ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เมืองสวางคบุรี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tmd (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Rameshe999 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 53:
==ประวัติ==
===ชื่อเมืองสวางคบุรี===
ตั้งแต่อดีต มีการเรียกชื่อเมืองสวางคบุรีในหลากหลายชื่อ เช่น เมืองฝาง เมืองพระฝาง หรือเมืองสวางคบุรี เป็นต้น<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref> ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในหลักฐานทั้งศิลาจารึกและพระราชพงศาวดาร ดังนี้
 
====เมืองฝาง====
บรรทัด 60:
แนวคิดแรกเชื่อว่ามีที่มาจากสภาพที่ตั้งเมืองเป็นเมืองด่านสำหรับขวางข้าศึก จึงมีชื่อเมืองว่า “เมืองขวาง” ซึ่งมาจากคำว่า “ฉวาง” ในภาษาเขมรหมายความว่า “ขวาง”<ref>สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. '''เที่ยวตามทางรถไฟ'''. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงรจิตจักรภัณฑ์ (รจิต ดุละลัมพะ) และฌาปนกิจศพนางรจิตจักรภัณฑ์ (เจือ ดุละลัมพะ) วันที่ 4 กันยายน 2510. หน้า 60</ref>
 
ส่วนแนวคิดที่สองสันนิษฐานว่ามาจากชื่อต้นฝาง มีที่มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้นำไปต้มออกสีแดงคล้ำสำหรับย้อมผ้า ในสมัยอยุธยาเป็นที่ต้องการของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เป็นสินค้าที่ทำรายได้มาสู่ท้องพระคลังอย่างสม่ำเสมอ เมืองสวางคบุรีในสมัยโบราณจึงมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจโดยตรงอีกอย่างหนึ่งด้วย<ref>พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “เจ้าพระฝาง วีรบุรุษของใคร?”. ใน ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 21 ฉบับที่ 6 เมษายน 2543. หน้า 52-53</ref> ซึ่งเดิมทีบริเวณแห่งนี้มีต้นฝางขึ้นอยู่มาก ในจดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ซึ่งเป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประเทศฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงชื่อของเมืองฝางว่า ''“...สำหรับเมืองฝางนั้น โดยที่ฝางเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อว่าใช้ในการย้อมสี ที่ชาวปอรตุเกศเรียกว่า ซาปัน ลางคนก็แปลว่า เมืองป่าฝาง...”'' <ref>ลาลูแบร์, มองซิเออร์ (เขียน) สันต์ ท.โกมลบุตร (แปล). '''จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ราชอาณาจักรสยาม'''. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2548. หน้า 31</ref> สำหรับแนวคิดที่สองนี้ค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
====เมืองสวางคบุรี====
'''เมืองสวางคบุรี''' ชื่อนี้ปรากฏหลักฐานในสมัยอยุธยาตอนปลายสืบเนื่องมาจนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้สันนิษฐานว่ามีที่มาจาก “สว่างบุรี” แปลว่า เมืองสว่าง หมายความว่าเป็นเมืองที่ได้รับความสว่างจากพระพุทธศาสนา ต่อมาได้กลายเป็น “เมืองสวางคบุรี” โดยไม้เอกหายไปมีตัว ค เข้ามาแทน <ref> มณเฑียร ดีแท้. ประวัติวัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถและเจ้าพระฝางหัวหน้าก๊กเจ้าพระฝาง เมืองอุตรดิตถ์. อุตรดิตถ์ : วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์, 2519. หน้า 41</ref> ส่วนในเอกสารประกาศเทวดาบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 4 พบการเรียกชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองฉวาง” <ref> ศุภวัฒย์ เกษมศรี, พลตรี หม่อมราชวงศ์. พระราชพงศาวการกรุงศรีอยุธยา ฉบับเยเรเมียส ฟาน ฟลีต และผลงานคัดสรร พลตรี หม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒย์ เกษมศรี นักประวัติศาสตร์อาวุโสดีเด่น. กรุงเทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ฯ, 2552. หน้า 116</ref> ซึ่งน่าจะเกิดจากการรับรู้เกี่ยวกับการออกเสียงที่ต่างกัน จึงทำให้เกิดการเขียนพยัญชนะต่างกันตามไปด้วย<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
ถึงแม้ว่าในระยะหลังจะมีการเรียกเมืองฝางว่าเมืองสวางคบุรี แต่ชื่อเมืองฝางก็ยังมีการใช้เรียกปะปนกับชื่อสวางคบุรีมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอกสารประวัติศาสตร์ล้านนา เช่น ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ <ref> อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และ เดวิด เค. วัยอาจ (ปริวรรต). ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. เชียงใหม่ : ซิลค์เวอร์บุคส์, 2547. หน้า 85</ref> และตำนานพื้นเมืองน่าน <ref> สรัสวดี อ๋องสกุล (ปริวรรต). พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด. กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง, 2539. หน้า 60-62</ref> หรือแม้แต่ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเรียกว่า “เมืองฝาง” <ref> จิราภรณ์ สถาปนะวรรธนะ และคณะ. รายงานการวิจัยเอกสารประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือของรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2444 (ร.ศ.120). พิษณุโลก : รัตนสุวรรณการพิมพ์ 3, 2551. หน้า 71</ref> แสดงให้เห็นว่าชื่อเมืองฝางจะเป็นที่รับรู้ของผู้คนโดยทั่วไปมากกว่าชื่อสวางคบุรี ซึ่งน่าจะเป็นชื่อที่มีการตั้งชื่อขึ้นใหม่โดยราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยาในภายหลัง<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
== ขอบเขตที่ตั้งเมืองสวางคบุรีโบราณ ==
บรรทัด 93:
นอกจากนี้ ใต้เมืองสวางคบุรีทางฝั่งซ้าย[[แม่น้ำน่าน]] บริเวณที่เรียกกันในปัจจุบันว่าวัดคุ้งตะเภา สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ตั้งของค่ายหาดสูงในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี คราวพักทัพหลังจากปราบชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรี ปรากฏหลักฐานการอพยพเคลื่อนย้ายการสร้างวัดและตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากเมืองสวางคบุรี การค้นพบหลักฐานพระราชกำหนดบทพระอัยการสมัยอยุธยาจำนวนมาก และซากโบราณสถานทั้งที่เป็นไม้และอิฐโบราณ ในเขตพื้นที่โบราณสถานวัดคุ้งตะเภาในปัจจุบัน
 
