ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เน่ย์เก๋อ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
'''สภาศาลาใน''' ({{zh|t=內閣|p=Nèigé}}; {{lang-en|Grand Secretariat}}) เป็นองค์กรในระบบราชการของ[[จักรวรรดิจีน]]ช่วง[[ราชวงศ์หมิง]] ซึ่งโดยนิตินัยแล้วเป็นหน่วยประสานงาน แต่โดยพฤตินัยเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง องค์กรนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อ[[จักรพรรดิหงอู่]] (洪武帝) ทรงยกเลิกตำแหน่ง[[อัครมหาเสนาบดี (ประเทศจีน)|อัครมหาเสนาบดี]] (丞相) ใน ค.ศ. 1380 แล้วองค์กรนี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นหน่วยประสานงานที่มีประสิทธิภาพ มีสถานะเหนือ[[สามกรมหกกระทรวง|หกกระทรวงทั้งหก]] (六部)<ref>Hucker, 23.</ref> สมาชิกสภาศาลาในเรียกว่า '''ปราชญ์มหาสำนักสภาศาลาใน''' (內閣大學士; Grand Secretary) ซึ่งกำหนดให้มีหกตำแหน่ง แต่ไม่เคยมีผู้ดำรงตำแหน่งครบ<ref name="H29">Hucker, 29.</ref> สมาชิกอาวุโสสุดเรียกกันทั่วไปว่า '''นายกประธานผู้ช่วย''' (首輔; Senior Grand Secretary) โดยนิตินัยแล้วสมาชิกทั้งหมดมักเป็นข้าราชการชั้นกลาง ตำแหน่งต่ำกว่าเสนาบดีหรือเจ้ากระทรวง แต่เพราะมีหน้าที่กลั่นกรองเอกสารที่หน่วยงานราชการถวายต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งมีอำนาจร่างราชหัตถเลขาถวาย สมาชิกบางคนของสภาศาลาในจึงอาจครอบงำการปกครองไว้ได้ทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีโดยพฤตินัย<ref>Qian, 675.</ref> เป็นเหตุให้ศัพท์ภาษาจีนว่า "เนี่ยเก๋อ" ที่แปลว่า "สภาศาลาใน" นี้ ปัจจุบันใช้เรียก[[คณะรัฐมนตรี]]
 
==พัฒนาการ==
บรรทัด 5:
ต้นราชวงศ์หมิง การปกครองนั้นใช้ตามระบอบของ[[ราชวงศ์หยวน|ราชวงศ์ยฺเหวียน]] (大元) ที่ตั้งสำนักอัครมหาเสนาบดีไว้ประสานระหว่างกระทรวงหลักทั้งหก สำนักดังกล่าวมีหัวหน้าสองคน เรียกว่า "อัครมหาเสนาบดีทั้งสอง" คนหนึ่งเรียก "ฝ่ายซ้าย" อีกคนหนึ่งเรียก "ฝ่ายขวา" ทำหน้าที่ผู้นำหน่วยงานราชการทั่วแผ่นดิน<ref>Hucker, 27.</ref> แต่จักรพรรดิหงอู่ทรงเกรงว่า การที่อำนาจการปกครองกระจุกอยู่ ณ อัครมหาเสนาบดีทั้งสอง จะเป็นภัยร้ายแรงต่อราชบัลลังก์ ฉะนั้น ใน ค.ศ. 1380 จึงรับสั่งให้ประหารอัครมหาเสนาบดี[[หู เหวย์ยง]] (胡惟庸) ด้วยข้อหากบฏ แล้วทรงยุบสำนักกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี โดยให้เจ้ากระทรวงทั้งหกขึ้นตรงต่อพระองค์<ref>Qian, 669-670.</ref>
 
แต่เพราะทรงต้องอาศัยความช่วยเหลือในทางธุรการ ใน ค.ศ. 1382 จักรพรรดิหงอู่จึงทรงเลือกราชบัณฑิตจาก[[สำนักฮั่นหลิน]] (翰林院; สำนักป่าพู่กัน) มาเป็น "ปราชญ์มหาสำนักสภาศาลาใน" เพื่อถวายความช่วยเหลือในงานด้านเอกสาร<ref name="H29"/> โดยทรงส่งปราชญ์ไปประจำหน้าที่ยังสำนักงานต่าง ๆ ภายในพระราชวัง สำนักงานดังกล่าวจึงเรียกรวมกันว่า "สภาศาลาใน" อันเป็นนามเรียกขานมาแต่รัชสมัย[[จักรพรรดิหย่งเล่อ]] (永樂帝)<ref>Qian, 671.</ref>
 
นับแต่รัชกาล[[จักรพรรดิเซฺวียนเต๋อ]] (宣德帝) เป็นต้นมา สภาศาลาในเริ่มมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้น ในช่วงนี้ ฎีกาทั้งหลายที่กระทรวงทบวงกรมถวายต่อพระมหากษัตริย์จะต้องผ่านสภาศาลาในก่อน เมื่อได้ฎีกาแล้ว สภาศาลาในจะกลั่นกรอง แล้วลงมติตามสมควร ก่อนจะร่างมติหมายรับสั่งติดหน้าปกฎีกา แล้วถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงวินิจฉัยเป็นขั้นตอนสุดท้าย กระบวนการนี้เรียกว่า "[[เพี่ยวหนี่ร่างหมาย]]" (票擬; ร่างบัตร) ซึ่งทำให้สภาศาลาในกลายเป็นสถาบันชั้นสูงสุดในการจัดทำนโยบายเหนือกระทรวงทั้งหกไปโดยปริยาย ทั้งส่งผลให้สมาชิกอาวุโสของสภาศาลา ที่เรียก "นายกประธานผู้ช่วย" มีอำนาจเสมอเหมือนอัครมหาเสนาบดีแต่เก่าก่อน<ref>Li, 108-109.</ref>
 
==ตำแหน่ง==
บรรทัด 13:
ในราชวงศ์หมิง ข้าราชการพลเรือนแบ่งเป็นเก้าชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นสองขั้น สูงสุด คือ ชั้น 1 ขั้น 1 ต่ำสุด คือ ชั้น 9 ขั้น 2<ref>Hucker, 11.</ref> เช่น ขุนนางในกลุ่ม[[สามพระยา]] (三公) อยู่ชั้น 1 ขั้น 1<ref>Hucker, p. 17.</ref> ซึ่งเท่าเทียมอัครมหาเสนาบดี<ref>Hucker, p. 32.</ref>
 
ตามระบบนี้ สมาชิกสภาศาลาในอยู่เพียงชั้น 5 ขั้น 1 ซึ่งนับว่าด้อยกว่าเสนาบดีที่ภายหลังยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้วมียศอยู่ตั้งแต่ชั้น 3 ขั้น 1 ไปจนถึงชั้น 2 ขั้น 1 ทว่า สมาชิกสภาศาลาในมักควบตำแหน่งสูงอย่างอื่นด้วย เช่น เป็นเสนาบดีหรือรองเสนาบดีในกลุ่ม[[เก้าขุนนาง]] (九卿) หรือแม้กระทั่งเป็น[[ราชครู]] (太師) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามพระยา<ref name="H30">Hucker, 30.</ref> เพราะฉะนั้น ตลอดสมัยราชวงศ์หมิง สมาชิกสภาศาลาในจึงมักมีอาวุโสยิ่งกว่าข้าราชการพลเรือนอื่นทั้งสิ้นทั้งปวง<ref name="H30"/>
 
==ดูเพิ่ม==