ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
PUNG191230 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
→ประวัติสโมสร: ปรับปรุงเนื้อหาครั้งใหญ่ |
||
บรรทัด 66:
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือน[[ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1892]] ชื่อ '''นิวคาสเซิลยูไนเต็ด''' ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วง[[ทศวรรษ]] [[1900s]] และยังเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]ถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี [[ค.ศ. 1910]] หลังจากเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลบาร์นสลีย์|บาร์นสลีย์]]ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่[[กูดิสันพาร์ก]]
หลังจาก[[สงครามโลกครั้งที่ 1]] สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ได้อีกสมัยโดยการเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอ
ในช่วงทศวรรษ [[1950s]] นิวคาสเซิลเป็นแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแบล็กพูล|แบล็กพูล]] 2-0 ในปี [[ค.ศ. 1951]] ชนะ[[สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล|อาร์เซนอล]] 1-0 ในปี [[ค.ศ. 1952]] และชนะ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี|แมนเชสเตอร์ ซิตี]] 3-1 ในปี [[ค.ศ. 1955]] โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น [[แจคกี มิลเบิร์น]], [[บ็อบบี มิทเชลล์]] และ [[สแตน เซมัวร์]]
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม [[โจ ฮาร์วีย์]] ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี [[ค.ศ. 1965]] แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี [[ค.ศ. 1968]] ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วย[[อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ]] (หรือถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]ในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็น[[สโมสรฟุตบอลสปอร์ติงลิสบอน|สปอร์ติง
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่น[[กองหน้า]]ชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น [[วิน เดวีส์]], [[ไบรอัน ร็อบสัน]], [[บ็อบบี มอนเคอร์]] หรือ[[แฟรงค์ คลาร์ก]]
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสร[[ยุโรป]] ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ [[จิมมี สมิธ]], [[โทนี กรีน]] และ[[เทอร์รี ฮิบบิทท์]] ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง [[มัลคอล์ม แมคโดแนลด์]] เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย
ในช่วงต้นทศวรรษ [[1980s]] นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีม[[อาร์เธอร์ ค็อกซ์]]จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมี[[เควิน คีแกน]] อดีตกัปตัน[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]เป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี [[ค.ศ. 1989]]
ในปี [[ค.ศ. 1992]] [[เควิน คีแกน]] ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดย[[เซอร์ จอห์น ฮอลล์]]ไปไม่นานก็ตาม และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลปอร์ทสมัธ|ปอร์ทสมัธ]]ก่อนจะบุกไปเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี|เลสเตอร์ ซิตี]]ในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่[[พรีเมียร์ลีก]]ด้วยชัยชนะเหนือ[[สโมสรฟุตบอลกริมสบีทาวน์|กริมสบี ทาวน์]] 2-0
เส้น 92 ⟶ 90:
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชน[[อังกฤษ]]ว่าเป็น "''The Entertainers''"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู [[แอนดี โคล]] ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ด้วยค่าตัว 6,000,000
<big>'''เปิดฉากความท้าทาย'''</big>▼
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น [[ดาวิด ชิโนลา]] และ [[เลส เฟอร์ดินานด์]] มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]]ได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วง[[คริสต์มาส]] พวกเขาทิ้งห่าง[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ถึง 12 คะแนน และเกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]]ไป 3-4 ที่สนาม[[แอนฟิลด์]]ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ[[พรีเมียร์ลีก]]เลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้า[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]] [[แอลัน เชียเรอร์]] มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000
<big>'''ช่วงปัญหา'''</big>▼
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือน[[มกราคม]]
[[รืด คึลลิต]]ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]อีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น[[มาร์เซลิโน]] กองหลังชาว[[สเปน]] และ[[ซิลวิโอ มาริช]] มิดฟิลด์[[โครเอเชีย]] นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป
<big>'''ยุคแห่งความสำเร็จ'''</big>▼
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้ง[[เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน]] อดีตผู้จัดการ[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกใน[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]ที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง[[สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา|บาร์เซโลนา]] และ [[สโมสรฟุตบอลอินเตอร์ มิลาน|อินเตอร์ มิลาน]] ส่วนผลงานใน[[พรีเมียร์ลีก]]นั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือก[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]หลังพ่ายในการดวล[[จุดโทษ]]ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลพาร์ทิซานเบลเกรด|พาร์ทิซาน เบลเกรด]] จนต้อง