ซึ่งบริเวณดังกล่าวสันนิษฐานว่าอาจเคยเป็นศูนย์กลางทางการปกครองชั่วคราวของเมืองสวางคบุรีในสมัยธนบุรี ก่อนจะมีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำบางโพ ท่าอิฐ ท่าเสา เนื่องจากการเปลี่ยนเส้นทางการค้ากับหัวเมืองล้านนาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในระยะต่อมา<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
 
บรรทัด 99:
เมืองสวางคบุรีนั้นมีพัฒนาการของการเป็นชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองที่มีพระมหาธาตุเป็นศูนย์กลาง จนในที่สุดกลายเป็นเมืองที่มีบทบาททางการเมืองหลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
 
เมืองสวางคบุรี มีนักวิชาการประวัติศาสตร์หลายท่านสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากชุมชนทางการค้า ในขณะเดียวกันภาพปูนปั้นที่โบสถ์ของวัดพระฝางสวางคบุรียังเป็นรูปปั้นที่คล้ายพ่อค้าแขกเปอร์เซียยืนถือกริช ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพทางการค้าของสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่ขุนนางราชสำนักส่วนใหญ่เป็นเปอร์เซียที่คุมการค้าในกรมท่าขวา<ref>ขวัญเมือง จันทโรจนี. อาลัยรักขวัญเอยเมืองเอย. พิษณุโลก : รัตนสุวรรณ 3, 2541. หน้า 84</ref> ทำให้เกิดการพบปะของผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติที่มาทำการค้า และนอกเหนือจากความรุ่งเรืองทางศาสนาที่ทำให้เมืองสวางคบุรีต้องขยายตัวแล้ว เมืองสวางคบุรียังได้ขยายตัวจากการค้าของป่าที่รุ่งเรืองในสมัยอยุธยาตอนปลายและอาจจะเป็นตลาดใหญ่ในหัวเมืองเหนือ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากหัวเมืองลาว ทั้งลาวในกลุ่มวัฒนธรรมล้านนาและล้านช้าง<ref>ขวัญเมือง จันทโรจนี. อาลัยรักขวัญเอยเมืองเอย. พิษณุโลก : รัตนสุวรรณ 3, 2541. หน้า 84</ref> แต่หลังจากการปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝางของ[[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] คงทำให้ตลาดการค้าของป่าที่เมืองสวางคบุรีซบเซา และย้ายตลาดการค้ามาอยู่ที่บริเวณเมืองบางโพ-ท่าอิฐ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้เมืองสวางคบุรีลงมา<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
=== ยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัย ===
[[ไฟล์:Tha_Sao-Ban_Bung-Ban_Khung_Taphao_(antiques).jpg|thumb|300px|'''ซ้าย''': กลองมโหระทึกสำริดในวัฒนธรรมดองซอน ขุดพบที่ม่อน[[วัดเกษมจิตตาราม|วัดศัลยพงษ์]] ตำบลท่าเสา ในปี [[พ.ศ. 2470]]<ref>พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2545). '''ศาสนาการเมืองในประวัติศาสตร์สุโขทัย-อยุธยา'''. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.</ref><br />'''กลาง''': ซากกระดูกที่กลายเป็นหินและโบราณวัตถุของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบที่บ้านบุ่งวังงิ้ว ใกล้กับบึงกะโล่ (สองหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ใกล้กับเมืองสวางคบุรี) <br />'''ขวา''': ถ้วยกระเบื้องแบบจีน พบบนเนินทรายกลางแม่น้ำน่านบริเวณ[[บ้านคุ้งตะเภา]] (หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเส้นทางคมนาคมและชุมนุมการค้าสำคัญของสวางคบุรีช่วงต่อมา ก่อนจะหมดความสำคัญลงในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์)]]
 
