ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดยโสธร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ชวลิต ประกอบสุข (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Mr.BuriramCN (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 50:
ใน พ.ศ. 2354 เจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราชได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านู หลานพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้านครจำปาศักดิ์องค์ก่อน เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์สืบต่อไป จึงทำให้เจ้าราชวงศ์เมืองโขง (เจ้าคำสิงห์) ไม่เป็นที่พอใจที่จะทำราชการกับเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จึงได้พาครอบครัว และไพร่พลอพยพมาอยู่ที่บ้านสิงท่าดังเดิม พร้อมนำอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ข้างองค์พระธาตุอานนท์ที่วัดมหาธาตุ เพราะเกรงว่าเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จะไม่เคารพอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) และได้ปรับปรุงพัฒนาบ้านสิงห์ท่าให้ใหญ่โตรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก
 
ต่อมาใน พ.ศ. 2357 เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ ได้มีใบกราบบังคมทูลขอยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองยศสุนทร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนแรก (พ.ศ. 2357-2366) และให้อาณาเขตเมืองยศสุนทรทิศเหนือจรดภูสีฐานด่านเมยยอดยัง ทิศใต้จรดห้วยก้ากว้าก ทิศตะวันออกถึงบ้านคำพระมะแงลำน้ำเซ ทิศตะวันตกจรดห้วยไส้ไก่วังเจ็ก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดห้วยตาแหลว ให้เมืองยศสุนทรส่งส่วยบำรุงราชการของหลวงคือ น้ำรักสองเลขต่อเบี้ย ป่านสองเลขต่อขวด และพระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ได้ให้ไพร่พลก่อสร้างฉางข้าว สร้างที่ว่าการเมือง สร้างท้องพระโรง (โฮงคำ) และปกครองเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดสมัย จนถึงแก่พิลาลัย ในปี พ.ศ. 2366 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราชสีชา ขึ้นเป็นพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 2 แต่ท่านครองเมืองได้เพียง 3 เดือนก็ถึงแก่พิลาลัย
[[ไฟล์:พระสุนทรราชวงศา (คำสิงห์).jpg|thumb|[[พระสุนทรราชวงศา]] (เจ้าคำสิงห์) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรองค์แรก|alt=|left]]
ต่อมาใน พ.ศ. 2357 เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ ได้มีใบกราบบังคมทูลขอยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองยศสุนทร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ เป็นที่[[พระสุนทรราชวงศา]] (เจ้าคำสิงห์) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนแรก (พ.ศ. 2357-2366) และให้อาณาเขตเมืองยศสุนทรทิศเหนือจรดภูสีฐานด่านเมยยอดยัง ทิศใต้จรดห้วยก้ากว้าก ทิศตะวันออกถึงบ้านคำพระมะแงลำน้ำเซ ทิศตะวันตกจรดห้วยไส้ไก่วังเจ็ก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดห้วยตาแหลว ให้เมืองยศสุนทรส่งส่วยบำรุงราชการของหลวงคือ น้ำรักสองเลขต่อเบี้ย ป่านสองเลขต่อขวด และพระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ได้ให้ไพร่พลก่อสร้างฉางข้าว สร้างที่ว่าการเมือง สร้างท้องพระโรง (โฮงคำ) และปกครองเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดสมัย จนถึงแก่พิลาลัย ในปี พ.ศ. 2366 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราชสีชา ขึ้นเป็นพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 2 แต่ท่านครองเมืองได้เพียง 3 เดือนก็ถึงแก่พิลาลัย
 
ในระหว่าง พ.ศ. 2369 เกิดสงครามเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์กับกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพที่ 1 ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าอนุวงศ์ ให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ยกกองทัพหน้ามาตั้งที่เมืองยศสุนทร เจ้าฝ่ายบุตพร้อมกับเจ้าอุปราช (บุญมา) (ต่อมาได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นพระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายคนแรก) และเจ้าราชบุตร (เคน) บุตรชายของเจ้าอุปราช (บุญมา) ได้นำกองกำลังเมืองยศสุนทรเข้าร่วมกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดียกทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครเวียงจันทน์ได้สำเร็จ พระยาราชสุภาวดีจึงกราบบังคมทูลความดีความชอบของเจ้าฝ่ายบุต และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าฝ่ายบุตเป็นพระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชชวาเวียง ดำรงรักษ์ภักดียศฦๅไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 3 (พ.ศ. 2366-2400) , พระราชทานเครื่องยศบรรดาศักดิ์เป็น กระโถนทองคำหนึ่ง โต๊ะเงิน คาวหวาน กระบี่บั้งทองหนึ่ง ปืนคาบศิลาคอลาย 2 กระบอก เสื้อกำมะหยี่ติดขลิบแถบทองตัวหนึ่ง หมวกตุ้มปี่ยอดทองคำประดับพลอยหนึ่ง เสื้อเข้มขาบริ้วตัวหนึ่ง เสื้อญี่ปุ่นลายเขียนตัวหนึ่ง แพรโล่ผืนหนึ่ง ผ้าปูมผืนหนึ่ง และสัปทนสักหลาดคันหนึ่ง , พร้อมพระราชทานพระพุทธรูปสำคัญคือ [[พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์]] หรือ พระแก้วหยดน้ำค้าง อันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองยโสธรในปัจจุบัน , พระราชทานเชลยศึกจากนครเวียงจันทน์ จำนวน 500 ครอบครัว และพระราชทานปืนใหญ่ไว้สำหรับเมืองยศสุนทร 1 กระบอก อันมีชื่อว่า "ปืนนางป้อง" ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเจ้าฝ่ายบุตได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองเมืองแล้ว ได้ให้ไพร่พลนำหินศิลาจากบ้านแก้งหินโงม มาสร้างพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานที่มณฑปวัดป่าอัมพวัน สร้างวัดขึ้นที่ท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำชี เรียกว่า '''วัดท่าแขก''' (หรือ'''[[วัดศรีธรรมาราม]]'''ในปัจจุบัน) และสร้างวัดขึ้นที่กลางเมือง เรียกว่า '''วัดกลางศรีไตรภูมิ''' ไว้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสืบมา
ปี พ.ศ. 2390 [[พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต)]] ได้แต่งหมอควาญช้างต่อไปแทรกโพนที่เขากะยอดงชะมาดชบา ได้ช้างสีประหลาด 1 เชือก อีกคราวถัดมาได้แต่งหมอควาญช้างต่อไปแทรกโพนที่แขวงอัตตะปือ (ข่าระแด) ได้ช้างสีประหลาดมาอีก 1 เชือก ถือเป็นช้างพังเผือกโททั้งคู่ จึงมีรับสั่งให้กรมการเมืองยศสุนทรนำช้างนั้นลงไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวางช้างทั้ง 2 เชือก และพระราชทานนามช้างที่ได้มาจากเขากะยอดงชะมาดชบานั้นว่า '''พระพิมลรัตนกิรินีฯ''' ส่วนช้างที่ได้มาจากเขาถ้ำพระ นั้นว่า '''พระวิสูตรรัตนคีรีฯ'''
 
ใน พ.ศ. 2400 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) ได้ถึงแก่พิราลัย ยังแต่พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) แลกรมการช่วยกันดูแลราชการบ้านเมืองอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชดำรงรักษ์ศักดิยศไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 4 (พ.ศ. 2400-2418) ปี พ.ศ. 2416 พระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) พระศรีรราชสุพรหม ผู้เป็นบุตร พร้อมด้วยญาติวงศ์ แลไพร่พลได้พร้อมกันปฏิสังขรณ์วัดท่าแขกที่สร้างขึ้นในสมัยเจ้าฝ่ายบุต แล้วนิมนต์พระเกตุโล (เกตุ) [[วัดโสมนัสราชวรวิหาร]] กรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาส พร้อมตั้งวงศ์ธรรมยุติกนิกายในเมืองยศสุนทรเป็นครั้งแรก และให้ชื่อวัดใหม่ว่า "วัดศรีธรรมารามหายโศรก" ([[วัดศรีธรรมาราม]]) พระเกตุโล (เกตุ) ยังเป็นพระภิกษุที่ได้รับการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนับว่าวัดศรีธรรมารามหายโศรกเป็นวัดธรรมยุติกนิกายแห่งแรกของเมืองยศสุนทร
ปี พ.ศ. 2395 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) ได้เดินทางลงไปติดต่อค้าขายกับเมืองนครราชสีมา และเชิญชวนให้พ่อค้าชาวจีนเดินทางมาตั้งกิจการค้าขายที่เมืองยศสุนทรอีกด้วย โดยลำเลียงสินค้ามาจากเมืองนครราชสีมาด้วยพาหนะโคต่าง และ[[พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายุบต)]]ได้ให้ไพร่พลเมืองยศสุนทรนำหินศิลาจากบ้านแก้งหินโงม มาสร้างพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานที่มณฑปวัดป่าอัมพวัน ('''วัดอัมพวัน''') สร้างวัดขึ้นที่ท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำชี เรียกว่า '''วัดท่าแขก''' (หรือ'''[[วัดศรีธรรมาราม]]'''ในปัจจุบัน) และสร้างวัดขึ้นที่กลางเมือง เรียกว่า '''วัดกลางศรีไตรภูมิ''' ไว้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสืบมา
 
