ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชีวกลศาสตร์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
== คำจำกัดความ ==
'''ชีวกลศาสตร์''' เป็นสาขาหนึ่งของ[[ฟิสิกส์]]ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์การกระทำของ[[แรง]] คำว่าชีวกลศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ชีวะ และกลศาสตร์ คำว่า ชีวะ บ่งชี้ว่าชีวกลศาสตร์มีบางสิ่งที่เกี่ยวของกับสิ่งมีชีวิต ส่วนคำว่า กลศาสตร์ บ่งชี้ว่า ชีวกลศาสตร์มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์แรงและผลกระทบที่เกิดจากแรง ดังนั้น ชีวกลศาสตร์จึงเป็นการศึกษาแรงและผลกระทบที่เกิดจากแรงในสิ่งมีชีวิต ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายที่นำเสนอโดย Herbert Hatze (1974) “ชีวกลศาสตร์ คือการศึกษาโครงสร้างและการทำงานของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการทางกลศาสตร์”
'''ชีวกลศาสตร์''' (Biomechanics) เป็นวิชาหนึ่งในวิทยาศาสตร์ประยุกต์สาขา[[ชีวฟิสิกส์]] (Biophysics)ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ[[ฟิสิกส์]] ที่ทำการศึกษาแรงและผลของแรงในสิ่งมีชีวิต ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า ชีวะ (คือสิ่งมีชีวิต) และ[[กลศาสตร์]] (วิชาว่าด้ววยการศึกษาแรงและผลของแรง)ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายที่นำเสนอโดย Herbert Hatze (1974) “ชีวกลศาสตร์ คือการศึกษาโครงสร้างและการทำงานของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการทางกลศาสตร์”
 
วัตถุประสงค์ของการศึกษาชีวกลศาสตร์
# เพื่อปรับปรุงเทคนิคการเคลื่อนไหว (Improve movement technique)
# เพื่อปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ (Improve equipment)
# เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ (Injury prevention)
 
== ขอบเขต ==
{{โครงฟิสิกส์}}
 
{{โครงชีววิทยา}}
ชีวกลศาสตร์มีเนื้อหากว้างขวางครอบคลุมหลายสาขาวิชาเช่น [[แพทย์ศาสตร์]]และ[[สัตวแพทย์]]ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย การทำงานของอวัยวะต่างๆและงานฟื้นฟูผู้ป่วย วิศวกรรมการแพทย์ ศาสตร์ด้าน[[กายอุปกรณ์]] พฤกษศาสตร์ [[วิทยาศาสตร์การกีฬา]] เป็นต้น
[[หมวดหมู่:กลศาสตร์]]
 
ในแง่ของการนำมาใช้ประโยชน์ มีการนำวิชาชีวกลศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์ วงการวิศวกรรม วงการกีฬา และอื่นๆ โดยเฉพาะในวงการแพทย์ แพทย์เฉพาะทางที่ต้องเข้าใจชีวกลศาสตร์อย่างมากคือ [[แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู]] และ[[ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิคส์]] เนื่องจากต้องเข้าใจถึงการรูปแบบเคลื่อนไหวทั้งปรกติและผิดปรกติ และนำมาซึ่งการรักษาต่างๆเช่น การทำขาเทียม การทำแขนเทียม การรักษาฟื้นฟูนักกีฬา การเพิ่มสมรรถภาพนักกีฬา การรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยกลุ่มมีปัญหาทางการเคลื่อนไหว เป็นต้น
 
 
== วัตถุประสงค์ของการศึกษาชีวกลศาสตร์ ==
 
# เพื่อเข้าใจกลไกของร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ปรกติและผิดปรกติ
# เพื่อนำมาสู่วิธีการรักษาผู้ป่วยด้วยการปรับปรุงเทคนิคการเคลื่อนไหว (Improve movement technique)
# เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้กับมนุษย์และสิ่งมีชีวิต
# เพื่อเพิ่มสมรรถภาพและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะต่างๆทั้งในคนปรกติและนักกีฬา
 
 
== การประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ ==
 
ในทางการแพทย์ การศึกษาชีวกลศาสตร์ของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยๆตามแง่มุมที่ต้องการศึกษา เช่น
 
1. การศึกษาแรงกลทางชีวภาพ (Kinetic study)
2. การศึกษารูปแบบของการเคลื่อนไหว (Kinematic study)
 
