พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออน

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 (สเปน: Alfonso IX; เลออน: Alfonsu IX) หรือ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 (กาลิเซีย: Afonso VIII) เสด็จพระราชสมภพ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1171 ที่ซาโมรา ราชอาณาจักรเลออน สิ้นพระชนม์ 24 กันยายน ค.ศ. 1230 ที่ซาร์เรีย ราชอาณาจักรกาลิเซีย ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเลออนและกาลิเซีย ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าอัลฟอลโซที่ 8 แห่งกัสติยา

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9
ภาพในเอกสาร ตุมโบ เอ ของอาสนวิหารซันเตียโกเดกอมโปสเตลา
กษัตริย์แห่งเลออนและกาลิเซีย
ครองราชย์22 มกราคม ค.ศ. 1188 – 24 กันยายน ค.ศ. 1230
รัชกาลก่อนหน้าพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออน
รัชกาลถัดไปพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา
ประสูติ15 สิงหาคม ค.ศ. 1171
ซาโมรา
สิ้นพระชนม์23/24 กันยายน ค.ศ. 1230 (59 พรรษา)
ฝังพระศพอาสนวิหารซันเตียโกเดกอมโปสเดกอมโปสเตลา
พระมเหสีตึเรซาแห่งโปรตุเกส พระราชินีแห่งเลออน
เบเรงเกลาแห่งกัสติยา
พระบุตรเฟร์นันโด
ซันชา
ดูลเซ
กอนสตันซา พระอธิการิณีแห่งลัสเฮวกัส
พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา
อัลฟอนโซแห่งโมลินา
เบเรงเกลาแห่งเลออน
ราชวงศ์ราชวงศ์บูร์กอญของกัสติยา
พระบิดาพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออน
พระมารดาอูร์รากาแห่งโปรตุเกส พระราชินีแห่งเลออน

ด้วยอุปนิสัยที่เด็ดเดี่ยวจึงทำให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 มุ่งมั่นที่จะกอบกู้อาณาเขตของเลออนที่สูญเสียไปให้กัสติยากลับคืนมา และแม้พระองค์จะเคยถวายความเคารพต่อพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา แต่สุดท้ายกลับหันไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มมุสลิมอัลโมฮัดได้อย่างไม่ลังเล เป็นผลให้ราชอาณาจักรของพระองค์ต้องโทษต้องห้ามจากสมเด็จพระสันตะปาปา การอภิเษกสมรสกับพระธิดาคนโตของกษัตริย์แห่งกัสติยาของพระองค์ถูกสมเด็จพระสันตะปาปาบีบคั้น ทว่าในปี ค.ศ. 1212 พระองค์ปฏิเสธที่จะทำสงครามครูเสดกับกลุ่มอัลโมฮัดร่วมกับพระสสุระเว้นแต่จะได้ดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมาจากกัสติยา แต่ข้อเรียกร้องของพระองค์ไม่ได้รับการตอบสนอง และชาวคริสต์ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดที่ลัสนาบัสเดโตโลซาโดยไม่ต้องมีกองทัพของเลออน อย่างไรก็ดีตัวพระเจ้าอัลฟอนโซเองได้รับชัยชนะครั้งสำคัญนอกพรมแดนทางใต้ของเลออน ทรงยึดกาเซเรสมาจากกลุ่มอัลโมฮัดได้ในปี ค.ศ. 1127 และเมริดากับบาดาโฆซในปี ค.ศ. 1230 ชัยชนะดังกล่าวเป็นการปูเส้นทางสู่การทำเรกองกิสตาที่เซบิยาในเวลาต่อมา

ครอบครัว แก้

พระเจ้าอัลฟอนโซเสด็จพระราชสมภพในซาโมรา พระองค์เป็นพระโอรสคนเดียวของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออนกับอูร์รากาแห่งโปรตุเกส[1] พระบิดาของพระองค์เป็นพระโอรสคนสุดท้องของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยาที่ได้รับส่วนแบ่งในการแบ่งราชอาณาจักร อันเป็นชนวนก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในตระกูลที่สิ้นสุดลงเมื่อพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา พระโอรสของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 รวมราชอาณาจักรเข้าด้วยกันอีกครั้ง[2]

การครองราชย์ แก้

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 ได้บัลลังก์มาด้วยความยากลำบากแม้จะมีสิทธิ์โดยชาติกำเนิด ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1188 ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา เรียกร้องให้อัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่ายอมรับอัลฟอนโซผู้อาวุโสกว่าเป็นเจ้าเหนือหัว แลกกับการที่อัลฟอนโซผู้อาวุโสกว่าจะยอมรับอำนาจในเลออนของอัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่า[3]

