ่สองดวง คืออิลลูอิน และออร์มัล จากนั้นก็เริ่มต้นเรียกว่า ยุคแห่งชวาลา เทพอาวเลยกเทือกเขาขึ้นสูงเป็นเสาโคมสำหรับแขวนดวงชวาลา เรียกชื่อขุนเขานั้นว่า ริงกัล และ เฮลคาร์ ดวงหนึ่งอยู่สุดแดนเหนือ อีกดวงหนึ่งอยู่สุดแดนใต้ แล้วจึงเอาดวงชวาลาทั้งสองแขวนเอาไว้บนขุนเขานั้น ปวงวาลาร์พำนักอาศัยอยู่ในดินแดนตรงกลาง บนเกาะที่ชื่อว่า อัลมาเรน อยู่กลางทะเลสาบใหญ่ ยุคแห่งชวาลาสิ้นสุดลงเมื่อเมลคอร์โค่นทำลายขุนเขาทั้งสองและชวาลาใหญ่ทั้งสองดวงแตกดับไป

ยุคแห่งพฤกษา

แก้

หลังจากชวาลาทั้งสองดวงแตกดับ แผ่นดินก็พินาศวอดวายไป เหล่าวาลาร์จึงย้ายไปอาศัยอยู่บนทวีปอามัน เทพียาวันนาได้สร้างทวิพฤกษาขึ้นบนแผ่นดินแห่งอามัน ชื่อว่า เทลเพริออน (พฤกษาเงิน) และเลาเรลิน (พฤกษาทอง) พฤกษาทั้งสองได้ส่องแสงสว่างให้แก่ทวีปอามัน แต่มิดเดิลเอิร์ธต้องตกอยู่ในความมืด มีแต่เพียงแสงดาวริบหรี่ส่องอยู่บนฟ้าเท่านั้น ต่อภายหลังเทพีวาร์ดาจึงช่วยสร้างดวงดาวที่สุกใสมาประดับบนฟ้าเพิ่มเติม

จากนั้นพวกเอลฟ์ก็ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน เทพโอโรเมเป็นผู้มาพบพวกเขาและนำข่าวกลับไปแจ้งปวงวาลาร์ การตื่นของเอลฟ์เป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดา ไม่นานเมลคอร์ก็พบพวกเอลฟ์เช่นกันและรังควานทำให้เกิดความหวาดกลัว วาลาร์จึงชักชวนเอลฟ์ให้เดินทางไปอยู่ด้วยกันที่อามัน เรียกว่าการเดินทางครั้งใหญ่ของเอลฟ์ และเป็นการทำให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟ์ด้วย เอลฟ์ที่เดินทางไปอามันเรียกว่าพวก เอลดาร์ ส่วนพวกที่ไม่ยอมเดินทางไปเรียกว่าพวก อวาริ ระหว่างทางเอลฟ์หลายกลุ่มตัดสินใจอยู่บนมิดเดิลเอิร์ธต่อ เช่นพวก นันดอร์ และ ซินดาร์ จึงเรียกเอลฟ์กลุ่มนี้ว่า อูมันยาร์ คือผู้ไปไม่ถึงอามันและไม่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา เอลฟ์ตระกูลใหญ่ที่เดินทางไปจนถึงอามันได้แก่ ชาววันยาร์ ชาวโนลดอร์ และชาวเทเลริจำนวนหนึ่ง

เหล่าวาลาร์ได้ทำสงครามกับเมลคอร์เพื่อช่วยเหลือพวกเอลฟ์จากเงื้อมมือของเขา และสามารถจับตัวเขาได้ นำไปขังไว้บนอามันนานถึงสามยุค จากนั้นจึงปล่อยตัวออกมาเพราะเมลคอร์แสดงตนว่าสำนึกผิดแล้ว เขาได้เข้าไปคลุกคลีสนิทสนมกับพวกเอลฟ์ แล้วยุแยงให้พวกเอลฟ์ชาวโนลดอร์แตกคอกันโดยอาศัยบุตรต่างมารดาของฟินเว คือเฟอานอร์และฟิงโกลฟิน เมลคอร์ได้ความช่วยเหลือจากนางแมงมุมยักษ์อุงโกลิอันท์ ทั้งสองช่วยกันทำลายทวิพฤกษาจนตาย แล้วสังหารฟินเว ขโมยดวงมณีซิลมาริลของเฟอานอร์หนีไปมิดเดิลเอิร์ธ

ดวงมณีนี้บรรจุแสงแห่งพฤกษาเอาไว้ภายใน เทพียาวันนาจึงขอจากเฟอานอร์เพื่อนำไปชุบชีวิตพฤกษาทั้งสอง แต่ด้วยความโกรธแค้นที่บิดาถูกสังหาร เฟอานอร์ไม่ยอมยกให้และยังสาปแช่งเมลคอร์ เรียกเขาว่า มอร์ก็อธ รวมถึงสาบานจะไล่ติดตามชิงเอาดวงมณีคืนมาให้จงได้ เขารวบรวมกองทัพได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงฟิงโกลฟินและผู้ติดตามของเขาอีกเป็นจำนวนมากด้วย เมื่อพวกเขายกทัพไปถึงเมืองท่าอัลควาลอนเดของชาวเทเลริ เฟอานอร์ขอเรือของเทเลริเพื่อไล่ตามมอร์ก็อธ แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้ จึงเกิดเป็นสงครามใหญ่เรียกว่า สงครามประหัตประหารญาติครั้งที่หนึ่ง เฟอานอร์ชิงเรือแล้วหนีไป

