ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โชเซ มูรีนโย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
ลาลีกา→ลาลิกา
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5:
| image = [[ไฟล์:José Mourinho.jpg|220px]]
| caption = มูรีนโยในปี ค.ศ. 2017
| fullname = ฌูแซ มารีอูยู ดุช ซังตุช โมริญญูโมรีญู แฟลิกส์แฟลิช
| birth_date = {{birth date and age|1963|1|26|df=y}}
| birth_place = [[ซือตูบัลซึตูบัล]] [[ประเทศโปรตุเกส ]]
| height = {{convert|1.75|m|ftin|0|abbr=on}}
| position = [[กองกลาง|ตำแหน่งกองกลาง]]
| currentclub =
| years1 = 1980–1982 | clubs1 = [[Rio Ave F.C.|รีอูอาวือวึ]] | caps1 = 16 | goals1 = 2
| years2 = 1982–1983 | clubs2 = [[C.F. Os Belenenses|บือลือเนงซึชบึลึเน็งซึช]] | caps2 = 16 | goals2 = 2
| years3 = 1983–1985 | clubs3 = [[Grupo Desportivo de Sesimbra|เฌเด ซือซึซิงบรา]] | caps3 = 35 | goals3 = 1
| years4 = 1985–1987 | clubs4 = กูแมร์ซีอูอีอิงดุชเตรีย | caps4 = 27 | goals4 = 8
| totalcaps = 94 | totalgoals = 13
| manageryears1 = 2000 | managerclubs1 = [[สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา|ไบฟีกา]]
| manageryears2 = 2001–2002 | managerclubs2 = [[อู.เด. ไลรีอา|อูนีเอาดือไลรีอานีเอาดึไลรีอา]]
| manageryears3 = 2002–2004 | managerclubs3 = [[สโมสรฟุตบอลโปร์ตู|โปร์ตู]]
| manageryears4 = 2004–2007 | managerclubs4 = [[สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี]]
บรรทัด 26:
}}
 
'''ฌูแซ มารีอูยู ดุช ซังตุช โมริญญูโมรีญู แฟลิกส์แฟลิช''' ({{lang-pt|José Mário dos Santos Mourinho Félix}}) หรือ '''โชเซ มูรีนโย''' ตามการออกเสียงใน[[ภาษาอังกฤษ]]<ref group=remark>ในภาษาอังกฤษออกเสียง {{IPA|/ʒəʊˈzeɪ mʊˈriːnjəʊ/}} หรือ {{IPA|/ʒoʊˈzeɪ mʊˈriːnjoʊ/}}. ''Longman Dictionary of Contemporary English fifth edition''. [DVD-ROM]. London: Pearson Education, 2009.</ref> เป็น[[ผู้จัดการ (ฟุตบอล)|ผู้จัดการ]]ทีม[[ฟุตบอล]]และอดีตนักฟุตบอล[[ชาวโปรตุเกส]] เกิดเมื่อวันที่ [[26 มกราคม]] [[พ.ศ. 2506]] (ค.ศ. 1963)
 
มูรีนโยได้รับการยกย่องจากผู้เล่น ผู้ฝึก และผู้ประกาศข่าวกีฬาหลายคนว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก<ref>{{cite news|author=David Kent |url=http://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-2464832/Jose-Mourinho-best-manager-Deco-worked-with.html |title=Jose Mourinho is the best manager Deco has ever worked with &#124; Mail Online |publisher=Dailymail.co.uk |date=17 October 2013 |accessdate=19 January 2014 |location=London}}</ref><ref>{{cite web|url=http://espn.go.com/sportsnation/post/_/id/9539744/greatest-all-soccer-managers |title=Rank: Greatest all-time soccer managers – SportsNation – ESPN |publisher=Espn.go.com |date=9 August 2013 |accessdate=19 January 2014}}</ref><ref name="Guardiola">{{cite web|url=http://espnfc.com/news/story/_/id/982842/pep-guardiola:-jose-mourinho-is-the-best-in-the-world |title=Pep Guardiola: Jose Mourinho is the best in the world |publisher=Espn Fc |date=12 November 2011 |accessdate=19 January 2014}}</ref> และยังได้รับเกียรติจาก[[:en:Portuguese Football Federation|สหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส]]ในปี ค.ศ. 2015 ว่าเป็นผู้ฝึกสอนชาวโปรตุเกสที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษนี้<ref name="Euronews">[http://www.euronews.com/2015/01/15/giants-of-portuguese-football-honoured-at-centenary-of-fpf/ Giants of Portuguese football honoured at centenary of FPF] Euronews.com. 15 May 2015. Retrieved 9 February 2016</ref> มูรีนโยเริ่มต้นอาชีพสายฟุตบอลด้วยการเป็นผู้เล่นในดิวิชัน 2 ของโปรตุเกส เขาเรียนจบวิทยาศาสตร์การกีฬาจาก[[:en:Technical University of Lisbon|มหาวิทยาลัยเทคนิคลิสบอน]]และเข้ารับการอบรมหลักสูตรการเป็นผู้ฝึกในสหราชอาณาจักร ในขณะที่อยู่ในลิสบอนเขาทำงานเป็นครูพลศึกษาและหาประสบการณ์ทำงานในด้านอื่น ๆ โดยการเป็นผู้ฝึกทีมเยาวชน แมวมอง และผู้ช่วยผู้จัดการ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามของเซอร์[[บ็อบบี ร็อบสัน]] ในช่วงที่ร็อบสันทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม[[สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล|สปอร์ติงลิสบอน]] และ[[สโมสรฟุตบอลโปร์ตู]]ในโปรตุเกส และ[[สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา]]ในสเปน หลังจากร็อบสันจากบาร์เซโลนาไป มูรีนโยตัดสินใจอยู่ที่สโมสรเดิมโดยทำงานร่วมกับ[[ลูวี ฟัน คาล]] ซึ่งมาทำหน้าที่แทนร็อบสัน
 