3. การศึกษารูปแบบของการหด-คลายตัวของกล้ามเนื้อ (Sequential muscular activity study )
4. การศึกษาพลังงานที่ร่างกายใช้ไปในการเคลื่อนไหว (Energetic study) เป็นต้น
 
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ชีวกลศาสตร์ของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินและการเคลื่อนไหวร่างกาย
 
*การศึกษาแรงกลทางชีวภาพ (Kinetics) เน้นศึกษาปริมาณ ทิศทาง รูปแบบ ของแรงที่กระทำต่อร่างกาย ต่ออวัยวะเฉพาะส่วน เช่น ขา แขน สันหลัง เป็นต้น หรือเฉพาะส่วนย่อยของอวัยวะนั้นๆ เช่น ข้อเข่า เป็นต้น โดยไม่สนใจถึงรายละเอียดอื่นๆแต่อย่างใดเช่น รูปแบบของการเคลื่อนไหว เป็นต้น
*การศึกษารูปแบบของการเคลื่อนไหว (Kinematics) เน้นการศึกษาถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวทั้งที่ปรกติและผิดปรกติ ของร่างกาย ของอวัยวะเฉพาะส่วน เช่น ขา แขน หรือของส่วนย่อยๆของอวัยวะนั้นๆ เช่น ข้อเข่า เป็นต้น โดยไม่สนใจถึงปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณแรงที่กระทำ เป็นต้น
*จุดศูนย์ถ่วง (Center of gravity หรือ CoG หรือ CG) คือ จุดศูนย์กลางสมมติของวัตถุหรือร่างกายมนุษย์ ที่ถูกแรงโน้มถ่วงกระทำ ซึ่งเป็นจุดสมมติที่แทนถึงน้ำหนักตัวทั้งหมด ซึ่งในทางฟิสิกส์ คำว่า “จุดศูนย์กลางของมวล” และ “จุดศูนย์ถ่วง”นั้น มีความหมายแตกต่างกันดังกล่าวข้างต้น แต่โดยทั่วไปมักอนุโลมใช้แทนกันได้ หากเป็นการศึกษาถึงวัตถุหรือมนุษย์ที่อยู่ในอาณาเขตของโลก
*สแตติค (Static) คือ สภาพขณะที่อยู่นิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว
*ไดนามิค (Dynamic)คือ สภาพขณะเคลื่อนไหว หรือมีแรงมากระทำ ทำให้ไม่อยู่นิ่งและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
*การวิเคราะห์การเคลื่อนไหว (Gait analysis) คือ การศึกษาถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ทั้งรูปแบบปรกติ และผิดปรกติ
*ระนาบของการเคลื่อนที่ (Motion plane) ร่างกายของมนุษย์ เหมือนกับวัตถุชนิดอื่นๆ ในแง่ที่มีรูปทรงเป็น 3 มิติ กล่าวคือ มีความกว้าง, ความยาว (หรือความสูง ซึ่งก็คือส่วนสูงนั่นเอง), และความลึก (หรือความหนาของร่างกาย) และพื้นที่รอบๆตัวมนุษย์ ก็เป็นพื้นที่ที่มี 3 มิติเช่นกัน โดยระนาบทั้งสามมีชื่อเรียกดังนี้
**ระนาบใน – นอก เป็นระนาบสมมติที่มีแกนอยู่ในแนวด้านในไปยังด้านนอกของอวัยวะ (กรณีใช้กับทั้งตัว แกนวิ่งจากซ้ายไปขวา) ระนาบนี้จะแบ่งร่างกายหรืออวัยวะเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง โดยมักเรียกตามชื่อในภาษาอังกฤษว่า “ระนาบฟรอนทัล” (Frontal plane) หรือ “ระนาบโคโรนัล” (Coronal plane)
**ระนาบหน้า – หลัง เป็นระนาบสมมติที่มีแกนวิ่งจากด้านหน้าไปยังด้านหลังของร่างกาย ระนาบนี้ จะแบ่งร่างกายหรืออวัยวะเป็นส่วนในและส่วนนอก (หรือแบ่งร่างกายเป็นข้างซ้ายและข้างขวา ในกรณีใช้กับทั้งตัว) โดยมักเรียกตามชื่อในภาษาอังกฤษว่า “ระนาบซาจิทัล” (Frontal plane)
**ระนาบขนานกับพื้นโลก เป็นระนาบสมมติที่มีแกนวิ่งตัดขวางกับลำตัว