ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กุ้งก้ามกราม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เพิ่มข้อความไม่เป็นวิกิขนาดใหญ่
บรรทัด 22:
* [[เครย์ฟิช]]
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Macrobrachium rosenbergii|กุ้งก้ามกราม}}
 
“ผมโชคดีเพราะมีครอบครัวที่อบอุ่น..มีพ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี..ความพิการของร่างกาย..คือพลังที่ทำให้ผมฮึดสู้จนมีวันนี้”
ครอบครัว “งามเกิดศิริ” เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง ที่หัวหน้าครอบครัวข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศจีนในสภาพเสื่อผืนหมอนใบเมื่อ 70 ปีที่ผ่านมา โดยมาทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเป็นกุลีทำงานแบกหามทั่วไป ต้องอดมื้อกินมื้อ..มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก แต่ด้วยความที่เป็นคนมุมานะขยันมั่นเพียร รู้จักอดออมประหยัดและอดทน จึงทำให้เขาสามารถเก็บเงินปลูกบ้านเป็นของตัวเองได้เป็นผลสำเร็จ
แต่เนื่องจากครอบครอบที่มีบุตรถึง 12 คน ทำให้ความเป็นอยู่ต้องลำบากแร้นแค้น ลูกๆ ทุกคนจะต้องช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพด้วยการขายปาท่องโก๋ ซึ่งต้องขายกันตั้งแต่เช้าไปจนกระทั่งมืดค่ำทุกวันไม่มีวันหยุด พี่ๆ คนโตก็ต้องออกไปรับจ้างทำงานเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวที่ตกอยู่ในสภาพปากกัดตีนถีบ
ด้วยเพราะความยากจนนี่เอง จึงทำให้คนในครอบครัว “งามเกิดศิริ” ต่างมีความรักใคร่สมัครสมานสามัคคีกันเป็นอย่างดี อีกทั้งมีพ่อและแม่ที่ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีจึงคอยอบรมสั่งสอนเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ให้เป็นคนดี รู้จักอดทน ขยันและต่อสู้ ในที่สุดพวกพี่ๆ หลายคนก็ได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สามารถพลิกพื้นฐานะของครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเป็นคนไข้อนาถาของโรงพยาบาลเหมือนเช่นอดีตอีกต่อไป
ชีวิตในวัยเด็ก
“สุนทร งามเกิดศิริ” เป็นชาวกรุงเทพฯโดยกำเนิด เกิดที่ถนนสุทธิสาร ซอยอินทรามระ 41 เขาเป็นลูกคนที่ 9 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 12 คน เขาเกิดมาท่ามกลางความยากจนของครอบครัว เนื่องจากพ่อแม่มีลูกมาก พออายุได้หนึ่งขวบ ด.ช.สุนทรก็ต้องกลายเป็นเด็กพิการ เนื่องจากป่วยเป็นโรคโปลิโอ ไม่สามารถวิ่งเล่นซุกซนได้เช่นเด็กทั่วไป ทำให้พ่อแม่ต่างรู้สึกเสียใจและห่วงใยต่อโชคชะตาของลูกชายที่จะต้องเติบโตขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อครบเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือ ด.ช.สุนทรจึงถูกส่งไปเรียนที่ “โรงเรียนศรีสังวาล” ถนนติวานนท์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสงเคราะห์คนพิการ
“คุณสุนทร” ได้เล่าย้อนอดีตที่ยากจะลืมเลือนให้ทีมงาน “ชีวิตต้องสู้” ฟังว่า “ผมต้องตื่นนอนแต่เช้า ช่วยพ่อแม่และพี่ๆ ทอดปลาท่องโก๋ขายทุกวัน พอกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาขายปลาท่องโก๋จนมืดค่ำไม่มีวันหยุด ชีวิตในช่วงนั้นลำบากมากๆ ต้องโหนรถเมล์ทุกวัน ทั้งๆ ที่ขาข้างซ้ายก็ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป พอขึ้นชั้นประถมปีที่ 4 จึงได้รับทุนจากโรงเรียนศรีสังวาลย์ ของมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมอบรองเท้าเบส (รองเท้าสำหรับคนพิการ ) ให้ ซึ่งสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าเก่ามากไม่ต้องใช้ไม่เท้าอีกต่อไป หลังจากเรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 จึงได้รับทุนจากมูลนิธิมหิดล และได้ย้ายมาเรียนโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จนกระทั่งจบชั้นมัธยมปีที่ 6 และได้สอบเข้าศึกษาต่อที่ “มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า” จนกระทั่งจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ประยุกต์ในที่สุด”
มองหาอนาคต
หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย คุณสุนทรตั้งใจอยากทำงานที่สาขาที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา แต่ด้วยปัญหาที่ว่าตัวเองเป็นคนพิการ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครยอมรับ ประกอบกับไม่มีทางอื่นให้เลือก จึงตัดสินใจไปทำงานเป็นพนักขายรถยนต์มือสองที่บริษัทออร์โตบาร์นในย่านเม่งจ่าย ซึ่งเป็นบริษัทของพี่สาว ด้วยที่เป็นคนพูดจาดี มีสัมมาคาวระวะ ยิ้มง่าย มีอัธยาศัยดีน่ารัก จึงสามารถเข้ากันได้กับทุกๆ คน ทำให้แต่ละเดือนคุณสุนทรสามารถขายรถได้หลายสิบคน ขณะที่คนที่มีร่างกายปกติทำไม่ได้ พอนานไปเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายในที่สุด
จากที่ไม่เคยชอบงานด้านนี้ ความคิดของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนไป และจากการที่เขาได้ทำงานเป็นพนักงานขาย จึงทำให้ได้พบปะผู้คนหลากหลายสาขาอาชีพ ทำให้เขาได้รับข่าวสาร และข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเริ่มเข้าใจว่าวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้นต่างมีที่มาและที่ไปหลายหลากประเภท บางคนก็ให้กำลังใจ บางคนก็ให้ข้อคิดในแง่มุมที่ดีหลากหลายประการ ด้วยความพิการทางร่างกาย จึงไม่ใช่อุปศักดิ์ของการดำเนินชีวิต ขอเพียงแต่เรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างทุ่มเท ความสำเร็จมักจะรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
นับจากทำหน้าที่เขาทำงานอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายอยู่หลายปี จึงทำให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์ความรู้เรื่องการซื้อขายรถยนต์มาเป็นอย่างดี เขาจึงได้ปรึกษากับพี่สาวและพี่ชายว่าอยากจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งพี่สาวและพี่ชายต่างก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยส่วนตัวลึกๆ เขาวาดฝันไว้ว่าอยากจะมีรถเมร์เซเดส- เบนซ์ เป็นของตัวเองสักคัน เนื่องจากความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถยนต์ยี่ห้อที่เขาฝันถึงอยู่นั้นมันมีราคาแพงแค่ไหน
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลาออกมาเปิดบริษัทเอง โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท มอเตอร์เวย์ จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้ารถยนต์จากยุโรปและประเทศญี่ปุ่น เช่น เมร์เซเดส- เบนซ์, มินี, จากัวร์, โฟล์คสวาเกน, บีเอมดับเบิลยู, มาสด้า, โตโยตา และ เลคซัส ซึ่งครั้งแรกๆ เขาต้องพบกับอุปศักดิ์และปัญหามากมาย แต่ด้วยเพราะเคยลำบากยากจนมาก่อน จึงทำให้เขาเข้าใจและรู้ซึ้งถึงปัญหาเป็นอย่างดี เขาใช้เวลาแก้ไขปัญหาไปทีละข้อๆ ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และเริ่มมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น ต่อมาบริษัท มอเตอร์เวย์ จำกัด จึงได้ขยายสาขา จนมีบริษัทลูกเกิดขึ้นอีกมาหลายบริษัทรวมถึง “บริษัท แอปเปิล เน๊ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด แห่งนี้ด้วย
ทดแทนคุณแผ่นดิน
หลังจากที่สามารถยืนหยัดต่อสู้จนประสบกับความสำเร็จอย่างมั่นคง คุณสุนทรจึงคิดที่จะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง สมดังความตั้งใจเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก เจ็บป่วยไข้ไปหาหมอ ก็ต้องเป็นคนไข้แผนกอนาถาของโรงพยาบาล เขาจึงคิดหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ยากจน ผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายให้มีโอกาสที่จะดำเนินชีวิตได้ในสังคม
ด้วยที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทร์ ฯ องค์พระอุปถัมภ์ โรงเรียนศรีสังวาลย์ ที่เขาได้รับทุนการศึกษาจนกระทั่งจบชั้นประถมที่ที่ 6 และทุนจากมหาวิทยาลัยมหิดลจนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 คุณสุนทรได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงได้มอบทุนให้กับมูลนิธิของโรงเรียนศรีสังวาล และโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ปีละ 1 แสนบาทเป็นประจำทุกๆ ปี เพื่อให้น้องๆ เยาวชนไทยผู้ด้อยโอกาส ได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็มองเห็นผู้ด้อยโอกาสคนอื่นๆ ที่ยังคงมีความลำบากยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก วันหนึ่งเขาจึงได้คุยกับพี่ชายคือ “คุณนรินทร์” ว่าจะทำอย่างไรดีเราถึงจะช่วยเหลือผู้คนที่ยากจนให้บรรเทาจากความทุกข์ขึ้นมาได้บ้าง พี่ชายจึงได้ยกประวัติบุคคลเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลว่า ผู้มีฐานะในสมัยนั้นส่วนใหญ่เขาจะทำบุญโดยการบริจาคทาน และตั้งโรงทานกันเป็นส่วนใหญ่ จึงได้นำความคิดนั้นมาทำเป็นโรงงานแจกจ่ายอาหารให้กับผู้คนที่ยากไร้