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนและเรียกชื่อเมืองยศสุนทร ว่า '''ยศโสธร''' หรือหากเรียกเพียงสั้นๆ ก็จะเป็นเมืองยศๆ และได้แปรเปลี่ยนมาเป็น "ยโสธร"
ปี พ.ศ. 2400 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) ได้ถึงแก่พิราลัย พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) จึงมีใบบอกลงไปขอพระราชทานศิลาหน้าเพลิงมาเผาศพ
พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) และต่อมาเจ้าอุปราชแพง เจ้าราชวงศ์สุดตา และเจ้าราชบุตรอินทร์ ได้ถึงแก่กรรมลง รัชกาลที่ 4 ก็ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใด้เป็นเจ้าผู้ครองเมือง แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) รักษาราชการพร้อมกรมการเมืองยศสุนทรช่วยกันดูแลราชการบ้านเมืองไปก่อน ต่อมาพระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) ได้แต่งหมอควาญช้างต่อออกไปแทรกโพนช้างป่าที่ภูกะยอดงชะมาดชบาอีก แลได้ช้างสีประหลาด 1 เชือก จึงมีรับสั่งให้กรมการเมืองยศสุนทรนำช้างนั้นลงไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 4 ที่กรุงเทพฯ แต่คณะกรมการเมืองยศสุนทรนำช้างดังกล่าวไปถึงบ้านเริงราง แขวงเมืองสระบุรี ช้างดังกล่าวก็ล้มลงเสียก่อน ยังหาทันได้ขึ้นระวางไม่
 
=== สมัยปฏิรูปประเทศจนถึงปัจจุบัน ===
ปี พ.ศ. 2402 รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยากำแหงสงคราม (แก้ว) เจ้าเมืองนครราชสีมา เป็นข้าหลวงอัญเชิญตราพระราชสีห์ขึ้นมาเป็นแม่กองสักเลขหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตั้งกองสักเลขขึ้นที่เมืองยศสุนทร บริเวณท่าน้ำฝั่งขวาน้ำพาชี (ปัจจุบันคือ ท่าคำทอง ท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จังหวัดยโสธร) โดยสั่งให้หัวเมืองต่างๆ มารวมสักเลขที่เมืองนี้ อาทิ เมืองอุบลราชธานี เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองคำทองใหญ่ เป็นต้น
ใน พ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองหนองคาย กองกำลังเมืองยศสุนทรถูกเกณฑ์ให้ไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ กำลังพล 500 คน โดยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) เป็นแม่ทัพเข้าปราบปราม
 
ใน พ.ศ. 2418 พระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) ได้ถึงแก่พิราลัย ต่อมาใน พ.ศ. 2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศรีวรราชสุพรหม บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 5 (พ.ศ. 2418-2429) และใน พ.ศ. 2423 หลวงจุมพลภักดี นายกอง บุตรหลานของเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ไปตั้งบ้านบึงโดนขึ้นแขวงเมืองยศสุนทร ซึ่งพระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนก่อนได้ตั้งให้เป็นกรมการเมืองยศสุนทรนั้น จะขอทำส่วยผลเร่วแยกจากเมืองยศสุนทรขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยตรง แต่ฝ่ายพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองไม่ยอมตามหลวงจุมพลภักดีๆ มีความขุ่นเคืองจึงเอาบัญชีรายชื่อตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหาร เจ้าเมืองกมลาไสย และมีใบกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมือง ขอตั้งหลวงจุมพลภักดีเป็นเจ้าเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมืองเสลภูมินิคม ให้หลวงจุมพลภักดีเป็นพระนิคมบริรักษ์ เจ้าเมืองเสลภูมินิคม ให้ท้าวสุริยะเป็นอัคฮาด ให้ท้าวผู้ช่วยเป็นอัควงษ์ ท้าวสุทธิสารเป็นอัคบุตร รักษาราชการเมืองเสลภูมินิคมขึ้นกับเมืองกมลาไสย
ปี พ.ศ. 2403 เมืองแสน เมืองจันทร์ ท้าวเพีย แลกรมการเมืองยศสุนทร ได้เห็นว่าพระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เจ้าสุริยวงศ์ (แข้) บุตรเจ้าอุปราชแพง ท้าวขัตติยะ (อ้น) ท้าวพิมพิสาร (พิมพ์) ได้ประกอบความดีความชอบในราชการสงคราม แลได้นำช้างเผือกขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย จึงพร้อมใจกันมีใบกราบบังคมทูลถวายแด่รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณารับทราบ
 
ใน พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยศสุนทรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่าง ๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ ต่อมาใน พ.ศ. 2429 พระสุนทรวรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) ได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราช (แก) เป็นที่พระสุนทรราชเดช เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองยโสธรคนแรก (พ.ศ. 2430-2438) และใน พ.ศ. 2433 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเมืองประเทศราชมาเป็นการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองเอก มีเมืองขึ้น 41 เมือง ประกอบด้วยหัวเมือง 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ หนองสองคอนดอนดง และศรีสะเกษ และเมืองยโสธรจึงจัดอยู่ใน 41 เมืองดังกล่าวด้วย
ปี พ.ศ. 2304 วันจันทร์ แรม 11 ค่ำ เดือน 8 ปีระกาตรีศก รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชดำรงรักษ์ศักดิยศไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร องค์ที่ 4 (พ.ศ. 2400-2418) เจ้าสุริยวงศ์ (แข้) เป็นเจ้าอุปราช ท้าวขัตติยะ (อ้น) เป็นเจ้าราชวงศ์ และท้าวพิมพิสาร (พิมพ์) เป็นเจ้าราชบุตร เจ้าสุพหรม บุตร[[พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น)]]เป็นพระศรีวรราช ผู้ช่วยราชการเจ้าผู้ครองเมือง
 
ใน พ.ศ. 2436 [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร]] ข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ ข้าหลวง ท้าวไชยกุมาร เมืองอุบลราชธานี ขึ้นมาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วเจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู พระศรีวรราช ท้าวสิทธิกุมาร ผู้ที่รับหน้าที่เจ้าราชวงศ์ จึงพร้อมด้วยหลวงพิทักษ์สุเทพ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เมื่องานพระราชทานเพลิงศพฯ เสร็จลง เมืองยโสธรก็ว่างเว้นจากเจ้าผู้ครองเมือง เหลือแต่เจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู รับราชการกับหลวงพิทักษ์สุเทพ ในปีนี้เองเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย ฝ่ายเมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์กำลังทหารไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ ทั้งสามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน จำนวน 1,000 นาย โดยมีหลวงพิทักษ์สุเทพ เป็นนายคุมทัพไป
ปี พ.ศ. 2410 พระศรีวรราช (เจ้าสุพรหม) แลเจ้าราชบุตรพิมพ์ ได้แต่งได้แต่งหมอควาญช้างต่อออกไปแทรกโพนช้างป่า ได้ช้างสีประหลาดพลายพังเผือกโท 1 เชือก จึงมีรับสั่งให้กรมการเมืองยศสุนทรนำช้างนั้นลงไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวางช้าง และพระราชทานนามช้างว่า '''พระเสวตวิสุทธิเทพามหาวิฆเนศฯ'''
 
ใน พ.ศ. 2437 [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์]] เสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประดับที่เมืองอุบลราชธานี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นข้าหลวงมาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วให้เจ้าอุปราชแกเป็นที่พระสุนทรราชเดช ให้เจ้าราชบุตรหนูเป็นเจ้าราชวงศ์ และหลวงศรีวรราช (แข้) เป็นเจ้าราชบุตร
ปี พ.ศ. 2315 เจ้าราชวงศ์อ้น และเจ้าราชบุตรพิมพ์ถึงแก่กรรม พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) จึงมีใบกราบบังคมทูลแด่รัชกาลที่ 4 ขอทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (เจ้าสุพรหม) ขึ้นเป็นเจ้าอุปราชสุพรหม และขอให้ท้าวแกขึ้นเป็นพระศรีวรราช ผู้ช่วยราชการเจ้าผู้ครองเมืองต่อมา
 