ด้วยเมืองสวางคบุรีที่ตั้งอยู่ที่เหนือสุดในที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง มีความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และติดกับแหล่งน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการอุปโภคบริโภค รวมทั้งเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญด้วย จึงเหมาะสมอย่างยิ่งในการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดพระฝาง พบว่า ในชั้นดินล่างสุด เป็นชั้นดินสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ระหว่าง 3,500-2,000 ปี มาแล้ว มีการพบเครื่องมือหินขัดที่พบมีขนาดใหญ่ 8 x 25 เซนติเมตรและเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากตามริมฝั่งแม่น้ำน่านที่ระดับ 4 เมตรจากผิวดิน <ref>จารึก วิไลแก้ว. “โบราณคดีภาคเหนือตอนล่าง”. ใน ปราณี วงศ์เทศ (บรรณาธิการ). '''สังคมและวัฒนธรรมในประเทศไทย'''. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2542. หน้า 413</ref> ต่อมาชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็ได้มีพัฒนาการทางสังคมเกิดขึ้น โดยคงมีการรวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่บริเวณริมฝั่งทางด้านซ้ายของแม่น้ำน่าน และกลายเป็นเมืองขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 11-16<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
พัฒนาการของเมืองสวางคบุรีน่าจะเริ่มต้นจากการขยายตัวทางการค้าของจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งจีนได้เปลี่ยนนโยบายทางการค้าจากเดิมที่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพ่อค้าแคว้นศรีวิชัย มาเป็นการค้าที่จีนส่งคนเข้ามาทำการค้าโดยตรงกับบ้านเมืองต่างๆ ในบริเวณสุวรรณภูมิ<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
ในพุทธศตวรรษที่ 18 การค้าก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มคนไปตามที่ราบลุ่มแม่น้ำสายใหญ่ๆ และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่มีทรัพยากรสำคัญซึ่งเป็นสินค้าที่จีนต้องการ หรือตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่เป็นชุมทางการคมนาคม ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้เมืองสวางคบุรีได้ก่อตัวขึ้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน อันเป็นพื้นที่ที่มีไม้ฝางซึ่งเป็นสินค้าที่จีนต้องการ และอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างบ้านเมืองทางตอนในนี้ด้วย นอกจากเมืองสวางคบุรีแล้ว ยังมีเมืองอื่นๆ ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน อย่างเช่น เมืองทุ่งยั้งที่เป็นชุมทางการค้าทางบกและเมืองนครไทย ซึ่งมีสินค้าจำพวกของป่ามากมาย <ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2526. หน้า 78-85</ref>
บรรทัด 114:
เมื่อเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 19 บ้านเมืองที่อยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักได้พัฒนาการเป็นรัฐขึ้น เช่น รัฐสุโขทัย รัฐอโยธยา นครรัฐน่านและรัฐล้านช้าง (หลวงพระบาง) เมืองสวางคบุรีได้กลายเป็นเมืองชายขอบของรัฐสุโขทัยที่ติดต่อกับนครรัฐน่านและรัฐล้านช้าง ทำให้เมืองสวางคบุรีมีสภาพหรือฐานะเป็นเมืองด่านที่ควบคุมเส้นทางคมนาคมที่จะต่อไปยังเมืองน่านและบรรดาเมืองทางลุ่มแม่น้ำโขง ในแถบเมืองหลวงพระบางด้วย อาจกล่าวได้ว่าตำแหน่งที่เมืองสวางคบุรีตั้งอยู่นี้ อยู่ในบริเวณตอนเหนือสุดของลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง หรืออีกนัยหนึ่งอยู่ตอนเหนือสุดเขตแคว้นสุโขทัย <ref>ศรีศักร วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532.หน้า 61</ref>
 
เมืองสวางคบุรีจึงตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนเส้นทางคมนาคมระหว่างรัฐโบราณถึง 3 รัฐ นั่นก็คือ 1. รัฐสุโขทัยซึ่งต่อมาก็จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอยุธยา 2. รัฐล้านช้างซึ่งระยะแรกมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงพระบางต่อมาได้ย้ายลงมาอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และ 3. นครรัฐน่าน<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
=== ยุคอาณาจักรสุโขทัย ===
บรรทัด 126:
 
=== ยุคอาณาจักรอยุธยา ===
[[ไฟล์:Wat Phra Fang.jpg|thumb|160px|ภาพบุคคลปูนปั้นที่ผนังโบสถ์[[วัดพระฝาง]]ด้านนอก คล้ายพ่อค้าแขก[[เปอร์เซีย]]ยืนถือ[[กริช]] แสดงให้เห็นว่า มีคนหลายกลุ่มเดินทางมา โดยเฉพาะในสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>]]
 