มูรีนโยเริ่มงานสั้น ๆ โดยเป็นผู้จัดการให้กับ[[สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา|ไบฟีกา]]และ[[:en:U.D. Leiria|อูนีเอาดือไลรีอานีเอาดึไลรีอา]]ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยสามารถพาไลรีอาไปอยู่อันดับที่ 5 ของลีกซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่ทีมเคยทำได้ มูรีนโยกลับไปอยู่กับโปร์ตูช่วงต้นปี ค.ศ. 2002 ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกและนำทีมชนะ[[ปรีไมราลีกา]] [[:en:Taça de Portugal|โปรตุเกสลีกคัพ]] และ[[ยูฟ่ายูโรปาลีก]]ในปี ค.ศ. 2003 ในฤดูกาลถัดมาเขาสามารถนำทีมชนะ[[:en:Supertaça Cândido de Oliveira|โปรตุเกสซูเปอร์คัพ]] พาโปร์ตูถึงยอดของลีกเป็นครั้งที่สอง และได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดของฟุตบอลสโมสรยุโรปซึ่งก็คือการครองตำแหน่งแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังจากย้ายไป[[สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี]]ในปีถัดมาเขายังส่งให้เชลซีเป็นแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]]เป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปีด้วยคะแนนสูงถึง 95 คะแนน ร่วมกับการครองแชมป์[[ฟุตบอลลีกคัพ|ลีกคัพ]]ในฤดูกาลเดียวกัน ในปีที่สองมูรีนโยยังคงพาเชลซีไปถึงจุดสูงสุดของพรีเมียร์ลีก และสามารถพาสโมสรไปชนะ[[เอฟเอคัพ]]และลีกคัพในช่วงฤดูกาล 2006-07 มูรีนโยออกจากเชลซีในเดือนกันยายนเดึนกันยายน ค.ศ. 2007 ท่ามกลางข่าวปัญหาความแตกแยกระหว่างตัวเองกับ[[โรมัน อับราโมวิช]] เจ้าของสโมสร<ref name="chelsea exit">{{cite news |title=Mourinho makes shock Chelsea exit|publisher=BBC Sport |date=20 September 2007 |url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/c/chelsea/7003912.stm|accessdate=24 May 2012}}</ref>
 
หลังจากย้ายไป[[สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน|อินเตอร์มิลาน]]ซึ่งเป็นสโมสรในลีก[[เซเรียอา]]ในปี ค.ศ. 2008 ภายในสามเดือนมูรีนเดึนมูรีนโยก็ได้สร้างเกียรติให้กับสโมสรอิตาลีแห่งนี้โดยพาทีมชนะการแข่งขัน[[ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา|อิตาเลียนซูเปอร์คัพ]] และจบฤดูกาลด้วยการครอง[[:en:List of Italian football champions|แชมป์ลีกเซเรียอา]] ในฤดูกาล 2009-10 อินเตอร์มิลานกลายเป็นสโมสรแรกของอิตาลีที่สามารถทำ[[:en:Treble (association football)|เทรบเบิล]] โดยชนะเซเรียอา [[โกปปาอีตาเลีย|อิตาลีคัพ]] และ[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]] ซึ่งอินเตอร์มิลานไม่สามารถชนะการแข่งขันหลังสุดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกห้าคนที่สามารถทำให้สโมสรฟุตบอลสองทีมสามารถครอง[[:en:European Cup and UEFA Champions League history|ถ้วยยุโรป]]<ref>Harrold, Michael. [http://www.uefa.com/uefachampionsleague/history/season=2010/index.html 2009/10: Inter back on top at last]. UEFA. Retrieved 15 September 2010. {{wayback|url=http://www.uefa.com/uefachampionsleague/history/season=2010/index.html |date=20100904142341 |df=y }}</ref> โดยอีกสี่คนที่เหลือคือ [[:en:Ernst Happel|แอนสท์ ฮัพเพิล]], [[:en:Ottmar Hitzfeld|อ็อทท์มาร์ ฮิทซ์เฟ็ลท์]], [[ยุพพ์ ไฮน์เคส]] และ[[การ์โล อันเชลอตตี]] และได้รับรางวัล[[:en:FIFA World Coach of the Year|ผู้ฝึกยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า]]ในปี ค.ศ. 2010<ref name="Goal">{{cite web |url=http://www.goal.com/en-gb/news/3277/la-liga/2011/01/13/2304386/jose-mourinho-congratulated-by-spanish-coaches-committee |title=Jose Mourinho congratulated by Spanish Coaches Committee after being named Fifa World Coach of the Year Award |author= |date=13 January 2011 |work= |publisher=Goal.com |accessdate=6 February 2016}}</ref> จากนั้นเขาเซ็นสัญญากับ[[สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด|เรอัลมาดริด]]ในปี ค.ศ. 2010 และนำทีมชนะ[[โกปาเดลเรย์]]ในฤดูกาลแรก ในปีต่อมาเขายังพาทีมครองแชมป์[[ลาลิกา]] ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกคนที่ห้าถัดจาก[[:en:Tomislav Ivić|ทอมิสลัฟ อีวิช]], แอนสท์ ฮัพเพิล, [[:en:Giovanni Trapattoni|โจวันนี ตราปัตโตนี]] และ[[:en:Eric Gerets|เอริก เคเริตส์]] ที่ได้สามารถเอาชนะลีกฟุตบอลได้อย่างน้อยในสี่ประเทศคือ โปรตุเกส อังกฤษ อิตาลี และสเปน<ref>[http://www.guardian.co.uk/football/2012/may/03/real-madrid-jose-mourinho-title José Mourinho's mission accomplished as Real Madrid seal title]. ''The Guardian''. Retrieved 3 May 2012.</ref><ref>{{cite web|title=Eric Gerets champion|url=http://www.lequipe.fr/Football/Actualites/Eric-gerets-champion/85694|work=l'Equipe.fr}}</ref> หลังจากออกจากเรอัลมาดริดในเดือนมิถุนายนอัลมาดริดในเดึนมิถุนายน ค.ศ. 2013 มูรีนโยกลับไปอังกฤษเพื่อจัดการเชลซีเป็นครั้งที่สองซึ่งในระหว่างนั้นก็สามารถพาทีมชนะลีกคัพได้อีกครั้ง แต่การทำงานกับเชลซีก็มาถึงจุดสิ้นสุดในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2015 หลังจากมีผลงานย่ำแย่ทำให้เชลซีเกือบตกชั้น<ref name="sacking">{{cite web|url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/34670192|title=Jose Mourinho sacked as Chelsea manager|date=17 December 2015|accessdate=17 December 2015|work=BBC}}</ref>
 
ความรู้ทางยุทธวิธี บุคลิกที่มีลักษณะเฉพาะ (ซึ่งเต็มไปด้วยข้อพิพาท) และลักษณะการจัดการทีมซึ่งฝ่ายตรงข้ามมองว่าให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม ทำให้มูรีนโยถูกมองจากทั้งผู้ชื่นชอบและนักวิจารณ์ว่าเป็นทายาทของ[[:en:Helenio Herrera|เอเลนิโอ เอร์เรรา]] ผู้จัดการชาวอาร์เจนตินา<ref>{{cite news |url=http://www.theguardian.com/football/blog/2010/apr/29/jose-mourinho-internazionale-helenio-herrera-barcelona |title=In José Mourinho Inter finally have a true heir to Helenio Herrera |author=Williams, Richard |date=29 April 2010 |work=The Guardian |location=London}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.serieaddicted.com/article/helenio-herrera-or-jose-mourinho-40-years-before.php |title=Helenio Herrera, or Josè Mourinho 40 years before |author=Formica, Federico |work=SerieAddicted}}</ref>
 
==ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา ==
มูรีนโยเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1963 ในครอบครัวของชนชั้นกลางขนาดใหญ่ในเมือง[[ซือตูบัลซึตูบัล]] (เขตชานเมืองของ[[:en:Lisbon Metropolitan Area|กรุงลิสบอนและปริมณฑล]]) ประเทศโปรตุเกส เขาเป็นลูกชายของ[[:en:José Manuel Mourinho Félix|ฌูแซ มานูแอล โมริญญูโมรีญู แฟลิกส์แฟลิช]] (José Manuel Mourinho Félix) หรือรู้จักในชื่อว่า แฟลิกส์แฟลิช โมริญญูโมรีญู และมีมารดาชื่อมารีอา ฌูเลีย การาโฌลา ดุช ซังตุช (Maria Júlia Carrajola dos Santos)<ref>{{cite web|url=http://www.geneall.net/P/per_page.php?id=598945 |title=José Mourinho in a Portuguese Genealogical site |publisher=Geneall.net |date=17 June 1938 |accessdate=19 January 2014}}</ref> พ่อของมูรีนโยเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร[[:en:C.F. Os Belenenses|บือลือเนงซึชบึลึเน็งซึช]]และ[[:en:Vitória F.C.|วีตอเรียดือซือตูบัลเรียดึซึตูบัล]] และติด[[ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส]]หนึ่งครั้ง ส่วนแม่เป็นครูโรงเรียนประถมและมีพื้นเพครอบครัวที่ร่ำรวย<ref name=Statesman>{{cite web|last=Cowley |first=Jason |title=NS Man of the year – Jose Mourinho |work=[[New Statesman]] |date=19 December 2005 |url=http://www.newstatesman.com/200512190026 |accessdate=10 September 2008 |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/20070331113408/http://www.newstatesman.com:80/200512190026 |archivedate=31 March 2007 }}</ref> โดยลุงของเธอเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างสนามฟุตบอลวีตอเรียดือซือตูบัลเรียดึซึตูบัล แต่[[:en:Carnation Revolution|การล่มสลาย]]ของระบอบ[[:en:Estado Novo (Portugal)|รัฐใหม่]]ของ[[:en:António de Oliveira Salazar|อังตอนีอู ดือดึ โอลีไวรา ซาลาซาร์]] ในเดือนเมษายนเดึนเมษายน ค.ศ. 1974 ทำให้ครอบครัวของเธอต้องสูญเสียสมบัติทั้งหมด เหลือไว้เพียงที่ดินผืนเดียวในเมือง[[:en:Palmela|ปัลแมลา]]<ref name=Sitting>{{cite news |title=Sitting pretty |work=The Observer |date=1 August 2004 |url=http://observer.guardian.co.uk/osm/story/0,,1270852,00.html |accessdate=10 September 2008 | location=London}}</ref>
 
ฟุตบอลเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของมูรีนโยตั้งแต่เด็ก ภาระผูกพันกับสโมสรฟุตบอลของแฟลิกส์แฟลิชหมายความว่าเขาจำต้องจากลูกชายเป็นประจำ เมื่อเป็นวัยรุ่น มูรีนโยมักเดินทางไปดูการแข่งขันของพ่อในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อพ่อกลายเป็นผู้ฝึก มูรีนโยจึงได้มีโอกาสสังเกตวิธีการฝึกสอนและการดูลาดเลาทีมตรงข้าม<ref name=Smith1>{{cite news |last=Smith |first=Paul |title=Football: Destined to be a great from the age of 10 |publisher=[[Sunday Mirror]] |date=12 September 2004 |url=http://findarticles.com/p/articles/mi_qn4161/is_/ai_n12905138 |accessdate=15 September 2008}}</ref> มูรีนโยต้องการที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของบือลือเนงซึชบึลึเน็งซึช ในระดับอาชีพเขาเล่นให้กับ[[:en:Rio Ave F.C.|รีอูอาวือวึ]] (ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้ฝึก) บือลือเนงซึชบึลึเน็งซึช และเฌเด ซือซึซิงบรา แต่เขาขาดฝีเท้าและกำลังที่จำเป็นในการเป็นมืออาชีพ จึงเลือกที่จะเพ่งความสนใจในการเป็นผู้ฝึกทีมฟุตบอลแทน<ref name=Statesman/><ref name=JoseWay>{{cite news |title=Jose Mourinho: The Jose way |work=[[The Independent]] |date=27 February 2005 |url=http://www.independent.co.uk/news/people/jose-mourinho-the-jose-way-485013.html |accessdate=15 September 2008 | location=London}}</ref><ref>{{cite news |title=Jose Mourinho: 'Ronaldo has been by far the best player in the Premiership. But he must win a trophy' |work=[[The Independent]] |date=26 April 2008 |url=http://www.independent.co.uk/sport/football/news-and-comment/jose-mourinho-ronaldo-has-been-by-far-the-best-player-in-the-premiership-but-he-must-win-a-trophy-815907.html |accessdate=15 September 2008 | location=London}}</ref>
 
แม่ของมูรีนโยลงทะเบียนให้เขาเรียนโรงเรียนสอนธุรกิจ แต่มูรีนโยก็ลาออกตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน โดยตัดสินใจว่าเขาต้องการมุ่งเน้นการเรียนในเรื่องของกีฬา จึงสมัครเข้าสถาบันการพลศึกษาขั้นสูง ({{lang|pt|''Instituto Superior de Educação Física''}}) ของ[[:en:Technical University of Lisbon|มหาวิทยาลัยเทคนิคลิสบอน]]เพื่อศึกษา[[วิทยาศาสตร์การกีฬา]]<ref name=Sitting/> เขาสอน[[พลศึกษา]]ในโรงเรียนต่าง ๆ และหลังจากห้าปีก็ได้รับประกาศนียบัตรโดยได้รับคะแนนดีอย่างสม่ำเสมอตลอดหลักสูตร<ref name=Smith1/> หลังจากที่เข้าร่วมหลักสูตรการเป็นผู้ฝึกที่จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล[[สมาคมฟุตบอลอังกฤษ|อังกฤษ]]และ[[:en:Scottish Football Association|สกอตแลนด์]] แรงผลักดันและการใส่ใจในรายละเอียดของชายหนุ่มชาวโปรตุเกสคนนี้ก็ได้เตะตา[[:en:Andy Roxburgh|แอนดี รอกซ์บะระ]] อดีตผู้จัดการ[[ฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์]]<ref name=Feature>{{cite news |last=Hawkley |first=Ian |title=The big feature: Jose Mourinho |work=The Times |date=9 May 2004 |url=http://www.timesonline.co.uk/tol/sport/football/article434404.ece |accessdate=20 October 2008 | location=London}}</ref> มูรีนโยพยายามที่จะนิยามบทบาทหน้าที่ของผู้ฝึกฟุตบอลขึ้นใหม่โดยผสมผสานทฤษฎีการฝึกกับเทคนิคทางจิตวิทยาและการสร้างแรงบันดาลใจเข้าด้วยกัน<ref name=Statesman/>
 