บางครั้งจึงเรียกว่า “ระนาบตัดขวาง” ระนาบนี้ จะแบ่งร่างกายหรืออวัยวะเป็นส่วนบนและส่วนล่าง โดยมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า “ระนาบฮอริซอนทัล” (Horizontal plane) หรือ “ระนาบทรานสเวิร์ส” (Transverse plane)
*รูปแบบการเคลื่อนไหวร่างกายปรกติ (Normal gait pattern) คือ รูปแบบการเดินหรือการเคลื่อนไหวที่คนส่วนใหญ่ใช้ ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้เดินได้ระยะทางที่ต้องการโดยเสียพลังงานไปน้อยที่สุด
*ความมั่นคงของร่างกาย (Stability)คือการที่มนุษย์สามารถคงท่าทางเอาไว้ได้ โดยที่ไม่ล้มลงไป เช่น สามารถยืนตัวตรงได้โดยที่ไม่ล้มลง สามารถนั่งได้โดยไม่ล้ม เป็นต้น ซึ่งประกอบไปด้วยหลายปัจจัย อาทิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถของระบบประสาท และปัจจัยต่างๆทางชีวกลศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งสำหรับปัจจัยทางชีวกลศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งทำให้ร่างกายมนุษย์สามารถคงความมั่นคงของร่างกายเอาไว้ได้ ได้แก่
**ระดับความสูงของจุดศูนย์ถ่วง (Height of C.G.) หากจุดศูนย์ถ่วง(คือ จุดศูนย์กลางสมมติของร่างกายมนุษย์ ซึ่งแทนน้ำหนักตัวทั้งหมด และถูกกระทำด้วยแรงโน้มถ่วงอยู่ตลอดเวลา)อยู่สูง ร่างกายย่อมมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถตั้งตรงอยู่ได้และล้มลงมาได้ง่ายกว่า
**น้ำหนักตัว (Body weight) หากน้ำหนักตัวมากกว่า ร่างกายย่อมมีแนวโน้มที่ล้มลงมาได้ง่ายกว่าเช่นกัน
**ขนาดของพื้นที่ฐานรองรับ (Area of base of support) หากพื้นที่ฐานรองรับแคบ (หรือพื้นที่ของส่วนที่สัมผัสกับพื้น) ร่างกายย่อมมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถตั้งตรงอยู่ได้และล้มลงมาได้ง่ายกว่า
**ในการประยุกต์กับผู้ป่วยและผู้พิการ เพื่อให้มีความมั่นคงของร่างกายที่ดีนั้น สามารถทำได้โดยการเพิ่มขนาดของพื้นที่ฐานรองรับ เนื่องจากไม่สามารถทำการแก้ไขระดับความสูงของจุดศูนย์ถ่วงและน้ำหนักตัวได้ โดยการเพิ่มขนาดของพื้นที่ฐานรองรับทำได้ โดยการใช้เครื่องช่วยเดินชนิดต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มขนาดของพื้นที่ฐานรองรับอีกด้วย ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้พิการมีความมั่นคงยิ่งขึ้นในขณะยืนหรือเดิน นอกเหนือไปจากหน้าที่อื่นๆเช่น ช่วยทดแทนในกรณีที่ผู้ป่วยอ่อนแรง หรือช่วยผ่อนแรงกรณีมีความเจ็บปวด เป็นต้น
*การศึกษาเรื่องโมเม้นต์ มีประโยชน์ในการดัดแปลงอุปกรณ์ต่างๆทางการแพทย์เช่น ขาเทียม แขนเทียม และมีประโยชน์ในการเพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬาอีกด้วย
 
 
== อ้างอิง ==
<references />ตำรากายอุปกรณ์เล่มที่1 รศ.นพ.เทอดชัย ชีวะเกตุ บก.
 
<references />Jacquelin Perry. Gait analysis: Normal and Pathological Function.
 
 
 
 
 
 
[[หมวดหมู่:กลศาสตร์]][[หมวดหมู่:วิทยาศาสตร์การแพทย์]][[หมวดหมู่:วิทยาศาตร์ประยุกต์]]
[[en:Biomechanics]]