ใน พ.ศ. 2438 พระสุนทรราชเดชได้ถึงแก่อนิจกรรมลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นขุนรานนฤพล ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 2 และปี พ.ศ. 2440 ขุนรานนฤพลก็ถึงแก่กรรมลงอีก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงศรีวรราช (แข้ ปทุมชาติ) เป็นพระสุนทรราชเดช ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 3 (พ.ศ. 2440 - 2455)
ปี พ.ศ. 2416 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) พระศรีรราชสุพรหม ผู้เป็นบุตร พร้อมด้วยญาติวงศ์ แลไพร่พลได้พร้อมกันปฏิสังขรณ์วัดท่าแขกที่สร้างขึ้นในสมัยเจ้าฝ่ายบุต แล้วนิมนต์พระเกตุโล (เกตุ) [[วัดโสมนัสราชวรวิหาร]] กรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาส พร้อมตั้งวงศ์ธรรมยุติกนิกายในเมืองยศสุนทรเป็นครั้งแรก และให้ชื่อวัดใหม่ว่า "วัดศรีธรรมารามหายโศรก" ([[วัดศรีธรรมาราม]]) พระเกตุโล (เกตุ) ยังเป็นพระภิกษุที่ได้รับการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนับว่าวัดศรีธรรมารามหายโศรกเป็นวัดธรรมยุติกนิกายแห่งแรกของเมืองยศสุนทร
 
ใน พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาประทับที่เมืองยโสธร โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชวงศ์ทองดี เป็น'''หลวงยศไกรเกรียงเดช''' (ทองดี ต้นสกุลโพธิ์ศรี) เป็นยกบัตรเมือง 4. ท้าวโพธิสาร (ตา) เป็น'''หลวงยศเยศสุรามฤทธิ์''' เป็นนาย'''อำเภออุทัยยะโสธร''' 5. ท้าวสิทธิสาร (สมเพศ) เป็น'''หลวงยศวิทยธำรง''' ผู้ช่วย 6. เมืองจันทร์ (ฉิม) เป็น'''หลวงยศเขตรวิมลคุณ''' มหาดไทย เป็นนาย'''อำเภอปจิมยะโสธร'''
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนและเรียกชื่อเมืองยศสุนทร ว่า '''ยศโสธร''' หรือหากเรียกเพียงสั้นๆ ก็จะเป็นเมืองยศๆ และได้แปรเปลี่ยนมาเป็น "ยโสธร"
 
ต่อมาใน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมาใน พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็น'''หลวงยศอดุลพฤฒิเดช''' เป็นตำแหน่งพล
=== สมัยปฏิรูปประเทศ ===
ใน พ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองหนองคาย กองกำลังเมืองยศสุนทรถูกเกณฑ์ให้ไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ กำลังพล 500 คน โดยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) เป็นแม่ทัพเข้าปราบปราม
 
ใน พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมือง[[เขมราฐ]] ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มารวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุไทยยะโสธร อำเภอปจิมยะโสธร อำเภออุไทยเขมราฐ อำเภอ[[อำนาจเจริญ]] [[อำเภอโขงเจียม]] อำเภอวารินทร์ชำราบ จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด
ใน พ.ศ. 2418 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) ได้ถึงแก่พิราลัย และในปี พ.ศ. 2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราชสุพรหม เป็นที่[[พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม)]] เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 5 (พ.ศ. 2418-2429)
 
ปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ต้างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร ([[อำเภอพิบูลมังสาหาร]]) และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล ([[อำเภอเมืองอุบลราชธานี]])
และใน พ.ศ. 2423 หลวงจุมพลภักดี (เสน) นายกอง บุตรเจ้าอุปราชแพง บุตรหลานของเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ไปตั้งบ้านบึงโดนขึ้นแขวงเมืองยศสุนทร ซึ่งพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนก่อนได้ตั้งให้เป็นกรมการเมืองยศสุนทรนั้น จะขอทำส่วยผลเร่วแยกจากเมืองยศสุนทรขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยตรง แต่ฝ่ายพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองไม่ยอมตามหลวงจุมพลภักดีๆ มีความขุ่นเคืองจึงเอาบัญชีรายชื่อตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหาร เจ้าเมืองกมลาไสย และมีใบกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมือง ขอตั้งหลวงจุมพลภักดีเป็นเจ้าเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมืองเสลภูมินิคม ให้หลวงจุมพลภักดีเป็นพระนิคมบริรักษ์ เจ้าเมืองเสลภูมินิคม ให้ท้าวสุริยะเป็นอัคฮาด ให้ท้าวผู้ช่วยเป็นอัควงษ์ ท้าวสุทธิสารเป็นอัคบุตร รักษาราชการเมืองเสลภูมินิคมขึ้นกับเมืองกมลาไสย
 
ปี พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสาน เป็น 2 มณฑล คือ มณฑบลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด โดยกำหนดให้มณฑลอุบลราชธานี มี 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ใชช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้เรียกเป็นจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมืองยโสธรก็ถูกยุบไปในคราวเดียวกันนั้น ส่วนอำเภอต่างๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองยโสธร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ก็ถูกโอนย้ายให้อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ใน พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยศสุนทรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่าง ๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ ต่อมาใน พ.ศ. 2429 พระสุนทรวรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) ได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราช (แก) เป็นที่พระสุนทรราชเดช เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองยโสธรคนแรก (พ.ศ. 2430-2438) และใน พ.ศ. 2433 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเมืองประเทศราชมาเป็นการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองเอก มีเมืองขึ้น 41 เมือง ประกอบด้วยหัวเมือง 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ หนองสองคอนดอนดง และศรีสะเกษ และเมืองยโสธรจึงจัดอยู่ใน 41 เมืองดังกล่าวด้วย
 
ปี พ.ศ. 2456 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่ออำเภอในจังหวัดอุบลราชธานีให้เหมาะสม การนี้จึงได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุไทยยะโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมยะโสธร เป็นอำเภอยะโสธร จังหวัดอุบลราชธานี
ใน พ.ศ. 2436 [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร]] ข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ ข้าหลวง ท้าวไชยกุมาร เมืองอุบลราชธานี ขึ้นมาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วเจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู พระศรีวรราช ท้าวสิทธิกุมาร ผู้ที่รับหน้าที่เจ้าราชวงศ์ จึงพร้อมด้วยหลวงพิทักษ์สุเทพ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เมื่องานพระราชทานเพลิงศพฯ เสร็จลง เมืองยโสธรก็ว่างเว้นจากเจ้าผู้ครองเมือง เหลือแต่เจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู รับราชการกับหลวงพิทักษ์สุเทพ ในปีนี้เองเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย ฝ่ายเมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์กำลังทหารไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ ทั้งสามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน จำนวน 1,000 นาย โดยมีหลวงพิทักษ์สุเทพ เป็นนายคุมทัพไป
 
ปี พ.ศ. 2494 กระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอตั้งอำเภอยะโสธรขึ้นเป็นจังหวัดครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายใด ต่อมา ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอยะโสธร(พ.ศ. 2500–2513) คำว่า '''ยศสุนทร''' แปลว่า '''ยศอันดีงาม''' ชาวเมืองยศสุนทรจะเรียกตนเองสั้นๆ ว่า ชาวเมืองยศหรือคนเมืองยศ อันเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และต่อมาชื่อเมืองก็มากลายเป็น ยะโสธร อันมีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งยศ แต่การเขียนหรือการเรียกสั้นๆ ว่า เมืองยะโส พูดแล้วฟังดูไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม จึงได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่ออำเภอเสียใหม่เป็น “ยโสธร” และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้
ใน พ.ศ. 2437 [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์]] เสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาวประทับที่เมืองอุบลราชธานี แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน มาเป็นข้าหลวงจัดราชการเมืองยโสธร แล้วให้เจ้าอุปราชแกเป็นที่พระสุนทรราชเดช ให้เจ้าราชบุตรหนูเป็นเจ้าราชวงศ์ และหลวงศรีวรราช (แข้) เป็นเจ้าราชบุตร
 
จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดยโสธรที่ค้างคาอยู่ ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 โดยได้แยกอำเภอต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีเดิม 6 อำเภอ คือ อำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว รวมเข้าเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป และแต่งตั้งนายชัยทัต สุนทรพิพิธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก
ใน พ.ศ. 2438 พระสุนทรราชเดช (แก) ได้ถึงแก่อนิจกรรมลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นขุนรานนฤพล ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 2 และปี พ.ศ. 2440 ขุนรานนฤพลก็ถึงแก่กรรมลงอีก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงศรีวรราช (แข้) เป็น[[พระสุนทรราชเดช (แข้ ปทุมชาติ)]] ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 3 (พ.ศ. 2440 - 2455)
 
== ภูมิศาสตร์ ==
ใน พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาประทับที่เมืองยโสธร ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชวงศ์ทองดี เป็น'''หลวงยศไกรเกรียงเดช''' (ต้นสายสกุล'''โพธิ์ศรี''') ตำแหน่งยกบัตรเมือง 4. ท้าวโพธิสาร (ตา) เป็น'''หลวงยศเยศสุรามฤทธิ์''' ตำแหน่งนาย'''อำเภออุทัยยะโสธร''' 5. ท้าวสิทธิสาร (สมเพศ) เป็น'''หลวงยศวิทยธำรง''' ตำแหน่งผู้ช่วย 6. เมืองจันทร์ (ฉิม) เป็น'''หลวงยศเขตรวิมลคุณ''' มหาดไทย ตำแหน่งนาย'''อำเภอปจิมยะโสธร'''
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
ศาลากลางจังหวัดยโสธรตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ณ ละติจูด 15° 47´.6 เหนือ ลองจิจูด 104° 08´.7 ตะวันออก และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
* '''ทิศเหนือ''' ติดต่อกับ[[จังหวัดมุกดาหาร]]
* '''ทิศตะวันออก''' ติดต่อกับ[[จังหวัดอำนาจเจริญ]] และ[[จังหวัดอุบลราชธานี]]
* '''ทิศใต้''' ติดต่อกับ[[จังหวัดศรีสะเกษ]]
* '''ทิศตะวันตก''' ติดต่อกับ[[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
 
=== ภูมิประเทศ ===
ต่อมาใน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมาใน พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็น'''หลวงยศอดุลพฤฒิเดช''' ตำแหน่งพล
จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบหรือ[[แอ่งโคราช]] โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 128 เมตร มีพื้นที่ 4,161.444 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,600,902.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.81 ของพื้นที่ทั่วประเทศ (321 ล้านไร่) และคิดเป็นร้อยละ 12.89 ของพื้นที่กลุ่มจังหวัด แยกเป็นพื้นที่การเกษตร 1,623,649 ไร่ (62.42%) ป่าสงวนแห่งชาติ 712,822 ไร่ (27.41%) ที่อยู่อาศัย 34,776 ไร่ (1.34%) และอื่นๆ อีก 29,655 ไร่ (8.83%) พื้นที่มีลักษณะลาดเอียงจากทิศตะวันตกลงไปทางทิศตะวันออก ลักษณะดินส่วนมากเป็นดินทรายและดินเค็ม ทางด้านตอนบนของจังหวัดมีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่น มีสภาพเป็นป่าและภูเขาขนาดเล็กเป็นบางบริเวณ ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ของป่า[[ดงบังอี่]]คือ [[อำเภอเลิงนกทา]] [[อำเภอกุดชุม]] และ[[อำเภอไทยเจริญ]] และเป็นต้นกำเนิดลำน้ำสายสำคัญคือ [[ลำเซบาย]] และ[[ลำน้ำโพง]] และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยสะแบก ห้วยลิงโจน เป็นต้น ทางด้านตอนกลางและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นเป็นที่ราบลุ่มต่ำสลับกับสันดินริมน้ำ[[แม่น้ำชี]]คือ [[อำเภอเมืองยโสธร]] [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]] [[อำเภอมหาชนะชัย]] และ[[อำเภอค้อวัง]] ความยาวเฉพาะช่วงที่แม่น้ำชีไหลผ่านจังหวัดยโสธร มีความยาว 110  กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย 8,035 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ปริมาณน้ำที่กักเก็บได้เฉลี่ย 4,179 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีปริมาณน้ำท่าเหลือเฉลี่ย 3,856 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ลำชีหลง ลำทวน ห้วยขั้นไดใหญ่ ห้วยพระบาง ห้วยน้ำเค็ม ห้วยพันทม ห้วยสันโดด เป็นต้น ด้านตะวันตกของจังหวัดมี[[ลำน้ำยัง]]ไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำชีในพื้นที่อำเภอเมืองยโสธร มีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยแกวใหญ่ ส่วนด้านตะวันออกมีลำเซบาย และลำน้ำโพงไหลผ่านในพื้นที่[[อำเภอป่าติ้ว]] และอำเภอคำเขื่อนแก้ว มีลำน้ำเล็ก ๆ คือ ห้วยทม
 
พื้นที่ในจังหวัดยโสธรมีลักษณะดินต่าง ๆ โดยเป็นดินปนทราย 306,899 ไร่ หรือร้อยละ 11.79 ของพื้นที่จังหวัด ดินเค็ม(ปานกลางและน้อย) 140,255 ไร่ หรือร้อยละ 5.39 เป็นดินตื้นปนกรวดและดินภูเขา 68,117 ไร่ หรือร้อยละ 2.62  และตามข้อมูล กชช.2ค. มีจำนวนหมู่บ้านที่มีปัญหาคุณภาพดิน ระดับมาก จำนวน 270 หมู่บ้าน ระดับปานกลาง 241 หมู่บ้าน รวมเป็น 511 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 57.74 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด ถือว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพดินค่อนข้างมาก
ใน พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมือง[[อำเภอเขมราฐ]] ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มารวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุไทยยะโสธร อำเภอปจิมยะโสธร อำเภออุไทยเขมราฐ [[จังหวัดอำนาจเจริญ|อำเภออำนาจเจริญ]] [[อำเภอโขงเจียม]] [[อำเภอวารินชำราบ|อำเภอวารินทร์ชำราบ]] จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด
 
;ป่าไม้
ปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ต่างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร ([[อำเภอพิบูลมังสาหาร]]) และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล ([[อำเภอเมืองอุบลราชธานี]])
จังหวัดยโสธรมีพื้นที่ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติทั้งสิ้น จำนวน 27 ป่า เนื้อที่ 712,822 ไร่ ปัจจุบันกรมป่าไม้ได้ส่งมอบพื้นที่เสื่อมโทรมให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม  นำไปปฏิรูปให้เกษตรกรทั้งสิ้น 509,405  ไร่  และมีพื้นที่กันคืนให้กรมป่าไม้เนื่องจากสภาพยังคงเป็นป่าแปลงเล็กแปลงน้อย จำนวน 241 แปลง เนื้อที่ 38,544 ไร่ คงเหลือพื้นที่ป่าที่จะดูแลรักษาจำนวน 297,419 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.43 (เป็นพื้นที่ C จำนวน 114,713 ไร่) จากสถิติกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2551 เหลือพื้นที่ป่า จำนวน 272,725 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.49 ของพื้นที่จังหวัด และมีอุทยานแห่งชาติอยู่ 1 แห่ง คือ [[อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว]] อยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา  จังหวัดยโสธร  เนื้อที่  42,500  ไร่ ซึ่งประกาศทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติป่าดงบังอี่ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550-2554) คดีป่าไม้ เฉลี่ย 40 คดี/ปี พื้นที่ถูกบุกรุกเฉลี่ย 145-2-58 ไร่/ปี มีไฟป่าเกิดขึ้นเฉลี่ย 14 ครั้ง/ปี พื้นที่เสียหาย เฉลี่ย 231 ไร่/ปี
 