== การทำงานในฐานะผู้ฝึก ==
หลังจากออกจากงานในฐานะครูฝึกของโรงเรียน มูรีนโยมองหาเส้นทางการเป็นผู้จัดการมืออาชีพในบ้านเกิดและได้เป็นผู้ฝึกทีมเยาวชนของวีตอเรียดือซือเรียดึซึตูบัลในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการกับสโมสร[[:en:C.F. Estrela da Amadora|อึชเตรลา]]<ref name=Feature>{{cite news |last=Hawkley |first=Ian |title=The big feature: Jose Mourinho |work=The Times |date=9 May 2004 |url=http://www.timesonline.co.uk/tol/sport/football/article434404.ece |accessdate=20 October 2008 | location=London}}</ref> และเป็นแมวมองให้กับ[[:en:A.D. Ovarense|โอวาเรงซือ]] จากนั้นในปี ค.ศ. 1992 เขาก็มีโอกาสทำงานเป็นล่ามให้เซอร์[[บ็อบบี ร็อบสัน]] ผู้ฝึกชั้นนำจากต่างประเทศซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ[[สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล|สปอร์ติงลิสบอน]] ทีมฟุตบอลเมืองลิสบอน และจำเป็นต้องมีผู้ฝึกท้องถิ่นที่สามารถพูดภาษาอังกฤษในการแปลภาษาให้<ref name=JoseWay/>
 
มูรีนโยได้ถกกลยุทธ์และวิธีการทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกกับร็อบสันระหว่างการทำหน้าที่เป็นล่าม<ref name=JoseWay/> หลังจากร็อบสันถูกปลดออกจากสปอร์ติงลิสบอนในเดือนธันวาคมเดึนธันวาคม ค.ศ. 1993 และ[[สโมสรฟุตบอลโปร์ตู|โปร์ตู]]ได้แต่งตั้งให้ร็อบสันเป็นหัวหน้าผู้ฝึก มูรีนโยจึงได้ติดตามไปด้วยและยังคงทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ฝึกและล่ามให้กับผู้เล่นในสโมสรแห่งใหม่<ref name=Feature/> ผู้เล่นของทีมโปร์ตูในสมัยนั้นเช่น [[:en:Ljubinko Drulović|ลยูบิงคอ ดรูลอวิช]], [[:en:Domingos Paciência|ดูมิงกุช ปาซีเองเซีย]], [[:en:Rui Barros|รุย บารุช]], [[:en:Jorge Costa|ฌอร์ฌือ กอชตา]] และ[[:en:Vítor Baía|วีตอร์ บาอีอา]] มีอิทธิพลอย่างมากต่อฟุตบอลโปรตุเกสในปีต่อ ๆ มา ทีมโปร์ตูที่มีร็อบสันเป็นหัวหน้าผู้ฝึกและมีมูรีนโยในฐานะผู้ช่วยสามารถไปถึงรอบรองชนะเลิศ[[:en:1993–94 UEFA Champions League|ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1993-94]] และครองแชมป์[[:en:1993–94 Taça de Portugal|โปรตุเกสลีกคัพฤดูกาล 1993-94]]; ปรีไมราลีกาฤดูกาล [[:en:1994–95 Primeira Liga|1994-95]] และ [[:en:1995–96 Primeira Liga|1995-96]]; และ[[:en:Supertaça Cândido de Oliveira|โปรตุเกสซูเปอร์คัพ]]ปี ค.ศ. 1994, 1995 และ 1996 โดยในการแข่งขันครั้งหลังสุดนี้โปร์ตูสามารถเอาชนะ[[:en:O Clássico|คู่ปรับ]]อย่างไบฟีกาด้วยชัยชนะ [[:en:1996 Supertaça Cândido de Oliveira|5-0]] และถือเป็นเกมส์สุดท้ายของร็อบสันก่อนที่จะย้ายไปบาร์เซโลนา ร็อบสันจึงได้ฉายา "บ็อบบี 5-0" ({{lang|pt|''Bobby Cinco-a-zero''}}) ในโปรตุเกส นี่คืออิทธิพลของร็อบสันและมูรีนโยในการทำโปร์ตูให้เป็นทีมที่ยั่งยืน โปร์ตูสามารถครองแชมป์ปรีไมราลีกาได้อีกสามสมัยติดต่อกันหลังจากทั้งคู่จากไป
 
หลังอยู่โปร์ตูได้สองปี ทั้งคู่ได้โอกาสย้ายอีกครั้งและได้เริ่มทำงานให้กับ[[สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา]]ในปี ค.ศ. 1996<ref name=TDT1/> มูรีนโยย้ายครอบครัวไปอยู่[[บาร์เซโลนา]] และค่อย ๆ กลายเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญของทีมบาร์เซโลนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีหน้าที่เป็นล่ามในช่วงการแถลงข่าว วางแผนการฝึก ช่วยผู้เล่นให้เข้าใจแผนกลยุทธ์ และวิเคราะห์แผนของฝ่ายตรงข้าม รูปแบบการจัดการของร็อบสันและมูรีนโยช่วยเติมเต็มส่วนที่ทั้งคู่ขาด ผู้ฝึกชาวอังกฤษเน้นรูปแบบการโจมตี ในขณะที่มูรีนโยหาทางเลือกในการป้องกัน ความรักในการวางแผนและฝึกฝนของผู้ช่วยชาวโปรตุเกสผสมผสานกับร็อบสันที่ชอบบริหารจัดการผู้เล่นโดยตรง การทำงานร่วมกันของทั้งสองให้ผลดีและทำให้บาร์เซโลนาจบฤดูกาลด้วยการครองแชมป์[[ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ]]ฤดูกาล 1996-1997 ร็อบสันย้ายสโมสรในฤดูกาลถัดมา แต่ครั้งนี้มูรีนโยไม่ได้ตามไปด้วยเนื่องจากบาร์เซโลนาต้องการให้เขาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการต่อ<ref name=Feature/> ทั้งสองยังคงมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหลังจากนั้น ภายหลังมูรีนโยยังพูดถึงอิทธิพลที่ร็อบสันมีกับเขาว่า
บรรทัด 58:
== การทำงานในฐานะผู้จัดการ ==
=== ไบฟีกา ===
โอกาสที่จะกลายเป็นผู้จัดการชั้นนำของมูรีนโยมาถึงในเดือนกันยายนเดึนกันยายน ค.ศ. 2000 เมื่อเขาได้รับข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่ในประเทศบ้านเกิดอย่าง[[สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา|ไบฟีกา]]เพื่อไปแทนที่[[ยุพพ์ ไฮน์เคส]] ซึ่งในขณะนั้นการแข่งขัน[[:en:2000–01 Primeira Liga|ปรีไมราลีกา]]ผ่านไปแล้ว 4 นัด<ref name=TDT1>{{cite news |last=Ley |first=John |title=Mourinho's Chelsea love affair finally ends |work=The Daily Telegraph |date=20 September 2007 |url=http://www.telegraph.co.uk/sport/football/2321557/Mourinho%27s-Chelsea-love-affair-finally-ends.html |accessdate=20 October 2008 | location=London}}</ref> มูรีนโยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า
 