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซคือการประชุมกอร์เตสเดเลออนที่ระเบียงมหาวิหารนักบุญอิซิโดโร สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในต้นรัชสมัยบีบบังคับให้พระเจ้าอัลฟอนโซต้องขึ้นภาษีชนชั้นล่าง อันนำไปสู่การต่อต้านและการปฏิวัติในเมืองสองสามแห่ง กษัตริย์ตอบสนองด้วยการเรียกประชุมกอร์เตสหรือกลุ่มสมัชชาที่ประกอบด้วยขุนนาง นักบวช และผู้แทนเมือง และเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินชดเชย บริหารภายในประเทศให้ดียิ่งขึ้น และใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบ นักประวัติศาสตร์มองว่าการประชุมการ์เตสของพระเจ้าอัลฟอนโซมีบทบาทสำคัญต่อการก่อตั้งรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยทั่วทั้งยุโรป

ภาพจำหลัก ๆ อีกอย่างของพระเจ้าอัลฟอนโซคือการอภิเษกสมรสในเวลาต่อมาที่เป็นชนวนปัญหาระหว่างพระองค์กับสมเด็จพระสันตะปาปาเซเลสทีนที่ 3 พระองค์อภิเษกสมรสครั้งแรกในปี ค.ศ. 1191 กับตึเรซาแห่งโปรตุเกส[1] ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่มีพระธิดาให้พระองค์สองคนกับพระโอรสหนึ่งคนที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเด็ก การแต่งงานถูกประกาศให้เป็นโมฆะโดยพระคาร์ดินัลเกรกอรี ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปา ด้วยเหตุผลว่าเป็นการร่วมประเวณีกันของญาติใกล้ชิด[4]

หลังการพ่ายแพ้ของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยาที่สมรภูมิอาลาร์โกส พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 บุกกัสติยาโดยมีชาวมุสลิมให้ความช่วยเหลือด้านกองทัพ[1] พระองค์ถูกสมเด็จพระสันตะปาปาเซเลสทีนที่ 3 ตัดขาดจากศาสนา ในปี ค.ศ. 1197 พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 อภิเษกสมรสกับเบเรงเกลาแห่งกัสติยา ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่อยู่ห่างกันหนึ่งขั้นเพื่อกระชับสันติภาพระหว่างเลออนกับกัสติยา[5] การทำผิดด้วยการร่วมประเวณีกับญาติใกล้ชิดครั้งที่สองนี้ทำให้ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปาลงโทษให้ราชอาณาจักรต้องโทษต้องห้าม[6] ในปี ค.ศ. 1198 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ประกาศให้การแต่งงานของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 กับเบเรงเกลาเป็นโมฆะ แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ด้วยกันจนถึงปี ค.ศ. 1204[7] การถูกประสันตะปาปาประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะครั้งนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้พระเจ้าอัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่ากลับมาโจมตีลูกพี่ลูกน้องของตนอีกครั้งในปี ค.ศ. 1204 แต่สนธิสัญญาทั้งที่ทำในปี ค.ศ. 1205, 1207 และ 1209 ต่างบีบให้พระองค์ยอมรับในอาณาเขตและสิทธิ์ที่ตนมี[8][9] สนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1207 เป็นเอกสารสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังเหลือรอดอยู่ที่เขียนด้วยภาษาถิ่นกัสติยา[10]

ทว่าสมเด็จพระสันตะปาปาถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนมาตราการด้วยความเสี่ยงที่ว่าหากไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ ประชาชนก็จะไม่สนับสนุนนักบวช และพฤติกรรมนอกรีตดังกล่าวจะแพร่กระจายเป็นวงกว้าง กษัตริย์จึงต้องโทษต้องห้ามเพียงผู้เดียว แต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างใด ๆ ให้กับพระองค์ พระองค์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากนักบวชของพระองค์[4]

ในปี ค.ศ. 1211 พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออนมอบปราสาทอัลกัญญิเซสให้กลุ่มอัศวินเทมพลาร์[11] ผู้อยู่อาศัยในปราสาทต่างฉลองให้กับชัยชนะครั้งใหญ่ของกลุ่มอัศวิน[12]

พระโอรสธิดา แก้

ในปี ค.ศ. 1191 พระองค์อภิเษกสมรสกับตึเรซาแห่งโปรตุเกส[13] พระธิดาของพระเจ้าซังชูที่ 1 แห่งโปรตุเกสและพระราชินีดุลเซแห่งอารากอน[14] ระหว่างปี ค.ศ. 1191 ถึง ค.ศ. 1196 ที่การแต่งงานของทั้งคู่ถูกประกาศให้เป็นโมฆะ มีพระโอรสธิดาสามคนถือกำเนิด คือ

