ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วาซีลี คันดินสกี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 15:
| works = ''On White II'', ''Der Blaue Reiter''
}}
'''วาซีลี วาซีเลียวิช คันดินสกี''' ({{lang-ru|Васи́лий Васи́льевич Канди́нский}}; {{lang-en|Wassily Kandinsky}}) เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1866 ในกรุงนคร[[มอสโก]] [[จักรวรรดิรัสเซีย]] พ่อของเขามาจาก[[ไซบีเรีย]] เป็นพ่อค้าขายน้ำชา แม่ของเขาเป็นชาวมอสโก พ่อแม่ของเขาได้หย่าร้างกันใน ค.ศ. 1871 ต่อมาใน ค.ศ. 1876 เขาได้เข้าเรียนเปียโนและเชลโลที่ Grammar School ในเมือง[[โอเดสซา]] (ปัจจุบันอยู่ใน[[ประเทศยูเครน]]) และเขายังได้เรียนจิตรกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเขาไปเรียนที่[[มหาวิทยาลัยมอสโก]] ใน ค.ศ. 1886 เขาได้เรียนในคณะเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย ซึ่งเน้นศึกษาเรื่อง[[สังคมวิทยา]] [[ชาติพันธุ์วรรณนา]] และ[[กฎหมายของเกษตรกร]]ใน[[แคว้นโวลอกดา]] (Vologda) และเขาได้เขียนวิทยานิพนธ์ของเขาเกี่ยวกับกฎหมายค่าจ้างของคนงาน
 
เมื่ออายุ 29 ปี คันดินสกีได้เห็นศิลปะภาพวาดใน[[อิมเพรสชันนิซึม|ลัทธิประทับใจ]] (impressionism) ของจิตรกรฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก เขารู้สึกดีกับงานศิลปะชิ้นนั้นมาก หลังจากที่ได้รับชมงานศิลปะของจิตรกรฝรั่งเศสก็ทำให้เขาไม่ทำงานของมหาวิทยาลัย และยังลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็นจิตรกรวาดภาพ จนกระทั่งอายุได้ 31 ปีจึงเดินทางไปยังเมือง[[มิวนิก]] [[ประเทศเยอรมนี]] เพื่อศึกษาเทคนิคการวาดภาพกับ[[อันทอน อัชเบ]] (Anton Ažbe) และ[[ฟรันซ์ ฟอน ชตุค]] (Franz von Stuck) ในช่วงเวลานั้นจิตรกรชาวเยอรมันกำลังลุ่มหลงในงานศิลปะแนว[[อาร์ตนูโว]]ซึ่งเป็นงานศิลปะที่ใช้ลายเส้นเป็นดอกไม้ ทำให้เขาได้ศึกษาอาร์ตนูโวมาพอประมาณ
 
เมื่ออายุประมาณ 30 ปี เขาได้เข้าทำงานในสำนักกฎหมายและได้ย้ายไปยังเมืองมิวนิกใน ค.ศ. 1896 และที่นั่นเขาได้เจอกับโรงเรียนศิลปะและได้เข้าเรียนใน ค.ศ. 1900 และระหว่างปี ค.ศ. 1901-1904 เขาได้เข้าร่วมกับกลุ่มศิลปินที่เรียกตัวเองว่า "[[ฟาลังกซ์]]" ({{lang|de|''Phalanx''}}) ต่อมาเขาได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ อย่างฮอลแลนด์, [[ตูนิส]] และเมืองอื่น ๆ โดยเขาใช้เวลาเป็นปีอยู่ที่กรุง[[ปารีส]] (ค.ศ. 1906-1907) และเขาได้ก่อตั้ง[[Neue Künstlervereinigung München|สมาคมศิลปินใหม่แห่งมิวนิก]] ({{lang|de|''Neue Künstlervereinigung München''}}) ร่วมกับ[[กาบรีเอเลอ มึนเทอร์]] (Gabriele Münter) โดยเขาเป็นประธานสมาคม อยู่ในเมืองมิวนิกและมูร์เนา
 
ใน ค.ศ. 1911 เขาและศิลปินคนอื่น ๆ ได้ออกจากสมาคมศิลปินใหม่และไปสมาคมกับ[[ฟรันซ์ มาร์ค]] เพื่อร่วมกันร่างบทบรรณาธิการเพื่อแก้ไขปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ของกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์ ({{lang|de|''Der Blaue Reiter''}}) ในปีเดียวกันหนังสือที่ชื่อ {{lang|de|''[[über das Geistige in der Kunst]]''}} (On the Spiritual in Art) ของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์ และในปีต่อมาบทบรรณาธิการของปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ของกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์บทแรกก็ได้ขึ้นตามมา
 