;แหล่งน้ำ
ปี พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสาน เป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด โดยกำหนดให้มณฑลอุบลราชธานี มี 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ใชช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้เรียกเป็นจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมืองยโสธรก็ถูกยุบไปในคราวเดียวกันนั้น ส่วนอำเภอต่างๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองยโสธร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ก็ถูกโอนย้ายให้อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญได้แก่
* [[แม่น้ำชี]] มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ โดยไหลผ่านอำเภอเมืองยโสธร ผ่านอำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำมูลในเขตอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี แม่น้ำชีมีลำน้ำสาขาอยู่ในเขตจังหวัดยโสธรหลายสาย คือ ลำน้ำกว้าง ห้วยพระบาง ห้วยสันโดด ห้วยพันทม ห้วยกุดกุง ฯลฯ
* [[ลำเซบาย]] มีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงพื้นที่อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอป่าติ้ว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ อำเภอหัวตะพาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอเขื่องใน ก่อนไหลลงสู่กับแม่น้ำมูลที่บ้านทุ่งขุนน้อย ตำบลหนองขอน จังหวัดอุบลราชธานี ลำเซบายมีลำน้ำสาขาอยู่หลายสาย คือ ลำน้ำโพง ห้วยลิงโจน ห้วยสะแบก ห้วยส้มฝ่อ ฯลฯ
* [[ลำน้ำโพง]] มีต้นกำเนิดจากภูกิ๋วภูฮังในเขตอำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอกุดชุม อำเภอเมืองยโสธร อำเภอป่าติ้ว ก่อนไหลลงสู่ลำเซบายที่บ้านกุดเป่ง ตำบลเหล่าไฮ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ลำน้ำโพงมีน้ำไหลเกือบตลอดปี
* [[ลำน้ำยัง]] มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด และไหลลงสู่แม่น้ำชีที่บ้านคำน้ำสร้าง ตำบลค้อเหนืออำเภอเมืองยโสธร ลำน้ำยังมีน้ำไหลเกือบตลอดปี
 
=== ภูมิอากาศ ===
ปี พ.ศ. 2456 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่ออำเภอในจังหวัดอุบลราชธานีให้เหมาะสม การนี้จึงได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุไทยยะโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมยะโสธร เป็นอำเภอยะโสธร จังหวัดอุบลราชธานี
จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 104 และ 105 องศาตะวันออก และเส้นรุ้งที่ 15 และ 16 องศาเหนือ สำหรับภูมิอากาศ จังหวัดยโสธรมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ยเท่ากับ 71.1% อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบ 5 ปี (2552 – 2556) เฉลี่ย 1,600 ม.ม. ต่อปี
 
=== สมัยเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองจนถึงปัจจุบัน ===
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
ปี พ.ศ. 2494 กระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอตั้งอำเภอยะโสธรขึ้นเป็นจังหวัดครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายใด ต่อมา ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอยะโสธร (พ.ศ. 2500–2513) คำว่า '''ยศสุนทร''' แปลว่า '''ยศอันดีงาม''' ชาวเมืองยศสุนทรจะเรียกตนเองสั้นๆ ว่า ชาวเมืองยศหรือคนเมืองยศ อันเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และต่อมาชื่อเมืองก็มากลายเป็น ยะโสธร อันมีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งยศ แต่การเขียนหรือการเรียกสั้นๆ ว่า เมืองยะโส พูดแล้วฟังดูไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม จึงได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่ออำเภอเสียใหม่เป็น “ยโสธร” และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้
[[ไฟล์:Amphoe Yasothon.svg|thumb|left|upright=1.1|แผนที่อำเภอในจังหวัดยโสธร]]
 
การปกครองแบ่งออกเป็น 9 [[อำเภอ]] 78 [[ตำบล]] 835 [[หมู่บ้าน]]
จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดยโสธรที่ค้างคาอยู่ ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 โดยได้แยกอำเภอต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีเดิม 6 อำเภอ คือ อำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว รวมเข้าเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป และแต่งตั้งนายชัยทัต สุนทรพิพิธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก
{|
|- -- valign=top
||
# [[อำเภอเมืองยโสธร]]
# [[อำเภอทรายมูล]]
# [[อำเภอกุดชุม]]
# [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]]
# [[อำเภอป่าติ้ว]]
# [[อำเภอมหาชนะชัย]]
# [[อำเภอค้อวัง]]
# [[อำเภอเลิงนกทา]]
# [[อำเภอไทยเจริญ]]
|}
 
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 88 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 [[องค์การบริหารส่วนจังหวัด]], 1 [[เทศบาลเมือง]], 22 [[เทศบาลตำบล]] และ 64 [[องค์การบริหารส่วนตำบล]] มีรายชื่อดังนี้
{{บน}}
'''อำเภอเมืองยโสธร'''
* '''[[เทศบาลเมืองยโสธร]]'''
* [[เทศบาลตำบลตาดทอง]]
* [[เทศบาลตำบลเดิด]]
* [[เทศบาลตำบลทุ่งแต้]]
* [[เทศบาลตำบลน้ำคำใหญ่]]
* [[เทศบาลตำบลสำราญ]]
 
'''อำเภอทรายมูล'''
* [[เทศบาลตำบลทรายมูล]]
* [[เทศบาลตำบลนาเวียง]]
 
'''อำเภอกุดชุม'''
* [[เทศบาลตำบลกุดชุมพัฒนา]]
 
'''อำเภอคำเขื่อนแก้ว'''
* [[เทศบาลตำบลคำเขื่อนแก้ว]]
* [[เทศบาลตำบลดงแคนใหญ่]]
 
'''อำเภอป่าติ้ว'''
* [[เทศบาลตำบลป่าติ้ว]]
 
{{กลาง}}
 
'''อำเภอมหาชนะชัย'''
* [[เทศบาลตำบลฟ้าหยาด]]
 
'''อำเภอค้อวัง'''
* [[เทศบาลตำบลค้อวัง]]
 
'''อำเภอเลิงนกทา'''
* [[เทศบาลตำบลเลิงนกทา]]
* [[เทศบาลตำบลสามแยก]]
* [[เทศบาลตำบลบุ่งค้า]]
* [[เทศบาลตำบลห้องแซง]]
* [[เทศบาลตำบลสามัคคี]]
* [[เทศบาลตำบลศรีแก้ว]]
* [[เทศบาลตำบลกุดเชียงหมี]]
* [[เทศบาลตำบลสวาท]]
* [[เทศบาลตำบลกุดแห่]]
 
'''อำเภอไทยเจริญ'''
* [[เทศบาลตำบลคำเตย]]
{{ล่าง}}
 
=== รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ===
เส้น 132 ⟶ 205:
|-
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | 2. [[พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา)]]
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | พ.ศ. 2366-2366 (3 เดือน)
|-
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | 3. [[พระสุนทรราชวงศาฯวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชชวาเวียง ดำรงรักษ์ภักดียศฦๅไกร ศรีพิไชยสงคราม]] (เจ้าฝ่ายบุต)]]
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | พ.ศ. 2366-2400
|-
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | 4. [[พระสุนทรราชวงศาฯวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชดำรงรักษ์ศักดิยศไกร ศรีพิไชยสงคราม]] (เจ้าเหม็น)]]
| valign = "top" style="background: #FFE5B4" | พ.ศ. 2400-2412
|-
เส้น 227 ⟶ 300:
| colspan = "2" style="background: #FFE5B4" align="left" | อ้างอิง:<ref>http://www.yasothon.go.th/web/file/menu2.html</ref>
|}
 
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
ศาลากลางจังหวัดยโสธรตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งสนิท ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ณ ละติจูด 15° 47´.6 เหนือ ลองจิจูด 104° 08´.7 ตะวันออก และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
* '''ทิศเหนือ''' ติดต่อกับ[[อำเภอหนองสูง]] [[อำเภอนิคมคำสร้อย]] และ[[อำเภอดอนตาล ]] [[จังหวัดมุกดาหาร]]
* '''ทิศตะวันออก''' ติดต่อกับ[[อำเภอชานุมาน]] [[อำเภอเสนางคนิคม]] [[อำเภอเมืองอำนาจเจริญ]] [[อำเภอหัวตะพาน]] [[จังหวัดอำนาจเจริญ]] และ[[อำเภอเขื่องใน]] [[จังหวัดอุบลราชธานี]]
* '''ทิศใต้''' ติดต่อกับ[[อำเภอศิลาลาด]] [[อำเภอราษีไศล]] และ[[อำเภอยางชุมน้อย]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
* '''ทิศตะวันตก''' ติดต่อกับ[[อำเภอหนองพอก]] [[อำเภอเสลภูมิ]] และ[[อำเภอพนมไพร]] [[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
 