เมืองสวางคบุรีได้ขยายตัวอย่างมากจากการค้าของป่าที่รุ่งเรืองในสมัยอยุธยาตอนปลาย และอาจจะเป็นตลาดใหญ่ในหัวเมืองเหนือ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากหัวเมืองลาว ทั้งลาวในกลุ่มวัฒนธรรมล้านนาและล้านช้าง <ref>ขวัญเมือง จันทโรจนี. อาลัยรักขวัญเอยเมืองเอย. พิษณุโลก : รัตนสุวรรณ 3, 2541.</ref>
 
และเนื่องจากไม้ฝาง ที่มีอยู่ทั่วไปโดยรอบเมืองสวางคบุรี เป็นหนึ่งในสินค้าต้องห้ามในสมัยอยุธยา โดยมากตัดมาจากป่าทางภาคเหนือและทางตะวันตก ไม้ชนิดนี้เหมาะกับงานยอมผ้า ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง บันทึกว่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ราชสำนักอยุธยาส่งไม้ฝางลงเรือสำเภาไปขายที่[[จีน]]และ[[ญี่ปุ่น]]ปีละหลายลำ <ref>ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์ และวิไลรัตน์ ยังรอต. อยุธยา. กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส, 2550. หน้า 17</ref> โดยเฉพาะจีนนั้นนอกจากอยุธยาจะส่งออกไปจำหน่ายแล้ว ยังส่งเป็นบรรณาการแด่ฮ่องเต้จีนตั้งแต่เริ่มแรกอีกด้วย<ref>วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ. '''หนังกวาง ไม้ฝาง ช้าง ของป่า : การค้าอยุธยาสมัยพุทธศตวรรษที่ 22-23'''. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2550. หน้า 31</ref> เมืองสวางคบุรีคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งทางหัวเมืองเหนือ ที่ส่งไม้ฝางไปยังกรุงศรีอยุธยา<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
=== ยุคธนบุรี (ภาวะจลาจลหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2) ===
{{ดูเพิ่มที่|ชุมนุมเจ้าพระฝาง}}
 
หลังจากเหตุการณ์ที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาจนต้องเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 บรรดาหัวเมืองใหญ่ที่มีกำลังมากและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่า ต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระ และขยายอำนาจรวบรวมเมืองใกล้เคียงที่อ่อนแอกว่าไว้ในอำนาจ เพื่อที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ เมืองสวางคบุรีซึ่งเดิมตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ ก็ได้ตั้งตัวเป็นอิสระในการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การนำของพระพากุลเถร สังฆราชาแห่งเมืองสวางคบุรี หรือที่คุ้นชื่อกันดีในนาม “เจ้าพระฝาง” แต่หลังจากที่มีความรุ่งเรืองอยู่ไม่นานก็ถูกกองทัพของ[[พระเจ้ากรุงธนบุรี]]ปราบปรามลง ในปี [[พ.ศ. 2313]] จนทำให้เมืองถูกทำลายเป็นอย่างมาก<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
[[ไฟล์:Monument of King Taksin in Wat Kungtapao.jpg|thumb|160px|left|พระบรมราชานุสาวรีย์ [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] ประดิษฐาน ณ ที่ตั้งพระตำหนักค่ายหาดสูง ตามพระราชพงศาวดาร ([[วัดคุ้งตะเภา]])]]
บรรทัด 143:
[[ไฟล์:Chao Phra Fang 2.jpg|thumb|160px|รูปหล่อบุคคลในพิพิธภัณฑ์วัดพระฝาง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นรูปหล่อของเจ้าพระฝางเรือน อดีตผู้นำชุมนุมอิสระหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]]
 
หลังชุมนุมเจ้าพระฝางถูกปราบลงสำเร็จ [[พระเจ้ากรุงธนบุรี]]ได้ทรงพักทัพอยู่ที่ค่ายพระตำหนักหาดสูง เมืองสวางคบุรี 3 เดือน ตลอดฤดูน้ำ เพื่อบัญชาการจัดระเบียบคณะสงฆ์หัวเมืองเหนือใหม่ทั้งหมดในปีเดียวกันนั้น และให้เกลี่ยกล่อมรวบรวมราษฎรที่หลบหนีภัยสงครามตามป่าเขา และจัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ พร้อมทั้งสร้าง[[วัดคุ้งตะเภา]] และสร้างศาลาบอกมูลฯ ขึ้นในจุดที่ตั้งของที่พักทัพไพร่พลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คราวกระทำศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรวบรวมชุมชนและเป็นที่พำนักสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมที่ทรงอาราธนานิมนต์มาจาก[[กรุงธนบุรี]] ปัจจุบันปรากฏซากเสาอาคารไม้ เศษอิฐโบราณ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานสมุดไทยดำพระราชกำหนดบทพระอัยการลักษณะต่าง ๆ จำนวนมาก แสดงถึงการเป็นจุดศูนย์รวมสำคัญของชุมนุมผู้คนในสมัยอดีต ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ตกค้างมาจากการที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางชั่วคราวของเมืองสวางคบุรีในอดีตหลังสงครามปราบชุมนุมเจ้าพระฝางยุติลง<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref><ref>“พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ”. (2542). '''ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 3'''. กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.</ref>
 