  • ซันชา (ค.ศ. 1191–ก่อน ค.ศ. 1243)[15] ไม่แต่งงานและไม่มีบุตร พระองค์กับดุลเซ พระขนิษฐา กลายเป็นแม่ชีหรือไม่ก็เกษียณตนเข้าสู่อารามซานกิเยร์โมบิยาบูเอนา (ราชอาณาจักรเลออน) พระองค์สิ้นพระชนม์ที่อารามดังกล่าวก่อนปี ค.ศ. 1243
  • เฟร์นันโด (ค.ศ. 1192/1193–1214)[16] ไม่แต่งงานและไม่มีบุตร
  • ดุลเซ (ค.ศ. 1193/1194–1248)[17]

วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1197 พระองค์อภิเษกสมรสกับอินฟันตาเบเรงเกลาแห่งกัสติยา พระธิดาของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยากับเอเลนอร์แห่งอังกฤษ การแต่งงานครั้งนี้ให้กำเนิดพระโอรสธิดาห้าคน คือ

  • เอเลนอร์[18] (ค.ศ. 1198[19] – 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1202[19])
  • กอนส์ตันซา (สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1242)[20] กลายเป็นแม่ชีที่วิหารซานตามาริอาลาเรอัลเดลัสอูเอลกัสในบูร์โกส พระองค์สิ้นพระชนม์ที่วิหารดังกล่าว[18]
  • พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา (ค.ศ. 1199/1201–1252) กษัตริย์แห่งกัสติยาในปี ค.ศ. 1217 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอนริเกที่ 1 แห่งกัสติยาและเลออนในปี ค.ศ. 1230
  • อัลฟอนโซ (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1272) ลอร์ดแห่งโมลินาจากการแต่งงานครั้งแรกกับมาฟัลดา กอนซาเลซ เด ลารา[18]
  • เบเรงเกลาแห่งเลออน (สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1237) ในปี ค.ศ. 1224 แต่งงานกับจอห์นแห่งบรีแยน

พระเจ้าอัลฟอนโซยังเป็นบิดาของบุตรนอกสมรสอีกมากมาย

การสิ้นพระชนม์ แก้

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1230 การสิ้นพระชนม์ของพระองค์มีความสำคัญคือทำให้พระโอรสของพระองค์ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา ที่ขณะนั้นเป็นกษัตริย์แห่งกัสติยาอยู่แล้วได้สิบทอดบัลลังก์เลออนต่อจากพระบิดา ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาต่อรองของเบเรงเกลา พระมารดาของพระองค์ ที่โน้มน้าวให้พระธิดาเลี้ยงสละสิทธิ์ในบัลลังก์[21] เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอำนาจในเลออนของตน พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 ทิ้งการสู้รบทางทหารในการยึดนครฆาเอนทันทีที่ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา และเดินทางมาเลออนเพื่อรับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์ การราชาภิเษกครั้งดังกล่าวรวมราชอาณาจักรเลออนกับกัสติยาซึ่งต่อมาจะครองความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรไอบีเรียเข้าด้วยกัน

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 Gerli 2003, p. 54.
  2. Shadis 2010, p. xix.
  3. Shadis 2010, p. 53.
  4. 4.0 4.1 One or more of the preceding sentences incorporates text from a publication now in the public domain: Chisholm, Hugh, ed. (1911). "Alphonso s.v. Alphonso IX.". Encyclopædia Britannica. 1 (11th ed.). Cambridge University Press. p. 735.
  5. Shadis 2010, p. 61-62.
  6. Moore 2003, pp. 70-71.
  7. Reilly 1993, p. 133.
  8. Shadis 2010, pp. 78-84.
  9. Túy 2003, p. 324, 4.84.
  10. Wright 2000.
  11. Martínez Díez, Gonzalo. Los Templarios en la Corona de Castilla (1st ed.). Burgos: La Olmeda, D.L. p. 103. ISBN 9788460462774.
  12. Historia (October 22, 2015). "Apéndice I. Los lugares del Temple". In Martínez, Gemma; Mínguez, Nines. Templarios. Del origen de las cruzadas al final de la Orden del Temple (1st ed.). Madrid: Penguin Random House Grupo Editorial, S. A. U. p. 417. ISBN 9788401015731.
  13. Echols 1992, pp. 400-401.
  14. Fernandes Marques 2008, pp. 62, 87.
  15. Fernandes Marques 2008, pp. 89, 140.
  16. Fernandes Marques 2008, p. 140.
  17. Fernandes Marques 2008, p. 140 y 143.
  18. 18.0 18.1 18.2 Martínez Díez 2007, p. 47.
  19. 19.0 19.1 Flórez 1761, p. 348.
  20. Flórez 1761, p. 355.
  21. Shadis 2010, p. 3.