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น เขาได้ไปยัง[[ประเทศสวิตเซอร์แลนด์]] และกลับไปยังกรุงมอสโก ที่ซึ่งเขาได้จัดองค์กรและสถาบันหลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติในเดือนตุลาคม ใน ค.ศ. 1921 เขากลับไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนีกับนีนา (Nina) ภรรยาคนที่ 2 ของเขา และใน ค.ศ. 1922 เขาได้อยู่ในที่เมือง[[ไวมาร์]] โดยเขาได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ของ[[เบาเฮาส์]] (Bauhaus) และในเมืองไวมาร์ เขาได้เข้าร่วมกลุ่ม[[ดีเบลาเออเฟียร์]] ({{lang|de|''Die Blaue Vier''}}) ที่มีสมาชิกรวมทั้ง[[เพาล์ เคล]] (Paul Klee) และ[[อะเลคเซย์ ฟอน ยัฟเลนสกี]] (Alexej von Jawlensky) ผู้ซึ่งที่เขาได้เจอครั้งแรกที่เมืองมิวนิกในปีก่อนและเป็นเพื่อนร่วมงานในเบาเฮาส์ ในปี 1926 เขาได้เผยแพร่หนังสือของเขาที่ชื่อ {{lang|de|''[[Punkt und Linie zu Fläche]]''}} ใน ค.ศ. 1928 เขาได้มีโอกาสออกแบบรูปแบบการแสดงผลงานของมูร์ซอร์กสกี (Mussorgsky) ที่งานนิทรรศการในโรงละครเมือง[[เดสเซา]] (Dessau) และเมื่อเบาเฮาส์ได้ถูกปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1933 โดยกลุ่มสังคมนิยมแห่งชาติ เขาจึงอพยพย้ายไปเมือง[[เนอยี-ซูร์-แซน]] ใกล้กับกรุงปารีส ที่ซึ่งเขาได้จัดงานนิทรรศการงานเดี่ยวที่สร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติให้แก่เขาใน ค.ศ. 1929 เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเพาล์ เคล ที่สวิตเซอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1937 และเขาได้ย้ายไปเมือง[[โกตแร]] (Cauterets) ในแถบ[[เทือกเขาพิเรนีส]]เป็นการชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงจากถูกโจมตีของเยอรมนี หลังจากนั้นเขาก็ย้ายกลับมาที่เนอยี-ซูร์-แซน และอาศัยอยู่ที่นั่นจนเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1944
 
นอกจากนี้เขายังได้รู้จักกับกลุ่มศิลปิน[[อิมเพรสชันนิซึม|ลัทธิประทับใจ]]ตอนที่เขาได้จัดนิทรรศการที่กรุงมอสโกใน ค.ศ. 1896 โดยเขาเริ่มพัฒนาทัศนียภาพของงานเขียนใน[[อิมเพรสชันนิซึมใหม่|ลัทธิประทับใจใหม่]] (neo-impressionism) ซึ่งรับอิทธิพลจากอาร์ตนูโวแบบเยอรมัน ({{lang|de|''Jugendstil''}}) โดยเฉพาะช่วงต้นก่อนที่มีแนวโน้มไปเป็นงานนามธรรม และเมื่อเขาได้ผันตัวไปทำงานด้านจิตรกรรมนามธรรม เขาได้มีงานเขียนของเขาชื่อ Rapprochement ประมาณปี ค.ศ. 1910 เขามีเหตุผลทฤษฎีและแนวคิดในงานจิตรกรรมนามธรรมเกี่ยวกับการรวมกันของความรู้เรื่องเทววิทยาและทฤษฎีเชิงวัฒนธรรม นำมาใช้ร่วมกันจนเกิดสุนทรียศาสตร์ในงานจิตรกรรมนามธรรมของเขา เขาได้นำคติจากนิทานพื้นบ้านมาใช้ในงานศิลปะตั้งแต่เขาอยู่ในรัสเซีย เขาได้รับวัฒนธรรมที่เรียบง่ายจากความพยายามที่จะวาดภาพตามคติประเพณีดั้งเดิมจากการที่เขาไปอยู่บ้านใหม่ของเขาในเมืองมูร์เนา ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์ ที่พวกเขาไม่เน้นเรื่องรูปทรง แต่จะเน้นเรื่องความแปลกประหลาด (exotic) และความเป็นศิลปะ (artistic) คติความเชื่อแบบพื้นบ้านยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของงานนามธรรม ที่มันมีมากกว่าการวางแบบแผนที่สมมาตร ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะเด่นของงานในช่วงหลังของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นไป
 
==อ้างอิง==