 
บรรทัด 68:
หลังจากถึงไบฟีกา มูรีนโยก็ต้องพบกับปัญหาเนื่องจากผู้บริหารต้องการแต่งตั้ง [[:en:Jesualdo Ferreira|Jesualdo Ferreira]] เป็นผู้ช่วยผู้ฝึก แต่มูรีนโยปฏิเสธและหยิบ [[:en:Carlos Mozer|การ์ลุส โมเซร์]] อดีตกองหลังทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งเคยมาค้าแข้งกับไบฟีกาถึง 2 ครั้งก่อนไปแขวนสตั๊ดที่ญี่ปุ่นมาเป็นผู้ช่วย<ref>{{cite news |title=Mozer fired as InterClube coach |publisher=[[BBC Sport]] |date=1 May 2008 |url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/africa/7378156.stm |accessdate=20 October 2008}}</ref> มูรีนโยวิภาควิจารณ์ Jesualdo Ferreira อย่างหนักหน่วงแม้ว่าทั้งสองจะเคยพบกันมาก่อนในฐานะครูกับศิษย์ที่สถาบันการพลศึกษาขั้นสูง (Instituto Superior de Educação Física) เขาต่อว่าผู้ฝึกมากประสพการณ์คนนี้ว่า "นี่อาจจะเป็นเรื่องราวของลาที่ทำงานเป็นเวลา 30 ปี แต่ไม่เคยกลายเป็นม้า"<ref>{{cite news |last=Sinnott |first=John |title=Low down on Porto |publisher=[[BBC Sport]] |date=18 September 2007 |url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/europe/6993496.stm |accessdate=20 October 2008}}</ref> เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากได้รับงานที่ไบฟีกา อาจารย์และที่ปรึกษาของมูรินโย เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสันก็เสนอให้เขากลับไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่[[สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด|นิวคาสเซิล]] ร็อบสันต้องการความช่วยเหลือของมูรีนโยอย่างหนักถึงขนาดให้สัญญาว่าจะลงจากการเป็นผู้จัดการและยกตำแหน่งแก่มูรีนโยภายในสองปี มูรีนโยปฏิเสธคำเชื้อเชิญโดยบอกว่าเขารู้ว่าร็อบสันไม่มีทางไม่ก้าวลงจากที่สโมสรที่เขารัก<ref>{{cite news |title=Mourinho rejected Newcastle role |publisher=[[BBC Sport]] |date=30 November 2004 |url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/c/chelsea/4054319.stm |accessdate=10 December 2008}}</ref>
 
มูรีนโย และ โมเซร์กลายเป็นคู่ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยสามารถถล่ม[[:en:Derby de Lisboa|คู่ปรับร่วมเมือง]] [[สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล|สปอร์ติงลิสบอน]] ไปถึง 3-0 ในเดือนธันวาคมเดึนธันวาคม<ref name=Guard1>{{cite news |title=If something got in his way – which is winning – he would leave |work=The Guardian |date=17 January 2007 |url=http://www.guardian.co.uk/football/2007/jan/17/newsstory.chelsea |accessdate=20 October 2008 | location=London}}</ref><ref>{{cite web |title=Benfica 3 – 0 Sporting CP |publisher=Soccerway |date=3 December 2000 |url=http://www.soccerway.com/match/liga-sagres/benfica/sporting-clube-de-portugal/129886/summary |accessdate=20 October 2008}}</ref> แต่การทำงานของทั้งคู่ก็ต้องพบกับอุปสรรคหลังประธานสโมสรของไบฟิกา [[:en:João Vale e Azevedo|João Vale e Azevedo]] แพ้การเลือกตั้งภายใน และ [[:en:Manuel Vilarinho|Manuel Vilarinho]] ซึ่งมาแทนประธานสโมสรเดิมบอกว่าเขาจะมอบตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกให้กับอดีตผู้เล่นซึ่งเป็นตำนานของไบฟิกา [[:en:António José Conceição Oliveira|อังตอนีอู ชูเซ กงไซเซา โอลีไวรา]] หรือ โตนี<ref name=TDT1/> Vilarinho ไม่ได้มีความตั้งใจในการให้มูรีนโยออกจากงานทันที มูรีนโยจึงใช้ชัยชนะเหนือสปอร์ติงลิสบอนของทีมเพื่อทดสอบความภักดีของประธานสโมสรใหม่โดยขอขยายสัญญาการจ้างงานเพิ่มขึ้น<ref name=Guard1/> Vilarinho ปฏิเสธคำขอ มูรีนโยจึงลาออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2000 หลังทำงานในลีกไปเพียง 9 นัด เมื่อหวนกลับไปคิดถึงการตัดสินใจครั้งนั้น Vilarinho รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา และกล่าวเกี่ยวกับการสุญเสียมูรีนโยว่า
 
 
"หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำตรงกันข้าม ผมจะยอมขยายสัญญาให้เขา ผมพึ่งมาเข้าใจภายหลังว่าชื่อเสียงและความภาคภูมิใจไม่ควรอยู่เหนือผลประโยชน์ของสถาบันที่เรารับใช้<ref name=Guard1/>
 
=== อูนีเอาดือไลรีอานีเอาดึไลรีอา ===
 
มูรีนโยรับตำแหน่งผู้จัดการจากทีมระดับกลางตารางอย่าง [[:en:U.D. Leiria|อูนีเอาดือไลรีอานีเอาดึไลรีอา]] ในเดือนกรกฎาคมเดึนกรกฎาคม ค.ศ. 2001<ref>{{cite web |title=2010/11 UEFA Champions League group stage statistics handbook – Club directory |url=http://www.uefa.org/MultimediaFiles/Download/ITT/uefaorg/General/01/53/55/89/1535589_DOWNLOAD.pdf |publisher=UEFA |page=171 |format=PDF |accessdate=5 March 2014}}</ref> ในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการให้ไลรีอา มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสาม และ สี่ ของลีกในเดือนมกราคมเดึนมกราคม โดยหลังจากเอาชนะ [[:en:F.C. Paços de Ferreira|Paços de Ferreira]] ไป 2-1 ในวันที่ 27 มกราคม ไลรีอาขึ้นไปอยู่อันดับสามของตารางด้วยคะแนนนำไบฟีกา และ โปร์ตู หนึ่งแต้ม และตามหลังหลังผู้นำลีกเพียง 3 แต้ม แน่นอนความสำเร็จของมูรีนโย ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรขนาดใหญ่ของโปรตุเกสหลายแห่ง<ref name=TDT1/>
 
ไลรีอาสามารถปิดฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตารางซึ่งเป็นอันดับดีที่สุดที่ทีมเคยทำได้ โดยสามารถทำอันดับได้สูงกว่าไบฟีกาที่เพิ่งปลดมูรีนโยจากการเป็นผู้จัดการทีมอีกด้วย
 
