ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แมงลัก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด +แจ้งรอตรวจสอบด้วยบอต
Octahedron80 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{รอการตรวจสอบ}}
{{wikify}}
{{ตรวจภาษา}}
{{Taxobox
| color = lightgreen
บรรทัด 16:
| binomial_authority = [[Vis.]]
}}
'''แมงลัก''' (Lemon Basil) ([[ชื่อวิทยาศาสตร์]] ''Ocimum x citriodourum'') เป็นน้องเล็กในตระกูลสามพี่น้อง ([[กะเพรา]] [[โหระพา]] แมงลัก) ที่ถือว่าแมงลักเป็นน้องเล็กนั้นเพราะว่า แมงลักมีใบเล็ก สีอ่อน บอบบาง ช้ำง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า ชื่อสามัญเดิมเรียกกันว่า hoary basil (hoary แปลว่าผมหงอก) โดยนำมาจากลักษณะที่สำคัญขณะปลูกมีขนอ่อนสีขาวๆ บริเวณก้านใบและนำยอดอ่อน ต่อมาประกอบอาหารก็เปลี่ยนมาเรียกว่า ต้องใช้ความทะนุถนอมมากกว่าlemon basil ตามลักษณะกลิ่นที่คล้ายส้ม-มะนาว ส่วนแมงลักศรแดงของไทยเรียกว่า thai lemon basil
ด้วยรสหอมหวานแบบซิทรัส ส่งผลถึงชื่อสามัญภาษาอังกฤษ และทั้งชื่อวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งเราเรียกแมงลักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citriodorum ส่วนชื่อสามัญเดิมเรียกกันว่า Hoary Basil ซึ่ง hoary แปลว่าผมหงอก โดยนำมาจากลักษณะที่มีขนอ่อนสีขาวๆบริเวณก้านใบและยอดอ่อน ก็เปลี่ยนมาเรียกว่า Lemon Basil ตามลักษณะกลิ่น ส่วนแมงลักศรแดง ของไทย ก็เรียกว่า Thai Lemon Basil
 
แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกระเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกงต่างๆ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ ปัจจุบัน เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายได้ และ สามารถนำมาทำเป็นอาหารเสริมลดความอ้วนได้
==สายพันธุ์==
สำหรับแมงลักในประเทศนั้น เห็นจะมี ศรแดง เป็นสายพันธุ์หลักเพียงสายพันธุ์เดียว ที่เหลือเป็นพันธุ์ผสมบ้าง พันธุ์ทางบ้าง ลักษณะของพันธุ์ศรแดงที่ดีนั้น ใบต้องใหญ่พอดิบพอดี ไม่เล็กจนแคระแกร็น ดอกสีขาวเป็นชั้นๆคล้ายฉัตร
 
== สายพันธุ์ ==
==คุณค่าทางโภชนาการ==
สำหรับแมงลักในประเทศไทยนั้น เห็นจะมี "ศรแดง" เป็นสายพันธุ์หลักเพียงสายพันธุ์เดียว ที่เหลือเป็นพันธุ์ผสมบ้าง พันธุ์ทางบ้าง ลักษณะของพันธุ์ศรแดงที่ดีนั้น ใบต้องใหญ่พอดิบพอดี ไม่เล็กจนแคระแกร็น ดอกสีขาวเป็นชั้นๆ คล้าย[[ฉัตร ]]
แมงลักมีโปรตีน 3.8 กรัมต่อน้ำหนักใบสด 100 กรัม ซึ่งสูงกว่ากะเพรา และโหระพา มีข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย รายงานว่า แมงลัก 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 590.56 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล สูงกว่ากะเพรา และโหระพา และให้แคลเซียม 140 มิลลิกรัม
ส่วนกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า ใบแมงลักให้พลังงาน 0.032 กิโลแคลอรี่ และมีวิตามินเอ 9,164 หน่วยสากล และวิตามินบี2 ประมาณ 0.14 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่ากะเพรา และโหระพา แต่แร่ธาตุอื่นๆมีสูงกว่า เช่น มีไขมันสูงถึง 0.8 กรัม แป้งมากถึง 11.1 กรัม แคลเซียม 350 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 86 มิลลิกรัม เหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.30 มิลลิกรัม และ วิตามินซี 78 มิลลิกรัม
แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกระเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกงต่างๆ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆได้ นอกจากนี้ ปัจจุบัน เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายได้ และ สามารถนำมาทำเป็นอาหารเสริมลดความอ้วนได้
 
