ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พรหมชาลสูตร (เถรวาท)"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 36:
เนื้อหาหลักของ กล่าวถึง คือศีลอย่างเล็กน้อย หรือ[[จุลศีล]] ศีลอย่างกลาง หรือ[[มัชฌิมศีล]] และศีลอย่างใหญ่ หรือ[[มหาศีล]] จากนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงถึงความคิดเห็น หรือทิฏฐิ 62 ประการของสมณพราหมณ์ในครั้งนั้น คือพวกที่มีความเห็นปรารภเบื้องตั้นของสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร ([[ปุพพันตกัปปิกะ]]) 18 ประเภท กับพวกที่มีความเห็นปรารภเบื้องต้นสิ่งต่าง ๆ ว่าจะลงสุดท้ายอย่างไร ([[อปรัตกัปปิกะ]]) 44 ประเภท รวมเป็น 62 หรือที่เรียว่าทิฏฐิ 62 ประการ<ref>สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550). พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า 103</ref>
จากนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า สมณพราหมณ์ทุกพวกที่ทิฏฐิความเห็นความเห็นต่าง ๆ รวม 62 ประการเหล่านี้
โดยสรุป คือ ทิฏฐิทั้ง 62 ประการนั้นพวกหนึ่ง เห็นว่า มีตลอดไป เที่ยงนิรันดร (อัตถิตา, สัสสตะ) ส่วนอีกพวกหนึ่ง เห็นว่า ขาดสูญ ไม่นิรันดร (นัตถิตา, อุจเฉทะ หรือ อสสัสตะ ) ขณะที่พุทธศาสนา เป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลางไม่ใช่ทั้งสอง อย่างข้างต้น พระพุทธเจ้าทรงสอนหลัก "[[ปฏิจจสมุปบาท]]" หรือ "[[อิทัปปัจจยตา]]" สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นหรือดับไป เพราะมีเงื่อนไข และหมดเงื่อนไข จะชี้ชัดลงไปตายตัวไม่ได้ แล้วแต่เงื่อนไข เช่น ถ้าตอบว่า "เกิด" ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ (สัสสตะ) ถ้าตอบว่า "ไม่เกิด" ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ (อุจเฉทะ)<ref>เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2555). คำบรรยายในพระไตรปิฎก</ref>
|