=== โปร์ตู ===
ในช่วงปลายเดือนเดึนมกราคมปี ค.ศ. 2002 มูรีนโยก็ได้ย้ายที่ทำงานอีกครั้งหลังผลงานการคุมทีมเข้าตา[[สโมสรฟุตบอลโปร์ตู|โปร์ตู]] ยักษ์ใหญ่อีกรายของ[[ประเทศโปรตุเกส|โปรตุเกส]] ที่พึ่งปลด [[:en:Octávio Machado|ออกตาวีอู มาชาดู]] ออกจากสโมสร ในขณะนั้นโปร์ตูเป็นทีมอันดับ 5 ของตารางปรีไมราลีกา (ตามหลังสปอร์ติงลิสบอน [[:en:Boavista F.C.|บัววีชตา]] ไลรีอา และ ไบฟีกา) ตกรอบโปรตุเกสลีกคัพ และครองตำแหน่งบ๊วยในการแข่งขัน[[:en:2001–02 UEFA Champions League|ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มที่สอง]] หลังจากคุมทีมแข่งขันได้ 15 นัด (ด้วยสถิติชนะ 11 เสมอ 2 และแพ้ 2 นัด) มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสามของตารางตอนสิ้นฤดูกาล หลังจากนั้นเขาให้สัญญาว่า "จะทำให้โปร์ตูเป็นแชมป์ (ปรีไมราลีกา) ในปีถัดไป"
 
มูรีนโยได้ระบุผู้เล่นหลักหลายคนที่เขาเห็นว่าจะเป็นกำลังสำคัญซึ่งทำให้โปร์ตูเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบเช่น วีตอร์ บาอีอา, [[รีการ์ดู การ์วัลยู]], [[:en:Costinha|กอชตินยา]], [[เดโก้|เดโก]], [[:en:Dmitri Alenichev|ดมีตรี อาเลนีเชฟ]], [[:en:Hélder Postiga|แอลดืร์ ปุชตีกา]] และเรียก[[:en:Jorge Costa|ฌอร์ฌือ กอชตา]] กองหลังกัปตันทีม (ที่มีปัญหาขัดแย้งกับมาชาดู) ซึ่ง[[สโมสรฟุตบอลชาร์ลตันแอทเลติก|ชาร์ลตันแอทเลติก]]ได้เช่ายืมไปในสัญญา 6 เดือนเดึนให้กลับมา การเซ็นสัญญานักเตะหน้าใหม่รวมถึง [[:en:Nuno Valente|นูนู วาเลงตี]] และ [[:en:Derlei|เดร์เลย์]] จากไลรีอา, [[เปาลู ฟีร์ไรรา]] จาก[[:en:Vitória F.C.|วีตอเรียดือซือตูบัลเรียดึซึตูบัล]], [[:en:Pedro Emanuel|เปดรู เอมานูเอล]] จากบัววีชตา และ [[:en:Edgaras Jankauskas|เอดการัส ยันเคาส์คัส]] กับ [[:en:Maniche|มานีชี]] ซึ่งทั้งคู่พึ่งหมดสัญญาจากไบฟีกา
 
====ฤดูกาล 2002–03====
ในช่วงก่อนการเปิดฤดูการแข่งขัน มูรีนโยได้นำรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมการฝึกขึ้นบนเว็บไซต์ของสโมสร รายงานฉบับนี้เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางการอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า วิ่งเหยาะๆ 20 กม. เขาจะบรรยายด้วยว่าเป็น[[:en:Aerobic exercise|การออกกำลังกายแบบแอโรบิค]]ฉบับพิเศษ รายงานนี้ได้รับคำติเตียนว่าเป็นการเสแสร้ง แต่ขณะที่เดียวกันก็ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นการใช้นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการฝึกมากขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของมูรีนโยในยุคโปร์ตูคือ ความมีไหวพริบดี และ เล่นกดดันซึ่งเริ่มตั้งแต่ในแดนคู่ต่อสู้ เรียกว่า การเล่นกดดันอย่างหนัก "''pressão alta''" ("high pressure") ความสามารถของร่างกายและการต่อสู้ของกองกลางและกองหลังทำให้โปร์ตูสามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ในแดนของตัวเอง และเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเสียบอลหรือต้องลองส่งบอลไกลที่มีความไม่แน่นอนสูงบ่อยขึ้น
 
ในปีค.ศ. 2003 เขาพาทีมครองแชมป์ปรีไมราลีกาด้วยสถิติ ชนะ 27 นัด เสมอ 5 นัด และแพ้ 2 นัด ทำคะแนนทิ้งห่างไบฟีกาทีมอันดับ 2 ของตารางที่เขาจากมาเมื่อสองปีก่อนถึง 11 แต้ม โดยทำคะแนนรวมได้ 86 จากคะแนนเต็ม 102 และยังถือเป็นสถิติใหม่ของลีกนับตั้งแต่เปลี่ยนการให้คะแนนทีมชนะเป็น 3 คะแนน (เฉือนของเก่าที่โปร์ตูเคยทำไว้ไปคะแนนเดียว แต่ถูกล้มโดยไบฟิกาในฤดูกาล [[:en:2015–16 Primeira Liga|2015-16]] ด้วยคะแนน 88 คะแนน) นอกจากนั้นในเดือนพฤษภามเดึนพฤษภามคมของปีนั้นเขายังพาทีมครองแชมป์[[:en:2002–03 Taça de Portugal|โปรตุเกสคัพ]] โดยเอาชนะทีมเก่าไลรีอาในนัดชิงไป 1-0 และแชมป์[[:en:2003 UEFA Cup Final|ยูฟ่าคัพ]]โดยยัดเยียดความปราชัยให้[[สโมสรฟุตบอลเซลติก|เซลติก]]ในนัดชิง
 
====ฤดูกาล 2003–04====
บรรทัด 104:
 
====ฤดูกาล 2004–05====
ภายใต้การจัดการของมูรีนโยเชลซีได้รับการพัฒนาบนรากฐานเดิมที่ได้ถูกสร้างไว้ในฤดูกาลก่อน โดยเพียงแค่ต้นเดือนเดึนธันวาคมเชลซีก็ไปถึงจุดสูงสุดของตาราง[[:en:2004–05 FA Premier League|พรีเมียร์ลีก]] และเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในการแข่งขัน[[:en:2004–05 UEFA Champions League|ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]
 
เขาคว้าแชมป์ถ้วยแรกของปีด้วยการเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]] [[:en:2005 Football League Cup Final|3–2]] ([[หลังต่อเวลาพิเศษ]]) ที่[[คาร์ดิฟฟ์]] ในการแข่งขัน[[:en:2004–05 Football League Cup|ลีกคัพ]] โดยในช่วงท้ายของการแข่งขันมูรีนโยถูกนำตัวออกจากข้างสนาม หลังจากวางปลายนิ้วชี้บนริมฝีปากและหันไปในทิศทางของแฟนคลับของลิเวอร์พูลในลักษณะที่เป็นการตอบสนองต่อการเยาะเย้ยที่แฟนคลับของลิเวอร์พูลแสดงออกมาในช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังเป็นฝ่ายนำ (ก่อนที่จะมีการยิงประตูตีเสมอ)
บรรทัด 118:
 
