ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรพรรดิญี่ปุ่น"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 65:
เดิมเชื่อกันจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองว่า จักรพรรดิญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก<ref>{{cite news |last= |first= |date=3 May 1989 |title=Legacy of Hirohito |work=The Times }}</ref> กฎหมายพระราชทรัพย์ (Imperial Property Law) ที่มีผลใช้บังคับในเดือนมกราคม ค.ศ. 1911 แยกพระราชทรัพย์ของจักรพรรดิออกเป็นสองประเภท คือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (crown estate) กับทรัพย์สินส่วนพระองค์ (personal property) และให้เสนาบดีกระทรวงวัง (Imperial Household Minister) รับผิดชอบคดีความเกี่ยวกับพระราชทรัพย์ กฎหมายดังกล่าวยังให้เก็บภาษีจากพระราชทรัพย์ได้ตราบที่ไม่มีบทบัญญัติว่าไว้เป็นอื่น และให้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ออกใช้เพื่อกิจการสาธารณะหรือกิจการที่ได้รับพระราชานุญาตได้ ส่วนพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์ เช่น จักรพรรดินีม่าย, จักรพรรดินี, มกุฏราชกุมาร, มกุฏราชกุมารี, ราชนัดดา, และคู่ครองของราชนัดดา ได้รับการยกเว้นภาษี<ref name="court_wealth">{{cite book |chapter=Japan – The Imperial Court |title=The Japan-Manchoukuo Year Book |editor1-last= |editor1-first= |publisher=The Japan-Manchoukuo Year Book Co. |publication-date=1938 |pages=50–51 }}</ref> ดังนั้น เมื่อประสบปัญหาทางการเงินใน ค.ศ. 1921 ราชวงศ์จึงขายที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ 289,259.25 เอเคอร์ (ร้อยละ 26 ของทั้งหมด) ไปให้เอกชน หรือโอนให้รัฐบาล ต่อมาใน ค.ศ. 1930 ยังบริจาค[[ปราสาทนาโงยะ]]ให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมขายและบริจาคพระตำหนักอีกหกหลังออกไปจากความครอบครองของราชวงศ์<ref name="court_wealth"/> ครั้น ค.ศ. 1939 มีการบริจาค[[ปราสาทนิโจ]] ที่พำนักเก่าของโชกุน[[ตระกูลโทกูงาวะ]]ในเคียวโตะ ให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเช่นกัน
 
ปลาย ค.ศ. 1935 รัฐบาลคำนวณว่า ที่ดินในกรรมสิทธิ์ของราชสำนักถือมีราว 3,111,965 เอเคอร์ โดย 2,599,548 เอเคอร์เป็นที่ดินส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ และราว 512,161 เอเคอร์เป็นที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ดินทำนองนี้ประกอบด้วย หมู่พระราชวัง, ป่า, ไร่, และสถานที่ใช้ประทับหรือใช้เพื่อการพาณิชย์ จึงประเมินมูลค่าพระราชทรัพย์ประเภทที่ดินทั้งหมดไว้ที่ 650 ล้านเยน (195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)<ref name="worth" group="note">Roughly US$19.9&nbsp;billion in 2017, in terms of economic status value (https://www.measuringworth.com/calculators/uscompare/)</ref><ref name="court_wealth"/><ref>pp. 332–333, "Exchange and Interest Rates", ''Japan Year Book 1938–1939'', Kenkyusha Press, Foreign Association of Japan, Tokyo</ref> ส่วนทรัพย์สินส่วนพระองค์ในรูปมรดก, เครื่องเรือน, ปศุสัตว์สายพันธุ์แท้, และการลงทุนในหน่วยงานใหญ่ เช่น ธนาคารแห่งญี่ปุ่น, บรรษัท[[Imperial Hotel (company)|โรงแรมหลวง]], และบรรษัท[[นิปปงยูเซ็ง]] มีมูลค่ารวมหลายร้อยล้านเยน<ref name="court_wealth"/>
 
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เกิดการปฏิรูปรัฐธรรมนูญซึ่งบีบให้ราชวงศ์ขายสินทรัพย์ให้แก่เอกชนหรือรัฐบาล เจ้าหน้าที่ในราชสำนักก็ตัดจำนวนลงจากราว 6,000 คนเป็นประมาณ 1,000 คน ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งประเมินไว้ที่ 17.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็โอนไปยังเอกชนหรือรัฐฐาล เหลือไว้แต่ที่ดินเพียง 6,810 เอเคอร์ ส่วนค่าใช้จ่ายของราชวงศ์นั้น รัฐบาลจะอนุมัติงบสนับสนุนเป็นรายปี<ref>{{cite news |last=Reed |first=Christopher |date=5 October 1971 |title=Few personal possessions for reigning monarch |work=The Times }}</ref>