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบหรือ[[แอ่งโคราช]] โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 128 เมตร มีพื้นที่ 4,161.444 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,600,902.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.81 ของพื้นที่ทั่วประเทศ (321 ล้านไร่) และคิดเป็นร้อยละ 12.89 ของพื้นที่กลุ่มจังหวัด แยกเป็นพื้นที่การเกษตร 1,623,649 ไร่ (62.42%) ป่าสงวนแห่งชาติ 712,822 ไร่ (27.41%) ที่อยู่อาศัย 34,776 ไร่ (1.34%) และอื่นๆ อีก 29,655 ไร่ (8.83%) พื้นที่มีลักษณะลาดเอียงจากทิศตะวันตกลงไปทางทิศตะวันออก ลักษณะดินส่วนมากเป็นดินทรายและดินเค็ม ทางด้านตอนบนของจังหวัดมีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่น มีสภาพเป็นป่าและภูเขาขนาดเล็กเป็นบางบริเวณ ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ของป่า[[ดงบังอี่]]คือ [[อำเภอเลิงนกทา]] [[อำเภอกุดชุม]] และ[[อำเภอไทยเจริญ]] และเป็นต้นกำเนิดลำน้ำสายสำคัญคือ [[ลำเซบาย]] และ[[ลำน้ำโพง]] และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยสะแบก ห้วยลิงโจน เป็นต้น ทางด้านตอนกลางและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นเป็นที่ราบลุ่มต่ำสลับกับสันดินริมน้ำ[[แม่น้ำชี]]คือ [[อำเภอเมืองยโสธร]] [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]] [[อำเภอมหาชนะชัย]] และ[[อำเภอค้อวัง]] ความยาวเฉพาะช่วงที่แม่น้ำชีไหลผ่านจังหวัดยโสธร มีความยาว 110  กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย 8,035 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ปริมาณน้ำที่กักเก็บได้เฉลี่ย 4,179 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีปริมาณน้ำท่าเหลือเฉลี่ย 3,856 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ลำชีหลง ลำทวน ห้วยขั้นไดใหญ่ ห้วยพระบาง ห้วยน้ำเค็ม ห้วยพันทม ห้วยสันโดด เป็นต้น ด้านตะวันตกของจังหวัดมี[[ลำน้ำยัง]]ไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำชีในพื้นที่อำเภอเมืองยโสธร มีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยแกวใหญ่ ส่วนด้านตะวันออกมีลำเซบาย และลำน้ำโพงไหลผ่านในพื้นที่[[อำเภอป่าติ้ว]] และอำเภอคำเขื่อนแก้ว มีลำน้ำเล็ก ๆ คือ ห้วยทม
 
=== ภูมิอากาศ ===
จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 104 และ 105 องศาตะวันออก และเส้นรุ้งที่ 15 และ 16 องศาเหนือ สำหรับภูมิอากาศ จังหวัดยโสธรมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ยเท่ากับ 71.1% อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบ 5 ปี (2552 – 2556) เฉลี่ย 1,600 ม.ม. ต่อปี
 
=== ทรัพยากรธรรมชาติ ===
;ดิน
พื้นที่ในจังหวัดยโสธรมีลักษณะดินต่าง ๆ โดยเป็นดินปนทราย 306,899 ไร่ หรือร้อยละ 11.79 ของพื้นที่จังหวัด ดินเค็ม(ปานกลางและน้อย) 140,255 ไร่ หรือร้อยละ 5.39 เป็นดินตื้นปนกรวดและดินภูเขา 68,117 ไร่ หรือร้อยละ 2.62  และตามข้อมูล กชช.2ค. มีจำนวนหมู่บ้านที่มีปัญหาคุณภาพดิน ระดับมาก จำนวน 270 หมู่บ้าน ระดับปานกลาง 241 หมู่บ้าน รวมเป็น 511 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 57.74 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด ถือว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพดินค่อนข้างมาก
 
;ป่าไม้
จังหวัดยโสธรมีพื้นที่ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติทั้งสิ้น จำนวน 27 ป่า เนื้อที่ 712,822 ไร่ ปัจจุบันกรมป่าไม้ได้ส่งมอบพื้นที่เสื่อมโทรมให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม  นำไปปฏิรูปให้เกษตรกรทั้งสิ้น 509,405  ไร่  และมีพื้นที่กันคืนให้กรมป่าไม้เนื่องจากสภาพยังคงเป็นป่าแปลงเล็กแปลงน้อย จำนวน 241 แปลง เนื้อที่ 38,544 ไร่ คงเหลือพื้นที่ป่าที่จะดูแลรักษาจำนวน 297,419 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.43 (เป็นพื้นที่ C จำนวน 114,713 ไร่) จากสถิติกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2551 เหลือพื้นที่ป่า จำนวน 272,725 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.49 ของพื้นที่จังหวัด และมีอุทยานแห่งชาติอยู่ 1 แห่ง คือ [[อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว]] อยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา  จังหวัดยโสธร  เนื้อที่  42,500  ไร่ ซึ่งประกาศทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติป่าดงบังอี่ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550-2554) คดีป่าไม้ เฉลี่ย 40 คดี/ปี พื้นที่ถูกบุกรุกเฉลี่ย 145-2-58 ไร่/ปี มีไฟป่าเกิดขึ้นเฉลี่ย 14 ครั้ง/ปี พื้นที่เสียหาย เฉลี่ย 231 ไร่/ปี ป่าไม้ มีพื้นที่ป่ามากที่สุดคือ อำเภอเลิงนกทา รองลงมาคือ อำเภอกุดชุม
 
[[ไฟล์:Ferry on river chi.jpg|thumb|[[แม่น้ำชี]]ไหล่หล่อเลี้ยงชาวจังหวัดยโสธร|alt=|left]]
;แหล่งน้ำ
แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญได้แก่
* [[แม่น้ำชี]] มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ โดยไหลผ่านอำเภอเมืองยโสธร ผ่านอำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำมูลในเขตอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี แม่น้ำชีมีลำน้ำสาขาอยู่ในเขตจังหวัดยโสธรหลายสาย คือ ลำน้ำกว้าง ห้วยพระบาง ห้วยสันโดด ห้วยพันทม ห้วยกุดกุง ฯลฯ
* [[ลำเซบาย]] มีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงพื้นที่อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอป่าติ้ว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ อำเภอหัวตะพาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอเขื่องใน ก่อนไหลลงสู่กับแม่น้ำมูลที่บ้านทุ่งขุนน้อย ตำบลแจระแม จังหวัดอุบลราชธานี ลำเซบายมีลำน้ำสาขาอยู่หลายสาย คือ ลำน้ำโพง ห้วยลิงโจน ห้วยสะแบก ห้วยส้มฝ่อ ฯลฯ
* [[ลำน้ำโพง]] มีต้นกำเนิดจากภูกิ๋วภูฮัง บ้านโพง ตำบลห้องแซง อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอกุดชุม อำเภอเมืองยโสธร อำเภอป่าติ้ว ก่อนไหลลงสู่ลำเซบายที่บ้านกุดเป่ง ตำบลเหล่าไฮ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ลำน้ำโพงมีน้ำไหลเกือบตลอดปี
* [[ลำน้ำยัง]] มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด และไหลลงสู่แม่น้ำชีที่บ้านคำน้ำสร้าง ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร ลำน้ำยังมีน้ำไหลเกือบตลอดปี
 
== การเมืองการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
[[ไฟล์:Amphoe Yasothon.svg|thumb|left|upright=1.1|แผนที่อำเภอในจังหวัดยโสธร]]
 
การปกครองแบ่งออกเป็น 9 [[อำเภอ]] 78 [[ตำบล]] 835 [[หมู่บ้าน]]
{|
|- -- valign=top
||
# [[อำเภอเมืองยโสธร]]
# [[อำเภอเลิงนกทา]]
# [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]]
# [[อำเภอกุดชุม]]
# [[อำเภอมหาชนะชัย]]
# [[อำเภอป่าติ้ว]]
# [[อำเภอทรายมูล]]
# [[อำเภอค้อวัง]]
# [[อำเภอไทยเจริญ]]
|}
 
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 88 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 [[องค์การบริหารส่วนจังหวัด]], 1 [[เทศบาลเมือง]], 22 [[เทศบาลตำบล]] และ 64 [[องค์การบริหารส่วนตำบล]] มีรายชื่อดังนี้
{{บน}}
'''อำเภอเมืองยโสธร'''
* '''[[เทศบาลเมืองยโสธร]]'''
* [[เทศบาลตำบลตาดทอง]]
* [[เทศบาลตำบลเดิด]]
* [[เทศบาลตำบลทุ่งแต้]]
* [[เทศบาลตำบลน้ำคำใหญ่]]
* [[เทศบาลตำบลสำราญ]]
 
'''อำเภอทรายมูล'''
* [[เทศบาลตำบลทรายมูล]]
* [[เทศบาลตำบลนาเวียง]]
 
'''อำเภอกุดชุม'''
* [[เทศบาลตำบลกุดชุมพัฒนา]]
 