====ฤดูกาล 2006–07====
[[:en:2006–07 Chelsea F.C. season|ฤดูกาล 2006–07]] เป็นช่วงเวลาที่สื่อประโคมข่าวว่าจะมูรีนโยอาจจะออกจากสโมสรหลังปิดฤดูกาลแข่งขัน เนื่องจากมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเจ้าของสโมสรโรมัน อับราโมวิช ร่วมถึงมีการแย่งชิงอำนาจกับผู้อำนวยการด้านกีฬา (sporting director) [[:en:Frank Arnesen|Frank Arnesen]] และที่ปรึกษาของอับราโมวิช [[:en:Piet de Visser (football manager)|Piet de Visser]] ในเวลาต่อมามูรีนโยได้เคลียร์ข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของเขาที่[[สนามกีฬาสแตมฟอร์ดบริดจ์|สแตมฟอร์ดบริดจ์]] โดยระบุว่ามีเพียงแค่สองทางที่จะทำให้เขาต้องจากเชลซีคือ (1) ถ้าเชลซีไม่เสนอสัญญาฉบับใหม่ให้ในเดือนมิถุนายนเดึนมิถุนายน 2010 และ (2) ถ้าเชลซีไล่เขาออกจากตำแหน่ง<ref>{{cite web|date=24 February 2007 |url=http://www.chelseafc.com/page/NewsHomePage/0,,10268~986873,00.html |title=Jose:Respect for fans; Respect for Carling Cup |publisher=[[Chelsea FC]] |accessdate=24 February 2007 |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/web/20070403194024/http://www.chelseafc.com/page/NewsHomePage/0%2C%2C10268~986873%2C00.html |archivedate= 3 April 2007 |df= }}</ref>
 
การเซ็นสัญญาซื้อตัวศูนย์หน้าชาวยูเครน อันดรีย์ เชฟเชนโค ในช่วงฤดูร้อนของปี 2006 โดยมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นสถิติใหม่ของสโมสรน่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เกิดการโต้แย้งระหว่างมูรีนโย และ อับราโมวิช ในขณะที่เกิดการเซ็นสัญญาซื้อขาย เชฟเชนโคถือเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุโรปโดยเวลานั้นเขาอยู่กับ[[เอซี มิลาน|มิลาน]]ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาชนะแชมเปียนส์ลีก และได้รางวัลนักเตะเช่น [[:en:Scudetto|สคูเดตโต]] และ [[นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป|บาลงดอร์]] เชลซีเคยพยายามเซ็นสัญญากับเชฟเชนโคในช่วงสองปีก่อนหน้านี้แต่มิลานปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอของอับราโมวิช อย่างไรก็ดีฤดูกาลแรกของเชฟเชนโคที่เชลซีถูกมอง (โดยแฟนคลับ) ว่าเขาเป็นความน่าผิดหวังอย่างใหญ่หลวงเนื่องจากทำได้เพียง 4 ประตูจากการแข่งขันทั้งหมด 14 นัด
บรรทัด 143:
แม้จะพบความสำเร็จกับการแข่งขันภายในประเทศจากการคว้าสคูเดตโตด้วยการทิ้งห่างคู่แข่งถึงสิบคะแนน แฟนคลับจำนวนหนึ่งของอินเตอร์มิลานยังคงมองว่าผลงานฤดูกาลแรกของมูรีนโยในอิตาลีนั้นน่าผิดหวังเนื่องจากสโมสรยังคงล้มเหลวในพัฒนาผลงานที่ โรแบร์โต มันชีนี ทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกที่อินเตอร์มิลานภายใต้การนำของมูรีนโยทำผลงานไม่ดีนักในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการแพ้ในบ้านอย่างเหลือเชื่อให้กับ[[สโมสรฟุตบอลปานาซีไนโกส|ปานาซีไนโกส]] ด้วยคะแนน 1-0 นอกจากนั้นยังทำได้แค่เสมอที่บ้านของสโมสร Anorthosis Famagusta ม้ามืดจากประเทศไซปรัส อินเตอร์มิลานสามรถเขาไปถึงรอบแพ้คัดออกของแชมเปี้ยนลีก แต่ไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศโดยถูกเขี่ยให้ตกรอบจากการพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
 
มูรีนโยมีผลกระทบกับวงการฟุตบอลอิตาลีอย่างรวดเร็วผ่านความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างเขากับสื่อมวลชนของอิตาลี รวมไปถึงความบาดหมางของเขากับโค้ชดัง ๆ ในเซเรียอา อาทิเช่น [[การ์โล อันเชลอตตี]] ซึ่งขณะนั้นอยู่กับมิลาน [[:en:Luciano Spalletti|Luciano Spalletti]] จากโรมา และ [[เกลาดีโอ รานีเอรี]] ของ[[สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส|ยูเวนตุส]] ระหว่างการแถลงข่าวในเดือนเดึนมีนาคม ปี ค.ศ. 2009 มูรีนโยดูถูกโค้ชคู่แข่งสองคนแรกว่าทีมของพวกเขาจะจบฤดูกาลโดยไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น และยังกล่าวหาผู้สื่อข่าวอิตาลีว่าทำตัวเป็น "โสเภณีทางปัญญา" (intellectual prostitution) ให้กับคนทั้งสอง<ref>{{cite news |url=https://www.independent.co.uk/sport/football/european/mourinho-rails-against-intellectual-prostitution-1636683.html |work=The Independent |date=4 March 2009 |title=Mourinho rails against 'intellectual prostitution' |accessdate=16 May 2009 |location=London |first=Kieran |last=Daley }}</ref> การพูดจาโวยวายต่อหน้าสื่อมวลชนนี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง "การไม่ได้รับเกียรติยศ" (zero titles) ซึ่งมูรีนโยออกเสียงผิดเป็น เซรู ทิทูลี (zeru tituli) (การออกเสียงที่ถูกต้องในภาษาอิตาลี ควรเป็น เซโร ทิโทลี (zero titoli)) ต่อมาคำพูดนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางโดยนักข่าวฟุตบอลในอิตาลี นอกจากนั้นคำ ๆ นี้ยังกลายเป็นวลีที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยแฟนคลับในการเฉลิมฉลองสคูเดตโตครั้งที่ 17 ของอินเตอร์มิลานในช่วงท้ายของฤดูกาล<ref>{{cite news|url=http://www.football365.com/gazzetta/0,17033,9404_5336293,00.html |title=Inter Won It in True Chelsea Style... |accessdate=21 May 2009 |date=19 May 2009 |publisher=Football365.com |deadurl=yes |archiveurl=https://web.archive.org/web/20090522102807/http://www.football365.com/gazzetta/0%2C17033%2C9404_5336293%2C00.html |archivedate=22 May 2009 |df= }}</ref><ref>{{cite news |url=https://www.theguardian.com/football/blog/2009/may/18/serie-a-inter-jose-mourinho |title=Jose Mourinho makes Ibrahimovic sweat for his goal as Inter celebrate scudetto in style |accessdate=21 May 2009 |date=18 May 2009 |work=The Guardian |location=London |first=Paolo |last=Bandini }}</ref> แม้กระทั่ง[[ไนกี้ (บริษัท)|ไนกี้]]ก็ยังเลือกใช้คำ ๆ นี้ในการออกตัวเสื้อฉลองแชมป์เซเรียอาของอินเตอร์มิลาน<ref>{{cite news|url=http://www.tuttomercatoweb.com/inter/?action=read&idnotizia=4754 |archive-url=https://web.archive.org/web/20090604154333/http://www.tuttomercatoweb.com/inter/?action=read&idnotizia=4754 |dead-url=yes |archive-date= 4 June 2009 |title=Anche la Nike celebra il 17esimo titulo |accessdate=21 May 2009 |date=21 May 2009 |publisher=TuttoMercatoWeb |language=Italian |df= }}</ref> หลังจากการแข่งขัน[[:en:2009 Coppa Italia Final|โคปปาอิตาเลียนัดชิงชนะเลิศ]]ในเดือนเดึนพฤษภาคมสิ้นสุดลงแฟนคลับของ[[โซชีเอตาสปอร์ตีวาลาซีโอ|ลาซีโอ]] (คู่แข่งข้ามเมืองของโรมา) ซึ่งชนะการแข่งขันก็ยังได้สวมเสื้อทีเขียนว่า "Io campione, tu zero titoli" (ฉันเป็นแชมป์ คุณไม่ได้เกียรติยศใด ๆ)<ref>{{cite news|title=Mourinsho spara a zero: guarda tutti i video |url=http://www.corrieredellosport.it/Notizie/Calcio/60314/Mourinho+spara+a+zero%3A+guarda+tutti+i+video |publisher=Corrier Dello Sport |date=3 March 2009 |language=Italian }}{{dead link|date=June 2016|bot=medic}}{{cbignore|bot=medic}}</ref> อ้างถึงคำพูด "เซรู ทิทูลี" ของมูรีนโย
 