เฟอานอร์กับพวกแล่นเรือข้ามไปยังมิดเดิลเอิร์ธแล้วก็เผาเรือทิ้ง ทิ้งฟิงโกลฟินกับชาวโนลดอร์ส่วนใหญ่ไว้อีกฝั่ง พวกเขาตัดสินใจติดตามมาโดยเดินทางฝ่าทุ่งน้ำแข็งหฤโหดแห่งเฮลคารักเซ ระหว่างทางผู้คนล้มตายไปมาก การกระทำของเฟอานอร์และชาวโนลดอร์ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาถูกสาปจากเทพมานดอสไม่ให้กลับไปแผ่นดินอามันอีก

ยุคแห่งตะวัน

แก้

ยุคแห่งตะวันเริ่มขึ้นเมื่อวาลาร์สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นจากผลไม้ลูกสุดท้ายของเลาเรลินและดอกไม้ดอกสุดท้ายของเทลเพริออน โดยสร้างนาวาใหญ่และเกาะขึ้นบรรจุ จากนั้นนำขึ้นไปล่องอยู่บนฟากฟ้า หลังจากนั้นการนับปีก็เป็นแบบ "ปีตะวัน" ซึ่งเป็นวิธีการนับบนมิดเดิลเอิร์ธเรื่อยมาตราบจนถึงปัจจุบัน ยุคที่หนึ่งของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ยังคงนับเนื่องสืบไปในยุคแห่งตะวันนี้อีกราวเกือบหกร้อยปี

ยุคของบุตรแห่งอิลูวาทาร์

แก้

ยุคที่หนึ่ง

แก้

เฟอานอร์พ่ายแพ้ต่อทัพบัลร็อกของมอร์ก็อธในเวลาอันรวดเร็วและเสียชีวิตในเวลาต่อมา บุตรของเขารอดมาได้และพากันตั้งอาณาจักรขึ้น เช่นกันกับฟิงโกลฟินกับลูกและหลาน คือบรรดาบุตรของฟินาร์ฟินที่ติดตามมาด้วย พวกเขามาถึงมิดเดิลเอิร์ธหลังจากเฟอานอร์เสียชีวิตไปแล้ว

ทัพโนลดอร์รวมพลังกันและสามารถปิดล้อมมอร์ก็อธให้อยู่แต่ในอังก์บันด์ได้สำเร็จ เกิดเป็นช่วงเวลาสันติสุขอันยาวนานเป็นเวลาหลายร้อยปี ระหว่างเวลานี้พวกมนุษย์ได้เดินทางข้ามเทือกเขาสีน้ำเงินเข้าสู่แผ่นดินเบเลริอันด์ คือสามตระกูลใหญ่ของชาวเอไดน์ได้แก่ ตระกูลเบออร์ ตระกูลฮาดอร์ และตระกูลฮาเล็ธ และได้เข้าร่วมอยู่กับพวกเอลฟ์อย่างสงบสุข แต่ช่วงเวลาแห่งความสันติสุขก็สิ้นสุดไปเมื่อมอร์ก็อธสามารถตีการปิดล้อมแตกลงได้ในสงครามดากอร์บราโกลลัค หลังจากนั้นก็ทำลายอาณาจักรเอลฟ์ลงทีละแห่งจนเกือบหมด อาณาจักรฮิธลุมของฟิงโกลฟินพินาศไปหลังสงครามเนียร์นายธ์อาร์นอยดิอัด อาณาจักรนาร์โกธรอนด์พินาศหลังสมรภูมิทุ่งทุมฮาลัด อาณาจักรโดริอัธแตกในสงครามชิงซิลมาริลระหว่างเอลฟ์ด้วยกัน เรียกว่า สงครามประหัตประหารญาติครั้งที่สอง สุดท้ายคืออาณาจักรกอนโดลินแตกลงด้วยการทรยศของมายกลิน หลานของกษัตริย์ทัวร์กอนเอง

ในช่วงปลายของยุค เอลฟ์และมนุษย์ที่เหลือรอดชีวิตอาศัยอยู่เพียงที่ปากแม่น้ำซิริออนใกล้กับเกาะบาลาร์เท่านั้น เออาเรนดิลเป็นผู้ครอบครองดวงมณีซิลมาริลโดยผ่านทางเอลวิงภรรยา ผู้เป็นหลานของเบเรนและลูธิเอน บุตรของเฟอานอร์ที่เหลือรอดยกทัพตามมาชิงซิลมาริลอีก เกิดเป็นสงครามประหัตประหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลลงเรือหนีไปและออกเดินทางไปตามหาแผ่นดินอามันเพื่อขอความช่วยเหลือจากเหล่าวาลาร์

คำขอของเขาได้รับการตอบสนอง เหล่าวาลาร์ได้ยกทัพมาช่วยเอลฟ์และมนุษย์ทำสงครามกับมอร์ก็อธ เป็นสงครามครั้งใหญ่และครั้งสุดท้ายของยุค ชื่อว่า สงครามแห่งพระพิโรธ มอร์ก็อธถูกจับตัวได้และนำไปขังไว้ในสุญญภูมิ ส่วนแผ่นดินเบเลริอันด์ที่เป็นสมรภูมิรบก็พินาศล่มลงใต้ทะเล

ยุคที่สอง

แก้

ยุคที่สาม

แก้

ยุคที่สี่

แก้

อ้างอิง

แก้

ดูเพิ่ม

แก้