'''อำเภอคำเขื่อนแก้ว'''
* [[เทศบาลตำบลคำเขื่อนแก้ว]]
* [[เทศบาลตำบลดงแคนใหญ่]]
 
'''อำเภอป่าติ้ว'''
* [[เทศบาลตำบลป่าติ้ว]]
 
{{กลาง}}
 
'''อำเภอมหาชนะชัย'''
* [[เทศบาลตำบลฟ้าหยาด]]
 
'''อำเภอค้อวัง'''
* [[เทศบาลตำบลค้อวัง]]
 
'''อำเภอเลิงนกทา'''
* [[เทศบาลตำบลเลิงนกทา]]
* [[เทศบาลตำบลสามแยก]]
* [[เทศบาลตำบลบุ่งค้า]]
* [[เทศบาลตำบลห้องแซง]]
* [[เทศบาลตำบลสามัคคี]]
* [[เทศบาลตำบลศรีแก้ว]]
* [[เทศบาลตำบลกุดเชียงหมี]]
* [[เทศบาลตำบลสวาท]]
* [[เทศบาลตำบลกุดแห่]]
 
'''อำเภอไทยเจริญ'''
* [[เทศบาลตำบลคำเตย]]
{{ล่าง}}
 
== ประชากร ==
เส้น 333 ⟶ 310:
=== การศึกษา ===
{{บทความหลัก|รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดยโสธร}}
การศึกษาระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 2 สังกัด ได้แก่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 และสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร ส่วนระดับประถมศึกษา ได้แก่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เขตพื้นที่การศึกษา และสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาด้วย
==== ระดับมัธยมศึกษา ====
แบ่งเป็น 2 สังกัด ได้แก่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 และสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร
 
==== ระดับประถมศึกษา ====
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เขตพื้นที่การศึกษา ดังนี้
* เขต 1 [[อำเภอเมืองยโสธร]] [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]] [[อำเภอมหาชนะชัย]] และ[[อำเภอค้อวัง]] มีจำนวน 192 โรงเรียน
* เขต 2 [[อำเภอกุดชุม]] [[อำเภอเลิงนกทา]] [[อำเภอป่าติ้ว]] [[อำเภอทรายมูล]] และ[[อำเภอไทยเจริญ]] มีจำนวน 185 โรงเรียน 2 สาขา
และสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาด้วย
 
==== ระดับอาชีวศึกษา ====
* สถาบันอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 [[วิทยาลัยเทคนิคยโสธร]]
 
สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัด มีแห่งเดียว ได้แก่ [[มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย]] วิทยาลัยศาสนศาสตร์ยโสธร และในอนาคต มีโครงการศึกษาเพื่อพิจารณาจัดตั้ง[[มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม]] วิทยาเขตยโสธร
==== ระดับอุดมศึกษา ====
การศึกษาในระดับอุดมศึกษาในจังหวัดยโสธร มี 1 แห่ง ได้แก่ [[มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย]] วิทยาลัยศาสนศาสตร์ยโสธร และในอนาคตมีโครงการศึกษาเพื่อพิจารณาจัดตั้ง[[มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม]] วิทยาเขตยโสธร
 
== เศรษฐกิจ ==
เส้น 355 ⟶ 321:
จังหวัดยโสธรมีสำนักงานประปาภูมิภาค 4 แห่ง ได้แก่ สาขายโสธร, สาขามหาชนะชัย, สาขาเลิงนกทา และสาขาอำนาจเจริญ (หน่วยบริการป่าติ้ว) ซึ่งทั้ง 4 สาขาให้บริการในเขตเทศบาลและบริเวณใกล้เคียงในชุมชน 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร  อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา  อำเภอมหาชนะชัย อำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอป่าติ้ว ส่วนอำเภอที่เหลือใช้บริการประปาของเทศบาลตำบลหรือใช้ระบบปั๊มน้ำบาดาลสำหรับในเขตชนบท แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตประปาส่วนใหญ่มาจาก[[แม่น้ำชี]]และลำเซบาย
 
=== การคมนาคมขนส่ง ===
จังหวัดยโสธรอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 532 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางสู่จังหวัดยโสธรได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง ภายในตัวเมืองยโสธร มีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่าง ๆ โดยมีให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร นอกจากนี้ยังมีรถสองแถวไปยังอำเภอต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคิวรถจะอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัด
==== ทางบก ====
* การเดินทางจากกรุงเทพมหานครมายังจังหวัดยโสธร สามารถเดินทางมาได้ 2 เส้นทาง คือ
** '''เส้นทางที่ 1''' [[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1]] (ถนนพหลโยธิน) ผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]] [[จังหวัดสระบุรี]] เลี้ยวซ้ายเข้าสู่[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2]] ผ่าน[[อำเภอปากช่อง]] [[อำเภอสีคิ้ว]] [[อำเภอสูงเนิน]] [[อำเภอเมืองนครราชสีมา]] [[อำเภอโนนสูง]] [[อำเภอโนนแดง]] [[อำเภอประทาย]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] และเลี้ยวขวาเข้าสู่[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 202]](ถนนอรุณประเสริฐ) ผ่าน[[อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์]] [[อำเภอพุทไธสง]] [[จังหวัดบุรีรัมย์]] [[อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย]] [[จังหวัดมหาสารคาม]] [[อำเภอเกษตรวิสัย]] [[อำเภอสุวรรณภูมิ]] [[จังหวัดร้อยเอ็ด]] และเข้าสู่[[อำเภอเมืองยโสธร]] รวมระยะทาง 530 กิโลเมตร
** '''เส้นทางที่ 2''' [[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1]] (ถนนพหลโยธิน) ผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]] [[จังหวัดสระบุรี]] เลี้ยวซ้ายเข้าสู่[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2]] ผ่าน[[อำเภอปากช่อง]] [[อำเภอสีคิ้ว]] [[อำเภอสูงเนิน]] [[อำเภอสูงเนิน]] [[อำเภอเมืองนครราชสีมา]] [[อำเภอโนนสูง]] [[อำเภอสีดา]] [[อำเภอบัวลาย]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] [[อำเภอพล]] [[อำเภอโนนศิลา]] [[อำเภอบ้านไผ่]] เลี้ยวขวาเข้าสู่[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23]] ผ่าน[[อำเภอกุดรัง]] [[อำเภอบรบือ]] [[อำเภอเมืองมหาสารคาม]] [[จังหวัดมหาสารคาม]] [[อำเภอเมืองร้อยเอ็ด]] [[อำเภอธวัชบุรี]] [[อำเภอเสลภูมิ]] [[จังหวัดร้อยเอ็ด]] เข้าสู่[[อำเภอเมืองยโสธร]] รวมระยะทาง 578 กิโลเมตร
 
จังหวัดยโสธรไม่มีเส้นทางรถไฟและท่าอากาศยาน ดังนั้นการขนส่งทางรางและทางอากาศ ต้องมาลงที่จังหวัดอื่นแล้วจึงต่อรถโดยสารเข้าไป การขนส่งทางรางนั้น มีรถไฟให้บริการมายัง[[สถานีรถไฟอุบลราชธานี]] [[อำเภอวารินชำราบ]] จังหวัดอุบลราชธานี แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้ปรับอากาศมายังจังหวัดยโสธร ในอนาคตมีโครงการก่อสร้าง[[ทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม|ทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม]] ซึ่งจะผ่านบริเวณพื้นที่อำเภอเลิงนกทา
* การเดินทางภายในจังหวัดยโสธร มีรถโดยสารประจำทาง รถตู้ หรือรถสองแถวประจำทางไปยังอำเภอต่าง ๆ โดยมีให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคิวรถจะอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัด และบริเวณหน้า[[โรงพยาบาลยโสธร]]
 
ส่วนการขนส่งทางอากาศ มีเครื่องบินให้บริการมายัง[[ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี]] แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้เช่นเดียวกัน ในอนาคตมีการพัฒนา[[สนามบินเลิงนกทา]]ในตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์
==== ทางอากาศ ====
จังหวัดยโสธรในปัจจุบันไม่มีท่าอากาศยาน ดังนั้นจึงต้องเดินทางโดยเครื่องบินมาลงที่[[ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี]] [[จังหวัดอุบลราชธานี]] แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้ปรับอากาศมายังจังหวัดยโสธร ระยะทาง 100 กโลเมตร หรือมาลงที่[[ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด]] [[อำเภอธวัชบุรี]] [[จังหวัดร้อยเอ็ด]] ระยะทาง 62 กิโลเมตร และหากภาครัฐ และภาคเอกชน โดยการนำของ[[กรมการบินพลเรือน]] เข้ามาพัฒนา[[สนามบินเลิงนกทา]] ในพื้นที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา ให้เป็นท่าอากาศยานยโสธร เพื่อประชาชนชาวจังหวัดยโสธร จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานีตอนบน ได้ร่วมกันใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด โดยมีระยะทางมาตัวจังหวัดยโสธร รวมระยะทาง 76 กิโลเมตร
 