วันที่ 16 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2009 ถือเป็นวันที่อินเตอร์มิลานครองตำแหน่งแชมป์เซเรียอาเนื่องจากเอซีมิลานทีมอันดับสองในตารางขณะนั้นพ่ายแพ้ให้กับ[[อูดีเนเซกัลโช|อูดีเนเซ]] การแพ้ในครั้งนี้ทำให้ทีมดำ-น้ำเงิน (หรือ Nerazzurri ฉายาของอินเตอร์มิลาน) มีเจ็ดคะแนนเหนือเอซีมิลานคู่แข่งข้ามเมืองโดยเหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่สองนัด และในที่สุดอินเตอร์มิลานก็จบฤดูกาลด้วยคะแนนห่างจากเอซีมิลานถึงสิบคะแนน<ref>{{cite news |url=https://www.theguardian.com/football/feedarticle/8511149 |work=The Guardian |date=16 May 2009 |title=Inter land Serie A title after Milan lose |accessdate=16 May 2009 |location=London }}</ref>
บรรทัด 151:
มีการรายงานเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่ามูรีนโยสนใจที่จะเป็นโค้ชให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่ออเล็กซ์ เฟอร์กูสันเกษียณ โดยมีการอ้างอิงถึงคำพูดของเขาว่า "ผมคงจะพิจารณาการไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่พวกยูไนเต็ดต้องพิจารณาว่าจะให้ผมสืบทอดต่อจากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันหรือไม่ ถ้าพวกเขาอยากให้เป็นเช่นนั้นผมจะไปอย่างแน่นอน"<ref name="ITN United interest declaration">{{cite web|url=http://itn.co.uk/3416fb28e6ffeb0d17f00d1e3fc4c925.html|title=Jose Mourinho eyes United Top Job|date=28 July 2009|publisher=ITN|accessdate=29 July 2009}}{{dead link|date=January 2014}}</ref>
 
[[อาเดรียนู]]ออกจากอินเตอร์มิลานในเดือนเมษายนเดึนเมษายน ปี ค.ศ. 2009 และการจากไปของกองหน้าชาวบราซิลก็ติดตามด้วยคู่หูชาวอาร์เจนตินา [[:en:Julio Ricardo Cruz|Julio Cruz]] และ [[เอร์นัน เกรสโป]] รวมไปถึงการโบกมือลาชีวิตค้าแข้งของกองกลางตัวรุกชาวโปรตุเกสผู้เป็นตำนานและมากด้วยประสพการณ์อย่าง [[ลูอิช ฟีกู]] ฟีกูกำลังจะออกจากอินเตอร์อยู่แล้วภายใต้การควบคุมของมันชีนี เนื่องจากได้เวลาลงเล่นน้อย แต่ในฤดูกาลสุดท้ายของเขามูรีนโยให้เขาลงเล่นบ่อยครั้ง มูรีนโยเซ็นสัญญาซื้อ [[ดิเอโก มิลิโต]] กองหน้าชาวอาร์เจนตินาจาก[[สโมสรคริกเกตและฟุตบอลเจนัว|เจนัว]] ซึ่งขาดอีกเพียงประตูเดียวก็จะได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุด รวมถึง [[ตีอาโก มอตตา]] และ [[เวสลีย์ สไนเดอร์]] เพื่อหนุนกองกลาง การเซ็นสัญญาที่น่าจะโดดเด่นที่สุดของมูรีนโยในช่วงฤดูร้อนของฤดูกาลที่สองของเขาก็คือ สัญญาเปลี่ยนตัวผุ้เล่นอย่าง[[ซลาตัน อีบราฮีมอวิช]] เพื่อแลกกับกองหน้าชาวแคเมอรูน [[ซามุแอล เอโต]] ร่วมกับเงิน 35 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสัญญาซื้อขายผู้เล่นที่แพงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การซื้อขายนักเตะ เป็นรองเพียงการย้ายของ [[คริสเตียโน โรนัลโด]] จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปยังเรอัลมาดริดนี้ในช่วงต้นฤดูร้อน เอโตเริ่มงานอย่างสวยหรูกับอินเตอร์มิลานทันทีด้วยการทำประตูสองลูกในการแข่งขันสองนัดแรกของฤดูกาล
 
ในปี [[ค.ศ. 2010]] พาอินเตอร์มิลานเข้ารอบชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2009-2010 กับ[[สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก|บาเยิร์นมิวนิก]]ซึ่งมี[[ลูวี ฟัน คาล]] เจ้านายเก่าเป็นกุนซืออยู่ตอนนั้น และได้คว้าแชมป์ไปในที่สุด รวมทั้งได้ 3 แชมป์ ได้แก่ แชมป์ลีกในประเทศ บอลถ้วยในประเทศ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียวกัน จากนั้นก็มีข่าวทันทีว่ามูรีนโยจะไปคุมยอดทีมจากประเทศสเปนนั่นคือ[[เรอัลมาดริด]]