ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สักกะ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ชาวไทย (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มเนื้อหา
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
บรรทัด 7:
 
==ที่มาของศากยะวงศ์และโกลียะวงศ์==
ต้นตระกูลของวงศ์ศากยะ คือ พระเจ้าโอกกากะ กษัตริย์ผู้ทรงมีพระยศใหญ่ผู้สืบเชื้อสายมาจากต้นปฐมกษัตริย์แห่งศากยะ ซึ่งกล่าวไว้ว่าสืบต่อสัตติวงศ์เป็นปฐมตามลำดับมาถึง ๑๑ พระองค์ แล้วแตกขยายวงศ์ออกไปอีกถึง ๔๘,๐๐๐ พระองค์ เรียงลำดับมาถึงพระเจ้าโอกกากะที่ ๓ จึงทรงมีพระราชโอรสและธิดารวมกัน ๙ พระองค์ ซึ่งโอรสและธิดาทั้ง ๙ พระองค์มาจากพระมารดาองค์ใหญ่ โดยเมื่อพระมเหษีองค์ใหญ่เสด็จสวรรคต จึงได้เกิดแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าโอกากราชที่ ๓ จึงได้ตัดสินพระทัยยกราชสมบัติทั้งหมดนั้นให้แก่พระโอรสของพระมเหษีองค์ใหม่ ส่วนโอรสธิดาทั้ง ๙ พระองค์นั้นก็ให้เสด็จออกจากเมืองไปตั้งพระนครแห่งใหม่ที่กลางป่าสักกะ ซึ่งบริเวณป่าสักกะนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีฤๅษีกบิล หรือกบิลฤาษีฤๅษี โดยการตั้งนครแห่งใหม่นี้ได้ถูกขนานนามว่า “กบิลพัสดุ์” ตามชื่อของกบิลฤาษีฤๅษีนั้น และโดยธรรมเนียมโบราณนั้นการสมรสนอกราชตระกูลไม่เป็นประเพณีนิยมทั้งนี้เพื่อการรักษาความบริสุทธิ์แห่งสายโลหิต ดังนั้น พระโอรสและพระธิดาจึงได้อภิเษกซึ่งกันและกันจำนวน ๔ คู่ คือ ๘ ท่าน ระหว่างชายกับหญิง พี่กับน้อง ยังเหลือพระธิดาองค์โตที่ต่อมาภายหลังได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าพาราณสีแล้วตั้งเมืองใหม่ขึ้นคือเมือง “เทวทหะ” แล้วโอรสธิดาของทั้งสองเมืองคือ กบิลพัสดุ์ และ เทวทหะ จึงได้อภิเษกสมรสกันนับแต่นั้น
 
==ราชสกุลของพระพุทธองค์==
บรรทัด 16:
==หายนะและการล่มสลายของศากยะวงศ์==
พระเจ้าปเสนทิ พระราชาแห่งแคว้นโกศล มีความนับถือศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ต้องการจะผูกสัมพันธ์เป็นญาติกับพระพุทธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง จึงต้องการเจ้าหญิงสักคนจากศากยวงศ์มาอภิเษกสมรส เมื่อแจ้งความประสงค์นี้ไปทางศากยวงศ์ ก็ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหญิงในศากยวงศ์เหลืออีก เพราะแต่งงานและออกบวชเกือบทั้งสิ้น เหลือเพียงเจ้าหญิงวาสภขัตติยา ซึ่งเป็นพระราชธิดา ของเจ้าชายมหานามะซึ่งเป็นโอรส ของพระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ (พระมาตุลาของพระพุทธองค์ ) แต่ว่า เจ้าหญิงวาสภขัตติยานี้ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของเจ้าชายมหานามะ มีมารดาเป็นทาสซึ่งไม่ใช่วรรณะกษัตริย์ ดังนั้นเจ้าหญิงวาสภขัตติยา จึงเป็นวรรณะจัณฑาล
ทางศากยวงศ์ ในเมื่อไม่อาจจะหาเจ้าหญิงอื่นๆได้ จึงนํานำเจ้าหญิงวาสภขัตติยาส่งไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
เจ้าหญิงวาสภขัตติยา เมื่อไปเป็นพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิแล้ว ทรงให้กำเนิดพระโอรส ทรงพระนามว่าเจ้าชายวิฑูทภะ
ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะ เติบใหญ่เป็นวัยรุ่น ก็คิดถึงญาติๆที่เป็นศากยวงศ์ จึงเสด็จไปเยี่ยมญาติที่กรุงกบิลพัศดุ์ ตอนกลับออกมาลืมสิ่งของบางอย่างไว้ จึงรับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งกลับไปเพื่อเอาของที่ลืมนั้น ตอนที่อำมาตย์กลับไป ก็เห็นพวกคนใช้กำลังเอาน้ำนมล้างทำความสะอาดบริเวณนั้น พร้อมกับบ่นว่า เพราะคนจัณฑาลเข้ามาในบริเวณนี้ ทำให้พวกเราต้องเหนื่อยเอาน้ำนมมาล้าง อำมาตย์นั่นก็แกล้งถามว่าใครคือคนจัณฑาลที่เข้ามา พวกคนใช้ที่กำลังเช็ดถูอยู่นั่น ก็ตอบว่า ก็เจ้าชายวิฑูทภะนั่นไง เป็นคนจัณฑาล เพราะมีแม่เป็นทาส ..อำมาตย์นั่นกลับมาจึงเอาเรื่องนี้มาทูลเล่าให้เจ้าชายวิฑูทภะฟัง เจ้าชายจึงเกิดความโกรธแค้นต่อศากยวงศ์อย่างสุดๆ ที่ถูกเหยียดหยามอย่างสุดๆครั้งนี้ ..ตั้งใจไว้ว่า เมื่อได้เป็นกษัตริย์เมื่อใด จะยกกองทัพมาทำลายศากยวงศ์ให้สิ้นซาก เมื่อเจ้าชายวิฑูทภะกลับมา ก็กราบทูลเรื่องนี้ต่อพระราชบิดา คือพระเจ้าปเสนทิ เมื่อพระเจ้าปเสนทิรับทราบเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร แต่มีข้อสงสัยข้องใจอยู่บ้าง จึงไปกราบทูลถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงตอบว่า เรื่องการนับเชื้อสายของบุตรธิดา เขาถือว่าทางฝ่ายบิดาเป็นใหญ่มาแต่โบราณ ดังนั้น เจ้าชายวิฑูทภะ ก็ยังถือว่าเป็นเชื้อสายกษัตริย์ นั่นแหละ ไม่ใช่จัณฑาล พระเจ้าปเสนทิ ก็ทรงหายข้องใจ แต่ในใจของพระเจ้าวิฑูทภะไม่หาย ยังคงเก็บความแค้นไว้เท่าเดิม
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/สักกะ"