หลังจากการทำสงครามดังกล่าวเสร็จสิ้น เจ้าพระฝางก็หายสาบสูญไป อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเมืองสวางคบุรีของเจ้าพระฝางก็ล่มสลายลง ศูนย์กลางเมืองเหลือไว้แต่เพียงวัดพระมหาธาตุเมืองฝาง อันเคยเป็นศูนย์รวมใจของชาวเมืองสวางคบุรี ที่มีสภาพทรุดโทรมลงในระยะต่อมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คน
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝางของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่งผลให้ตลาดการค้าของป่าที่เมืองสวางคบุรีซบเซา เพราะบอบช้ำจากภัยสงคราม และผู้คนจำนวนหนึ่งก็ค่อย ๆ อพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บริเวณ[[คุ้งตะเภา]] ท่าเสา ท่าอิฐ บางโพ ตามลำดับ จึงอาจเรียกได้ว่าภาวะจลาจลหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เป็นยุคที่เมืองสวางคบุรีมีความผกผันจากจุดรุ่งเรืองสูงสุด ลงสู่จุดที่บ้านเมืองมีสภาพบอบช้ำจากการสงครามในเวลาไม่นานนัก<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
=== ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ===
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองบางโพ-ท่าอิฐ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้เมืองสวางคบุรีลงมา ได้กลายเป็นตลาดชุมทางการค้าที่มีบทบาทไม่ต่างไปจากเมืองฝาง เนื่องจากเป็นชุมทางการค้าขนาดใหญ่และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ที่เจริญขึ้นมาจากการค้าขายทั้งทางน้ำและทางบกกับหัวเมืองล้านนาและล้านช้างในบริเวณดังกล่าว นอกจากนั้น ยังมีความเหมาะสมในทางภูมิศาสตร์ไม่ต่างไปจากเมืองสวางคบุรี และยังสามารถเป็นทั้งชุมทางการค้าทางน้ำและทางบกที่สามารถเชื่อมต่อยังเมืองแพร่และเมืองสวรรคโลกได้ จนทำให้ได้รับพระราชทานชื่อ "อุตรดิตถ์" ในสมัยรัชกาลที่ 4 จนภายหลังมีการสร้างทางรถไฟ ได้มีการย้ายเมืองพิชัยมาตั้งอยู่ที่นั่น และกลายเป็นที่ตั้งของตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
==สภาพภูมิศาสตร์==
[[ไฟล์:Sawangkaburi.jpg|thumb|200px|แผนที่ปริมณฑลโบราณสถานและภูมินามวิทยา ที่ปรากฏความเกี่ยวเนื่องกับเมืองสวางคบุรีโบราณ ตามหลักฐานพระราชพงศาวดาร<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). ''''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>]]
 
ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองสวางคบุรีเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำน่าน มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก ที่ราบลุ่มแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาถึงสามด้านด้วยกัน ยกเว้นทางทิศตะวันตกด้านเดียวเท่านั้นที่ไม่มีภูเขากั้น มีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบลุ่มหุบเขา และถือว่าเป็นที่ราบลุ่มแห่งแรกในลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง สภาพที่ตั้งเมืองสวางคบุรีจึงถือได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
 
เส้น 161 ⟶ 159:
[[ไฟล์:Kun Fang Mountain.jpg|thumb|160px|left|ภูเขาขุนฝาง ทางด้านทิศเหนือของเมืองสวางคบุรี ถ่ายบริเวณทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี (ทุ่งบ่อพระ)]]
 