== วัฒนธรรม ==
==== ทางราง====
จังหวัดยโสธรในปัจจุบันไม่มีเส้นทางรถไฟตัดผ่าน ดังนั้นจึงต้องเดินทางมาลงที่[[สถานีรถไฟอุบลราชธานี]] [[อำเภอวารินชำราบ]] จังหวัดอุบลราชธานี แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้ปรับอากาศมายังจังหวัดยโสธร ระยะทาง 106 กโลเมตร ในอนาคตมีโครงการก่อสร้าง'''[[ทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม|ทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-ยโสธร-มุกดาหาร-นครพนม]]''' ซึ่งจะตัดผ่านบริเวณพื้นที่ตำบลห้องแซง ตำบลกุดเชียงหมี และตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา และโครงการก่อสร้าง'''[[ทางรถไฟสายศรีสะเกษ-ร้อยเอ็ด|ทางรถไฟสายศรีสะเกษ-ยโสธร-ร้อยเอ็ด]]''' ซึ่งจะตัดผ่านบริเวณพื้นที่อำเภอค้อวัง อำเภอมหาชนะชัย อำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอเมืองยโสธร
 
== สถานที่สำคัญ และสถานที่ท่องเที่ยว ==
=== [[อำเภอเมืองยโสธร]] ===
* [[วิมานพญาแถน]]
* [[สวนสาธารณะพญาแถน]]
* หาดบุ่งเมย
* โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหนองอึ่ง
* [[ธาตุก่องข้าวน้อย]]
* [[วัดมหาธาตุ]]
* [[วัดศรีธรรมาราม]]
* วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ
* วัดสิงห์ท่า
* วัดอัมพวัน
* วัดป่าศิลาพร
* วัดป่าบ้านหนองแสง
* วัดป่าหนองไคร้
* วัดป่าศิลาอาสน์
* ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า
 
=== [[อำเภอเลิงนกทา]] ===
[[ไฟล์:อุทยานแห่งชาติ ภูสระดอกบัว.jpg|thumb|อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว]]
* [[อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว]]
* ภูถ้ำพระ
* อ่างเก็บน้ำห้วยลิงโจน
* อ่างเก็บน้ำห้วยสะแบก
* โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอ่างเก็บน้ำห้วยโพงตอนบน
* ห้วยหินลาด
* วัดพรหมวิหาร
* วัดป่าวังน้ำทิพย์
* พุทธอุทยานภูสูง
* หมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทบ้านห้องแซง , บ้านกุดแข้ด่อน และบ้านโคกก่อง
 
=== [[อำเภอคำเขื่อนแก้ว]] ===
* ป่าทามลำเซบาย
* [[พระธาตุกู่จาน]]
* [[ดงเมืองเตย]]
 
=== [[อำเภอกุดชุม]] ===
* ภูหินปูน
* ภูทางเกวียน
* น้ำตกนางนอน
* วัดประชาชุมพล
 
=== [[อำเภอมหาชนะชัย]] ===
* สวนรุกขชาติน้อมเกล้า
* ทุ่งบัวแดง
* [[วัดพระพุทธบาทยโสธร]]
* วัดศรีวีรวงศาราม
 
=== [[อำเภอป่าติ้ว]] ===
* หมู่บ้านทำหมอนขิด[[บ้านศรีฐาน]]
* วัดศรีฐานใน
* วัดป่านิคมพัฒนาราม
 
=== [[อำเภอทรายมูล]] ===
* ป่าสงวนแห่งชาติดงมะไฟ
* วัดวรลาภูปถัมภ์
* วัดดู่ลาด (วัดล้านขวด)
* วัดพระธาตุฝุ่น
 
=== [[อำเภอค้อวัง]] ===
* อ่างเก็บน้ำห้วยพระบาง
* โบราณสถานดอนธาตุ
 
=== [[อำเภอไทยเจริญ]] ===
* โบสถ์ไม้ใหญ่ [[วัดอัครเทวดามีคาแอล ซ่งแย้]]
* วัดเทวัญคีรี (ภูกลอย)
 
[[ไฟล์:พระธรรมธัชมุนี.jpg|thumb|[[พระธรรมธัชมุนี (อมร ญาโณทโย)]] กรรมการ[[มหาเถรสมาคม]]|alt=]]
== บุคคลที่มีชื่อเสียง ==
ชาวจังหวัดยโสธรล้วนแต่เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ความวิริยะอุตสาหะ ความอดทน ตลอดจนใฝ่เรียนรู้ มุ่งพัฒนาตนให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด กระทำคุณงามความดี และบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมเสมอมา จนสามารถสร้างมีชื่อเสียงเชิดชูตนเอง ครอบครัว และจังหวัดของตนแบ่งได้แต่ละสาขา ดังนี้
;พระภิกษุสงฆ์
* [[พระธรรมธัชมุนี (อมร ญาโณทโย)]]
* [[พระเทพปัญญามุนี (เฉย ยโส)]]
* [[พระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินทริโย)]]
* [[พระเทพมงคลญาณ วิ. (สนธิ์ อนาลโย)]]
* [[พระราชมุนี (โฮม โสภโณ)]]
* [[พระอาจารย์ดี ฉนฺโน]]
* [[หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส]]
* [[พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร]]
* [[หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ]]
* [[หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต]]
* [[หลวงปู่เพียร วิริโย]]
* [[หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร]]
* [[หลวงปู่แสง จันทะโชโต]]
* [[หลวงตาสรวง สิริปุญโญ]]
* [[หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม]]
* [[พระอาจารย์อุทัย สิริธโร]]
 
;นักปกครอง
* [[พระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช]]
* [[พระสุนทรราชวงศา]]
* [[เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)]]
* [[พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต)]]
* [[พระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา ณ หนองคาย)]]
* [[พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิตตยะโสธร)]]
* [[เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์]]
* [[วัฒนา พุฒิชาติ]] ผู้ว่าราชการ[[จังหวัดอุดรธานี]]
 
[[ไฟล์:คำพูน บุญทวี.jpg|thumb|คำพูน บุญทวี|alt=]]
;นักปราชญ์ นักวรรณกรรม นักเขียน
* [[คำพูน บุญทวี]] ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2544
* [[คำปุน ศรีใส]] ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ทอผ้า) พ.ศ. 2561
* [[บำเพ็ญ ณ อุบล]]
* [[สุพรรณ ชื่นชม]]
 
;นักแสดง และนักร้อง
* [[รณ ฤทธิชัย]]
* [[หม่ำ จ๊กมก|เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา]]
* [[บุญช่วง ดาเหลา]]
* [[มนต์แคน แก่นคูน]]
* [[ไผ่ พงศธร]]
* [[ดาว บ้านดอน]]
* [[ยาว ลูกหยี]]
* [[ระพินทร์ พุฒิชาติ]]
 
== เทศกาล และงานประเพณี ==
[[ไฟล์:2013 Yasothon Rocket Festival 05.jpg|thumb|ประเพณีบุญบั้งไฟ]]
จังหวัดยโสธรมีเทศกาลและงานประเพณีอันเป็นที่รู้จัก นั่นคือ [[ประเพณีบุญบั้งไฟ]] ซึ่งแต่เดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสดงออกถึงความสามัคคีของหมู่คณะ และมีความเชื่อว่าเมื่อจัดงานนี้แล้วเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะดลบันดาลให้มีฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ โดยงานประเพณีนี้จัดขึ้นในวันเสาร์และวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ที่สวนสาธารณะพญาแถน
เส้น 509 ⟶ 353:
* [https://esan108.com/tag/%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3 จังหวัดยโสธร - อีสานร้อยแปด]
{{geolinks-city|15.79|104.15}}
 
{{Geographic location
|Centre = [[จังหวัดยโสธร]]
|North = [[จังหวัดมุกดาหาร]]
|East = [[จังหวัดอำนาจเจริญ]]
|Southeast = [[จังหวัดอุบลราชธานี]]
|South = [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
|West = [[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
|Northwest = [[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
}}
 
{{จังหวัด/ยโสธร}}