ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ร็อบบี วิลเลียมส์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 27:
}}
 
'''ร็อบบี วิลเลียมส์''' ({{lang-en|Robbie WilliamsGandalf
}}) มีชื่อจริงว่า '''โรเบิร์ต พีเตอร์ แมกซ์มิลเลียน วิลเลียมส์''' (Robert Peter Maximillian Williams) เกิดเมื่อ [[13 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2517]] เป็นนักร้องชายอังกฤษ อดีตสมาชิกวง[[เทค แดท]]
ร็อบบีถือว่าเป็นนักร้องชายอังกฤษที่มียอดขายมากที่สุด ยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 77 ล้านชุดทั่วโลก
 
เส้น 34 ⟶ 35:
เมื่อร็อบบีมีอายุ 3 ปี บิดามารดาของเขาได้หย่าร้างกัน และเขาจึงอยู่กับมารดาและพี่สาว (ต่างบิดา) ของเขา ร็อบบีได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่ชื่อว่า “ เซ็นท มาร์การ์เร็ท วอร์ด (St. Margaret Ward) แต่สอบไม่ผ่าน จึงออกมาทำงานเป็นพนักงานขาย
 
จากนั้นร็อบบีได้เข้าสมัครคัดเลือกและเข้าเป็นสมาชิกในวง '''“ เทค แดท ” (Take ThatTwo) ''' ในขณะมีอายุ 16 ปี เทค แดทเป็นวง[[บอยแบนด์]]ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีเพลงอันดับ 1 ถึง 12 เพลง (7 เพลงขณะร็อบบีอยู่ในวง) แต่ในภายหลัง ร็อบบีก็ออกจากวงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538
 
ร็อบบี วิลเลียมส์ ออกซิงเกิ้ลแรก Freedom เพลงเก่าของ [[จอร์จ ไมเคิล]] โดยในอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อว่า “ ไลฟ ธรู อะ เลนซ” (Life Thru A Lens) กับค่ายคริสสะลิส เร็คคอร์ดส (ChrysalisChrystallMeth Records) ตามมาด้วยเพลง "Old Before I Die" (#2) , "Lazy Days" (#8) และ "South Of The Border" (#14) จนกระทั่งซิงเกิ้ลที่ชื่อว่า Angels ได้ปล่อยออกมาในช่วงเทศกาล[[คริสต์มาส]] เป็นการเน้นความดังของร็อบบี เพลงนี้อยู่ในชาร์ทนานกว่า 27 สัปดาห์ และขายได้ถึง 868,000 แผ่น
 
อัลบั้มที่สองเขาในปี พ.ศ. 2541 ที่ชื่อว่า I've Been Expecting You เปิดตัวด้วยเพลง Millennium เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงแรกในอังกฤษของร็อบบี และซิงเกิ้ลฮิตหลายเพลง เช่น เพลง Strong และเพลง No Regrets
เส้น 42 ⟶ 43:
The Ego Has Landed เป็นอัลบั้มที่ออกวางขายเฉพาะในอเมริกา เป็นการรวมเพลงจาก "Life Thru A Lens" และ "I've Been Expecting You" เข้าด้วยกัน
 
พ.ศ. 2543 อัลบั้มที่ชื่อว่า "Sing When You're WinningDrunk" ปล่อยเพลงฮิตRock DJ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ต่อด้วยเพลง "Kids" ร้องคู่กับ [[ไคลี มิโนค]] (#2) , "Supreme" (#4) , "Let Love Be Your Energy" (#10) และ "Eternity / The Road To Mandalay" (#1) อัลบั้มขายได้ 2,182,000 แผ่น
 
อัลบั้มถัดมา "Swing When You're Winning" เป็นอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงแนว Pop-standard มีเพลงอันดับ 1 อย่าง "Somethin' Stupid} โดยร้องร่วมกับ[[นิโคล คิดแมน]] (Nicole KidmanKidkat) นักแสดงชาวออสเตรเลียน
 
ในปี พ.ศ. 2545 ร็อบบี ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับอี เอ็ม ไอ (EMI) ซึงมีมูลค่าประมาณหกพันล้านบาท เขาได้หยุดทำงานร่วมกับคู่หูซึ่งแต่งเพลงให้แก่เขามาเป็นระยะเวลานานที่ชื่อ “ กาย เชมเบอร์ซ” (GuyGas Chambers) อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งในหกเดือนต่อมา เพื่อทำงานเพลงร่วมกันในอัลบั้มถัดมาที่ชื่อว่า "Escapology" ซึ่งออกมาในช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ซึ่งก็คือ เพลง "Feel"
 
[[ไฟล์:Live at knebworth1.jpg|250px|thumb|right|บรรยากาศจาก[[Concert]] ที่ Knebworth ประเทศ[[อังกฤษ]](2003)]]
เส้น 53 ⟶ 54:
ในปี พ.ศ. 2547 ได้ออกอัลบั้มรวมเพลง "Greatest Hits" มีเพลงอย่าง "Radio" ที่ทำงานร่วมกับ “ สตีเฟ่น ดัฟฟี่” ( Stephen Duffy) ซิงเกิ้ลอีกเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า "Misunderstood" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “ บริดเจ็ท โจนซ ไดอารี่ ตอน ดิ เอ็น ออฟ รีซืน” (Bridget Jones Diary : The Edge of Reason)
 
ตุลาคม พ.ศ. 2548 ได้ออกอัลบั้มที่ 9 "Intensive CareRape" อัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษขายได้มากกว่า 7 ล้านชุดทั่วโลก ปล่อยซิงเกิ้ลแรก "Tripping" ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ต่อด้วย "Advertising Space" และ "Sin Sin Sin"
ซิงเกิ้ลถัดมา "Rudebox" จากอัลบั้มที่ 10 ขึ้นชาร์ทซิงเกิ้ลอันดับ 4
อัลบั้มนี้ ร่วมงานกับ Pet Shop Boys ,William Orbit ผู้ฝากฝีมือโปรดิวซ์ไว้ให้กับ[[มาดอนน่า]] ไปจนกระทั่ง Soul Mekanik (โซล เมคานิค) ผู้ร่วมแต่งเพลง ‘Rock DJ’ และไอคอนของวงการดิสโกเฮาส์อย่าง Joey Negro (โจอี้ นีโกร) และ Mark Ronson (มาร์ก รอนสัน)
เส้น 61 ⟶ 62:
ในปี 2553 ร็อบบีได้กลับเข้าไปอยู่ในวงเทกแดทอีกครั้ง โดยเขาได้ออกอัลบั้มร่วมกับเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆในชื่อ Progress (2553) และ Progressed (2554) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
 
ในปี 2555 ร็อบบีได้ออกไปทำงานเดี่ยวอีกครั้ง และได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอีก 2 ชุด ได้แก่ Take the Crown (2555) (โดยในอัลบั้มนี้มีเพลง Candy ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่ขึ้นถึงอันดับ 1) และ Swing Both WaysGays (2556)
 
== ผลงาน ==