นอกจากนี้ การที่เมืองสวางคบุรีตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยากับรัฐล้านช้างและนครรัฐน่าน ทำให้เมืองฝางได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมจากรัฐต่างๆ เหล่านี้ อย่างเช่น การวางผังวิหารหลวงกับพระมหาธาตุแบบที่นิยมกันในสมัยสุโขทัย รูปแบบโบสถ์วัดพระฝางที่มีสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนกลาง-ตอนปลาย พระพุทธรูปพระฝางที่ประดิษฐานในโบสถ์ก็เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยสมัยอยุธยาตอนปลาย พระพุทธรูปไม้สลักซึ่งเป็นศิลปะผสมระหว่างสกุลช่างท้องถิ่นกับสกุลช่างเมืองน่าน หลวงพ่อเชียงแสนซึ่งพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ พุทธลักษณะก็เป็นศิลปะผสมผสานระหว่างศิลปะสุโขทัย ล้านนาและล้านช้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการเดินทางหรือติดต่อสัมพันธ์ของผู้คนจากถิ่นต่างๆ กับชาวเมืองฝางเกิดขึ้นภายในเมืองนี้<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
== โบราณสถานและสถานที่สำคัญในเขตเมืองสวางคบุรี ==
[[ไฟล์:Old picture of Wat Phra Fang 02.jpg|thumb|160px|ภาพเก่า[[วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ]] สถานที่ประดิษฐานพระมหาธาตุศูนย์กลางของเมืองสวางคบุรี]]
* '''[[วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ]]''' วัดพระฝางหรือวัดพระมหาธาตุเมืองฝางเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระฝาง ซึ่งชาวบ้านบางคนเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บารมีของเจ้าพระฝาง เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเมืองฝาง ปูชนียสถานสำคัญและเป็นศูนย์กลางของเมืองสวางคบุรี
* '''โบราณสถานวัดโพธิ์ผียก''' ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองสวางคบุรี ใกล้กับหอประปาบ้านพระฝางหมู่ที่ 4 เดิมเคยเป็นที่ตั้งของที่ทำการป่าไม้แขวง บริเวณนี้มีเคยมีการพบฐานวิหารและฐานเจดีย์ ในสมัยอยุธยาตอนกลาง-ตอนปลาย ซึ่งถูกทำลาย ปัจจุบันพบเพียงเศษอิฐและกระเบื้องแตกกระจายอยู่ทั่วบริเวณไร่อ้อย วัดนี้อยู่ทางตะวันออกของบ้านพระฝางในปัจจุบัน และคงถูกได้รับความเสียหายในช่วงศึกเมืองสวางคบุรี พ.ศ. 2313 ต่อมาจึงถูกทิ้งร้าง เนื่องจากมีผู้คนและแรงงานในการปฏิสังขรณ์ไม่เพียงพอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีชาวเมืองสวางคบุรีมีการย้ายถิ่นฐานหลังสิ้นศึกครั้งนี้ เหตุที่ชาวบ้านเรียกชื่อวัดโพธิ์ผียกนั้น มาจากในอดีตบริเวณนี้มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ ต่อมาในถูกพายุพัดโค่นลงในตอนเย็นของวัน ๆ หนึ่ง พอถึงรุ่งเช้าชาวบ้านมาดูอีกครั้งพบว่าต้นโพธิ์กลับยืนต้นอยู่เหมือนเดิม ชาวบ้านจึงเชื่อว่ามีผีมายกต้นโพธิ์ขึ้น จึงเรียกชื่อว่าโพธิ์ผียกตั้งแต่นั้นมา<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''ซากโบราณสถานใกล้กำแพงวัดพระฝางทางทิศตะวันออก''' ซากโบราณสถานแห่งนี้ปัจจุบันอยู่ในที่ดินของชาวบ้าน อยู่ใกล้กับแนวกำแพงและประตูวัดพระฝางทางทิศตะวันออก แต่เดิมบริเวณนี้เคยมีการพบซากโบราณสถานกลุ่มหนึ่ง แต่ถูกชาวบ้านขุดหาของมีค่า ในระยะหลังมีการนำดินมาถมทับซากโบราณสถานจนไม่เหลือร่องรอยแล้ว<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
[[ไฟล์:Historic site of wat khung taphao 02.jpg|thumb|160px|ซากโบราณสถานวัดคุ้งตะเภา ที่ตั้งค่ายพระตำหนักหาดสูงตามพระราชพงศาวดาร]]
* '''[[โบราณสถานวัดคุ้งตะเภา]]''' อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสวางคบุรี เป็นจุดที่ตั้งของที่พักทัพไพร่พลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คราวกระทำศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง เมืองสวางคบุรี และมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เกลี่ยกล่อมรวบรวมราษฎรที่หลบหนีภัยสงครามตามป่าเขา และจัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ พร้อมทั้งสถาปนาวัดคุ้งตะเภา และสร้างศาลาบอกมูลฯ ขึ้นในคราวเดียวกันนั้น เพื่อให้เป็นศูนย์รวมชุมชนและเป็นที่พำนักสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมที่ทรงอาราธนานิมนต์มาจากกรุงธนบุรี วัดคุ้งตะเภาเคยปรากฏหลักฐานการเป็นที่สถิตย์จำพรรษาของพระครูสวางคมุนี ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองฝาง<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2431/017/137_1.PDF ตั้งตำแหน่งพระสงฆ์], เล่ม ๕ ตอน ๑๗, ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๑, หน้า ๑๓๘</ref> มาแต่โบราณ ปัจจุบันปรากฏซากอาคารไม้ เศษอิฐโบราณ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานสมุดไทยดำพระราชกำหนดบทพระอัยการลักษณะต่าง ๆ จำนวนมาก แสดงถึงการเป็นจุดศูนย์รวมสำคัญของชุมนุมผู้คนในสมัยอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกค้างมาจากการที่บริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งศูนย์กลางชั่วคราวของเมืองสวางคบุรีในอดีต ก่อนการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนไปยังบริเวณท่าเสา ท่าอิฐ และเจริญขึ้นมาจากการค้าขายทั้งทางน้ำและทางบกกับหัวเมืองล้านนาและล้านช้าง จนทำให้ได้รับพระราชทานชื่อ "อุตรดิตถ์" ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้รับยกฐานะเป็นที่ตั้งตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ ในระยะต่อมา<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''[[โบราณสถานวัดใหญ่ท่าเสา]]''' อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสวางคบุรี ท่าเสาเป็นชุมชนที่เริ่มมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 23-24 เป็นอย่างน้อย ดังปรากฏหลักฐานว่าโบสถ์และหอไตรภายในวัดใหญ่ท่าเสาเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เคยเสด็จมาทอดพระเนตรโบราณวัดใหญ่ท่าเสาเมื่อปี พ.ศ. 2444 ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่าวัดนี้เป็นวัดเก่ามาก แต่เดิมชุมชนแห่งนี้น่าจะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ชื่อของบ้านคือ ท่าเสา จากเรื่องราวชีวประวัติพระยาพิชัยดาบหักที่แต่งขึ้นโดยพระยาศรีสัชนาลัยบดีว่า นายทองดี (พระยาพิชัยดาบหัก) ได้เคยมาศึกษาวิชามวยกับครูเมฆที่บ้านท่าเสาด้วย<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
[[ไฟล์:Wat Doi Kaew Uttaradit.jpg|thumb|160px|โบราณสถานอุโบสถวัดดอยแก้ว ต.แสนตอ มีสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับอุโบสถวัดพระฝาง]]
* '''หลักประโคน''' หรือหลักมั่นหลักคง ตั้งอยู่ที่ บ้านผาเต่า ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นหลักหินขนาดใหญ่ สูงราว 1.20 เมตร กว้างราว 40 เซนติเมตร ขาวบ้านเรียกว่า หลักมั่น อีกหลักมีขนาดเล็กกว่า สูงราว 50 เซนติเมตร เรียกว่า หลักคง เป็นแผ่นหินธรรมชาติ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเขตแดนระหว่างเมืองน่านกับเมืองสวางคบุรี ในจุดที่ห้วยสามแสน และห้วยไหวตามอย มาสบกันที่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำน่าน เสานี้ปรากฏในแผนที่โบราณว่า “หลักประโคน”<ref>Santanee Phasuk and Philip Stott. (2004). ROYAL SIAMESE MAPS : War and Trade in Nineteenth Century Thailand. Bangkok : River Books.</ref>
* '''วัดวังยาง''' อยู่ที่บ้านวังยาง ตำบลผาจุก ที่ได้ชื่อว่าวังยางนั้น มาจากแม่น้ำน่านบริเวณดังกล่าวเป็นแอ่งน้ำลึก และมีต้นยางขึ้นอยู่ริมฝั่งจำนวนมาก จากตำนานเจ้าพระฝางทำให้ทราบว่าวัดวังยาง เป็นที่อยู่ของพระครูคิริมานนท์ สหธรรมิก (เพื่อน) ของเจ้าพระฝาง ผู้เป็นกำลังสำคัญในการปกครองและควบคุมผู้คนสู้รบกับกองทัพจากกรุงธนบุรี<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''อุโบสถโบราณวัดดอยแก้ว''' อยู่ในเขตหมู่ที่ 4 ตำบลแสนตอ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ใช้อิฐและศิลาแลงจากวัดทุ่งอ้อมโบราณ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2326 ในโบสถ์เคยประดิษฐานพระพุทธรูปไม้หน้าตักกว้าง 80 เซนติเมตร สูง 2 เมตร ที่ฐานมีจารึกว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2326 พร้อมกับโบสถ์หลังเดิม แต่ปัจจุบันนี้โบสถ์ชำรุดทรุดโทรมมาก<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''[[ม่อนพระพุทธบาทสี่รอยบ้านนาตารอด]]''' ตั้งอยู่ที่ยอดม่อนภูเขาสูงกลางป่าชุมชนบ้านนาตารอด อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยรอบอาคารพระพุทธบาท มีที่พักสงฆ์และศาลาขนาดเล็กที่สร้างมาตั้งแต่สมัยก่อน พ.ศ. 2500 โดยพระครูนิกรธรรมรักษ์ (ไซร้) เจ้าอาวาสวัดช่องลม เกจิอาจารย์ใหญ่แห่งเมืองอุตรดิตถ์ในสมัยนั้น<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''ด่านคุ้งยาง''' อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ในเขตตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ คุ้งยางเป็นคุ้งน้ำในแม่น้ำน่านที่มีต้นยางขึ้นอยู่มาก ใต้คุ้งยางลงมาก็จะมีแก่งและโขดหินที่สามารถเดินข้ามไปได้ในหน้าแล้ง ในขณะเดียวกันก็เป็นด่านทางด้านเหนือของเมืองสวางคบุรีด้วย ด่านคุ้งยางเป็นบริเวณที่เจ้าพระฝางเดินทางมาหลังตีฝ่าวงล้อมของกองทัพกรุงธนบุรีออกมาจากเมืองสวางคบุรีได้ โดยมีทหารหามเสลี่ยงหรือยานมาศ พามาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ได้ข้ามแม่น้ำน่านที่ด่านคุ้งยางพร้อมกับลูกช้างพังเผือก<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