ซึ่งครั้งแรกๆ ก็ทำทานให้กับคนในบริษัทก่อนคือ เลี้ยงอาหารให้กับทุกคนเพื่อจะได้เป็นการแบ่งเบาภาระให้กับพนักงาน พอทำไปจึงได้สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของพนักงานแต่ละคนต่างก็มีความสุข มีความขยันหมั่นเพียร มีความสมานสามัคคีในหมู่คณะมากขึ้น คงเป็นด้วยเพราะอานิสงค์ผลบุญที่ทำไปโดยที่เราไม่หวังสิ่งตอบแทน จึงทำให้พนักงานทุกคนต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกันในองค์กร ช่วยกันทุ่มเทในการทำงานอย่างสุดความสามารถ จนทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“คุณสุนทร” กล่าวต่อไปว่า “ที่ผมเปิดบริษัทมา..ผมไม่ได้หวังความร่ำรวย ไม่ได้คาดหวังกับผลกำไรที่จะได้รับ ผมมีความมุ่งมั่นที่อยากจะช่วยเหลือให้ทุกคนให้มีงานทำมากกว่า เนื่องจากผมเคยยากจนมาก่อน จึงอยากจะให้โอกาสกับทุกๆ คน ที่มีความตั้งใจทำงาน อยากจะสร้างฐานะให้กับครอบครัว และทุกครั้งที่มีโอกาสได้อบรมพนักงาน ผมจะสอนเสมอในเรื่องของความอดทน ความขยันมั่นเพียร และซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพที่ทำมาตลอด ผมไม่เคยซื้อใจพนักงานด้วยทรัพย์สินเงินทอง ผมจะให้ความรักความจริงใจเสมอภาคกันทุกส่วนเป็นปัจจัยสำคัญ ใครมีปัญหามีความเดือดร้อนใดๆ ก็สามารถเข้ามาพบปรึกษาพูดคุยกับผมได้ทุกเมื่อ เพราะผมไม่เคยคิดว่าพนักงานคือลูกจ้าง ผมคิดว่าพนักงานทุกคนคือผู้มีพระคุณ ที่สามารถช่วยเหลือทำให้บริษัทเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้”
ตั้งโรงทานช่วยคนยากจน
เมื่อตัดสินใจว่าจะตั้งโรงทานขึ้น เขาจึงได้ปรึกษาเพื่อนๆ และพี่น้อง ทุกคนต่างก็เต็มใจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่ใจดีอีกหลายท่าน เช่น “คุณชาญชัย พิราวรรณ” เจ้าของบริษัทมินิบรุค จำกัด “คุณจินดา มงคลยศ” เจ้าของบริษัทออร์โต เพลนเนส จำกัด “คุณนิรทร์” เจ้าของบริษัทออร์โตบาร์น จำกัด และ “คุณธันยา โพธิ์วิจิตร” หรือ “เป็ด เชิญยิ้ม” เจ้าของรายการก่อนบ่ายคลายเครียด
การตั้งโรงทานครั้งแรกนั้น..เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ซึ่งในครั้งนั้นมีการแจกเพียงข้าวกล่องและน้ำดื่ม มีผู้คนไม่กี่คนที่มารับบริจาคเนื่องจากยังไม่มีคนรู้ข่าวมากนัก ต่อมาจึงมีคนเพิ่มขึ้นเป็นห้าร้อยคน บางครั้งถึงพันคนก็มี ทางโรงทานก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ถือว่าทุกคนที่เข้ามาจะต้องได้รับข้าวกล่องกันครบทุกคน โดยไม่มีการกำหนดว่าต้องเป็นคนที่ยากจนขัดสนเท่านั้น ทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และคนพเนจรทั่วไป
และทุกๆ วันศุกร์ตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไป บนถนนเส้นลาดพร้าวใกล้กับห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีสาขาลาดพร้าว ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท แอปเปิ้ล เน็ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นโรงแจกทานไปในตัว จึงมีผู้คนทุกสารทิศเดินทางไปรับแจกจ่ายข้าวกล่องกันเป็นจำนวนมาก นอกจากข้าวกล่อง น้ำดื่ม ก็ยังมีไอศกรีม ยาสามัญประจำบ้าน ผ้าเย็น หนังสือธรรมะแจกฟรีเช่นทุกๆ ครั้ง แต่มีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือ ผู้ที่ต้องการรับแจกจะต้องเดินทางมารับด้วยตัวเอง ไม่สามารถมารับแทนคนอื่นได้ เนื่องจากในแต่ละครั้งจะมีผู้คนเดินทางมารับบริจาคกันเป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะแจกได้ไม่พอ ซึ่งบางคนนั้นก็เดินทางมาจากที่ไกลๆ เพื่อมารับของแจก จึงต้องแบ่งปันกันให้ได้อย่างทั่วถึง
 
== อ้างอิง ==