<big>'''ช่วงที่น่าผิดหวัง'''</big> ▼
ในฤดูกาล 2004-2005 [[แกรม ซูเนส]] ได้เซ็นสัญญา[[ไมเคิล โอเวน]] มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือน[[กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2006]] เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006 ได้อย่างย่ำแย่ [[เกล็น โรเดอร์]] ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่[[แอลัน เชียเรอร์]]ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล [[เกล็น โรเดอร์]] ได้พาทีมคว้าแชมป์[[ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ]] พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]ในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย
ในฤดูกาล 2007-2008 [[แซม
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง [[เควิน คีแกน]] กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 2008]] [[เควิน คีแกน]] ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ [[โจ คินเนียร์]] อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ [[26 กันยายน]] [[ค.ศ. 2008]] แต่แล้วในเดือน[[กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2009]] [[โจ คินเนียร์
<big>'''การตกชั้น'''</big>▼
นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา]] 1-0 ที่[[วิลลาพาร์ก]] ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่[[เดอะแชมเปี้ยนชิพ|ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพ]]ด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นาน[[แอลัน เชียเรอร์]] ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมี[[คริส ฮิวจ์ตัน]] ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง [[ไมเคิล โอเวน]], [[มาร์ค วิดูก้า]], [[ดาวิด เอ็ดการ์]], [[โอบาเฟมี มาร์ตินส์]], [[เชย์ กิฟเวน]], [[เซบาสเตียน บาสซง]], [[เดเมียน ดัฟฟ์]] และ ฮาบิบ เบย์ ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่าเควิน คีแกนอดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3ปีก่อนคีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2ล้านปอนด์หรือ112ล้านบาทโดยในเหตุการ์ณครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่โดนเดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษของทีมให้แอสตัน วิลล่ารวมถึงการซื้อซิสโก้ กองหน้าชาวสเปนและอิ๊กนาซิโอ กอนซาเลซ นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อยตัวโจอี้ บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกมาโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100 ล้านปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็นแดนนี่ ซิมป์สัน มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วู้ดมาจากแอสตัน วิลล่าและเซ็นสัญญาคว้าตัวปีเตอร์ โลเวนครานด์กับฟาบริซ ป็องครัตมาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล2009/2010สามารถบุกไปเสมอเวสบรอมวิช อัลเบี้ยน ได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2009 ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง [[คริส ฮิวจ์ตัน]]เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ<br />▼
'''<big>กลับสู่พรีเมียร์ลีก</big>''' ▼
ใน[[เดอะแชมเปี้ยนชิพ|ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพ]]ฤดูกาล 2009-2010 นิวคาสเซิลสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์ เดอะแชมเปี่ยนชิพมาครองได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติในวันที่ 5 เมษายน 2010 ทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีก 5 นัด ▼
▲นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา]] 1-0 ที่[[วิลลาพาร์ก]] ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่[[เดอะแชมเปี้ยนชิพ|ฟุตบอลลีกแช
ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง อาร์เซนอล แอสตันวิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้คริส ฮิวตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมเวสบรอมวิส อัลเบียน ซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 คริส ฮิวตัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 ธันวาคม 2010 โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปี ครึ่ง ในวันที่ 31 มกราคม 2011 สโมสรได้ปล่อย แอนดี้ คาร์โรลล์ เด็กปั้นของสโมสรแก่ทีมลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงลิ่วถึง 35 ล้านปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12 <br />▼
▲ใน[[
<big>'''เดินหน้าสู่ถ้วยยุโรปอีกครั้ง'''</big><br />▼
▲ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่าง
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนแลน, โจอี้ บาร์ตัน, และ โจเซ่ เอ็นริเก้ ออกจากทีม และเรียก ทิม ครูล มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน สตีฟ ฮาร์เปอร์ และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด้ ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ่ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 และได้ไปเตะในรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีกในฤดูกาลหน้า และแอลัน พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย▼
▲ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 [[แอลัน พาร์ดิว]]ได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง [[เควิน โน
== ผู้เล่น ==
เส้น 183 ⟶ 174:
!ชื่อ
!สัญชาติ
!ตำแหน่ง
!ปี
!ลงสนาม
!ประตู
|-
| align = "left"|[[Andy Aitken (footballer born 1877)|Andy Aitken]]||{{SCO}}||HB||1895–1906||349||42
เส้น 578 ⟶ 569:
| align = left|2007
|-
| align = left|[[แซม
|{{flagicon|England}}
| align = left|2007
|