[[ไฟล์:Wat Khung Taphao 1950.jpg|thumb|160px|โบราณสถานวัดคุ้งตะเภา จุดที่ตั้งของที่พักทัพไพร่พลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คราวกระทำศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง เมืองสวางคบุรี]]
* '''ด่านกุมภีร์ทอง''' อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง เหนือด่านคุ้งยางขึ้นมาเล็กน้อย ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดกุมภีร์ทอง<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''น้ำพุเจ้าพระฝาง''' คือ แหล่งน้ำซับที่ซึมไหลออกมาจากภูเขาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองสวางคบุรี ปัจจุบันอยู่ในเขตสำนักสงฆ์วัดพระบาทน้ำพุ (ชาวบ้านพระฝางเรียกว่า วัดเหนือ) ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำพุที่นี่เป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ผุดมาจากใต้ดิน เจ้าพระฝางจึงได้ใช้น้ำที่นี่อาบสรงแทนน้ำในแม่น้ำน่าน เพื่อเพิ่มความเข้มขลัง อยู่ยงคงกระพันและสร้างความยิ่งใหญ่ในการเป็นผู้นำชุมนุม ในอดีตชาวบ้านพระฝางยังนำน้ำที่บ่อน้ำพุมาสรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในเทศกาลสงกรานต์ น้ำพุเจ้าพระฝางยังเป็นต้นกำเนิดของคลองน้ำพุ คูเมืองธรรมชาติทางทิศตะวันออกของเมืองสวางคบุรีอีกด้วย<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''ขุนฝาง''' คือ เทือกเขาที่เป็นต้นกำเนิดของห้วยปากฝางหรือห้วยฝาง อยู่ในเขตตำบลขุนฝาง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เหตุที่ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่า ขุนฝาง เนื่องจากมีความเชื่อว่าตอนที่เจ้าพระฝางหลบหนีกองทัพของกรุงธนบุรีนั้น ได้เดินทางไปข้ามแม่น้ำน่านที่ด่านคุ้งยางแล้วขึ้นเหนือไปภูเขาลูกหนึ่ง และหายตัวไปอย่างไม่ทราบชะตากรรม บ้างก็ว่าท่านมรณภาพที่นั่น บ้างก็ว่าท่านเดินทางไปยังเมืองแพร่หรือไปยังเมืองหลวงพระบาง ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกชื่อภูเขาลูกนั้นว่า “ขุนฝาง”<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''คลองพระฝาง''' เป็นคลองสายสั้นๆ ที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่ภูเขาเหนือบ่อน้ำพุเจ้าพระฝางขึ้นไปเล็กน้อย แล้วไหลมาทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกของเมืองสวางคบุรี ไหลลงแม่น้ำน่านทางตะวันตกของเมืองที่บริเวณบ้านบุ่ง มีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''ห้วยฝาง''' หรือ '''ห้วยปากฝาง''' เป็นลำห้วยที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่บริเวณเทือกเขาขุนฝาง วังเย็นและพญาพ่อ ในเขตตำบลขุนฝาง แล้วไหลมาลงแม่น้ำน่านที่ปากฝาง บริเวณบ้านปากฝาง ตำบลงิ้วงาม มีความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''[[บึงกะโล่]]''' หนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองสวางคบุรี คำว่า “บึงกะโล่” ไม่มีใครทราบว่าทำไมจึงเรียกบึงกะโล่ แต่สันนิษฐานว่าอาจมาจากคำว่า “โล้” ซึ่งมีความหมายว่า “ล่ม” ตามความหมายในภาษาถิ่นโบราณ เนื่องจากศัพท์นี้ใช้กันในแถบชุมชนโบราณรอบบึงกะโล่ คือบ้านวังหมู บ้านคุ้งตะเภา และบ้านพระฝาง ซึ่งมีสำเนียงถิ่นสุโขทัย<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
* '''หัวไผ่หลวง-ทุ่งบ่อพระ''' หัวไผ่หลวงเป็นพื้นที่ป่าไม้หนาทึบในที่ดอน ที่ชาวบ้านคุ้งตะเภาและใกล้เคียงเมื่อกว่า 40 ปีก่อนนับถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองดูแลรักษาอยู่ มีเรื่องเล่าว่านายพรานหรือชาวบ้านที่ไปจับสัตว์ในไผ่หลวงแล้วหาทางออกไม่ได้ หรือไปทำลบหลู่ในบริเวณไผ่หลวงจนเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา บริเวณหัวไผ่หลวงนี้ ชาวบ้านเล่าสืบมาว่าเคยเป็นที่ตั้งกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตอนยกมาปราบเจ้าพระฝาง และเกิดการรบกันในทุ่งบ่อพระ<ref>ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). '<nowiki/>'''''สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา''''''. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1</ref>
 
== ดูเพิ่ม ==