ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ตัณหา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Bpitk (คุย | ส่วนร่วม)
Bpitk (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{พุทธศาสนา}}
'''ตัณหา''' เป็นหลัก[[ธรรม]]ข้อหนึ่งใน[[พุทธศาสนา]] หมายถึง ความติดใจอยาก ความยินดี ยินร้าย หรือติดในรสอร่อยของโลก
 
ตัณหา ประกอบด้วย ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ และ ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้ประพฤติ[[ประมาท]]
 
ตัณหา ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดังนั้น ความ[[ทุกข์]]ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้
 
ควรเห็นตัณหา เป็นดังเครือเถาที่เกิดขึ้น แล้ว จงตัดรากเสียด้วย[[ปัญญา]]
==ตัณหาแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง==
* ๑. '''[[กามตัณหา]]''' คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน [[สัมผัสทั้ง ๕]]
* ๒. '''[[ภวตัณหา]]''' คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
* ๓. '''[[วิภวตัณหา]]''' คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ
 
ควรเจริญอริย[[มรรค]]อันประกอบด้วยองค์ ๘ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละตัณหา ๓ อย่างนี้
==ตัณหา ๖==
ตัณหา ๖ หมวด ได้แก่
#รูปตัณหา คือ อยากได้รูป (ที่มองเห็นด้วยตา)
#สัททตัณหา คือ อยากได้เสียง
#คันธตัณหา คือ อยากได้กลิ่น
#รสตัณหา คือ อยากได้รส
#โผฏฐัพพตัณหา คือ อยากได้โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกายสัมผัส)
#ธัมมตัณหา คือ อยากในธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)
 
ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งตัณหาทั้ง๖นี้ เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์
 
ความดับโดยไม่เหลือ ความสงบระงับ ความสูญแห่งตัณหาทั้ง๖นี้ เป็นความดับโดยไม่เหลือแห่งทุกข์
 
ตัณหาทั้ง๖ นี้ ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
==ธรรมะที่เกียวข้อง==
<small>จาก ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗</small>
 
''ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจใน รูปตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในสัททตัณหา ฯลฯ ใน คันธตัณหา ฯลฯ ในรสตัณหา ฯลฯ ในโผฏฐัพพตัณหา ฯลฯ ในธรรมตัณหา ฯลฯ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ ๖ นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปใน[[เนกขัมมะ]] อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่พึงทำให้แจ้งด้วย[[อภิญญา]].''
 
<small>จาก ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓</small>
 
''ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันมีตัณหาเป็นมูล ๙ ประการ เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันมีตัณหาเป็นมูล ๙ ประการเป็นไฉน การแสวงหาเพราะอาศัยตัณหา ๑ การได้เพราะอาศัยการแสวงหา ๑ การวินิจฉัยเพราะอาศัยการได้ ๑ ฉันทราคะเพราะอาศัยการวินิจฉัย ๑ ความหมกมุ่นเพราะอาศัยฉันทราคะ ๑ ความหวงแหนเพราะอาศัยความหมกมุ่น ๑ ความตระหนี่เพราะอาศัยความหวงแหน ๑ การจัดการอารักขาเพราะอาศัยความตระหนี่ ๑ ธรรมอันเป็นบาปอกุศลหลายประการ คือ การจับท่อนไม้ จับศาตราการทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท กล่าววาจาส่อเสียดว่ามึงๆ และพูดเท็จย่อมเกิดขึ้น ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมมีตัณหาเป็นมูล ๙ ประการนี้แล ฯ''
 
<small>จาก ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑</small>
 
'' ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเมื่อจะเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นในที่ใด ที่นั้นให้ชื่อว่าเป็นที่เกิดขึ้นแห่งตัณหา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ตัณหาเมื่อจะเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ย่อมเกิดขึ้นเพราะจีวรเป็นเหตุ ๑ เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ๑ เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ ๑ เพราะเภสัชอันประณีตและประณีตกว่าเป็นเหตุ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่ใด ที่นั้น ย่อมชื่อว่าเป็นที่เกิดขึ้นแห่งตัณหา ๔ ประการนี้แล ฯ''
==เอกสารอ้างอิง==
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=33&Z=87 วิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖]
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=16&A=6525&w=%B5%D1%B3%CB%D2%CA%D9%B5%C3 ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖]
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=17&A=5827&w=%B5%D1%B3%CB%D2%CA%D9%B5%C3 ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗]
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=10122&Z=10139 ขันธสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙]
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=19&A=1989&w=%B5%D1%B3%CB%D2%CA%D9%B5%C3 ตัณหาสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙]
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=1162&Z=1243 คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕]
[[Category:หลักธรรมในพุทธศาสนา]]
 
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/ตัณหา"