== คุณค่าทางโภชนาการ ==
==ปลูกกิน==
แมงลักมี[[โปรตีน]] 3.8 กรัมต่อน้ำหนักใบสด 100 กรัม ซึ่งสูงกว่ากะเพราและโหระพา ข้อมูลจากกองโภชนาการ [[กรมอนามัย]] รายงานว่า แมงลัก 1 ขีด มี[[เบต้าแคโรทีน]]สูงถึง 590.56 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล สูงกว่ากะเพราและโหระพา และให้[[แคลเซียม]] 140 มิลลิกรัม ส่วน[[กรมส่งเสริมการเกษตร ]]ระบุว่า ใบแมงลักให้พลังงาน 0.032 กิโลแคลอรี่ และมี[[วิตามินเอ]] 9,164 หน่วยสากล และ[[วิตามินบี2]] ประมาณ 0.14 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่ากะเพรา และโหระพา แต่แร่ธาตุอื่นๆ มีสูงกว่า เช่น มี[[ไขมัน]]สูงถึง 0.8 กรัม [[แป้ง]]มากถึง 11.1 กรัม แคลเซียม 350 มิลลิกรัม [[ฟอสฟอรัส]] 86 มิลลิกรัม [[เหล็ก]] 4.9 มิลลิกรัม [[วิตามินบี1]] 0.30 มิลลิกรัม และ [[วิตามินซี]] 78 มิลลิกรัม
ก็เป็นพืชผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่ง ที่ควรเป็นพืชสามัญประจำบ้าน เพราะเป็นพืชที่ขึ้นง่าย โตเร็ว วิธีปลูกกินก็แสนจะง่าย...
แค่เลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน(ตอนที่ซื้อมากิน) หลังจากริดใบไปแกงเลียง หรือทานกับขนมจีนแล้ว เอากิ่งนั้น ปักลงในกระถางใต้ชายคา หมั่นรดน้ำเป็นประจำ (แต่อย่าบ่อยเกิน เพราะไม่ชอบดินแฉะ) เท่านี้ ไม่กี่วันก็เก็บใบกินได้แล้ว
 
=== การเลือกพื้นที่ปลูก ===
แมงลักเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวไปได้เรื่อยๆ ทุก 15-20 วัน การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นที่ดอน แต่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถนำน้ำมาใช้รดได้สะดวก ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ปกติสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่แมงลักจะชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี ร่วนซุย ระบายน้ำดี อยู่ใกล้ที่พักอาศัย อยู่ไม่ไกลจากตลาดหรือแหล่งรับซื้อมากนัก และการคมนาคมสะดวกเพียง และ ต้องเพิ่มอีกหนึ่งข้อ คือต้องปลอดจากลมแรง
 
=== การปลูกขาย ===
สามารถปลูกได้โดยใช้กิ่งชำ หรือ ใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วย้ายปลูก เมื่อเมล็ดงอกขึ้นมาได้อายุ 1 เดือน ลงแปลงที่เตรียมดินไว้ ระยะระหว่างต้น และระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แต่ถ้าเมื่อถอนขึ้นมา ก่อน นำไปปลูกลงดิน ต้องตัดยอดทิ้งก่อน หรืออาจตัดออกครึ่งต้นก็ได้ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรตัดแต่งรากด้วย เพราะแมงลักที่ตัดแต่ง รากจะงอกงามกว่า แต่ทั้งนี้เวลานำไปปลูก ต้องรดน้ำด้วย ใช้ปลูก หลุมละ 2-3 ต้น เมื่อต้นแมงลักเติบโต แตกกิ่ง ก้านใบก็จะคลุมถึงกันหมด
แมงลักศรแดง มีความอ่อนแอมากกว่ากะเพราและโหระพา ดังนั้นการปลูกเพื่อจำหน่าย จำเป็นต้องดูแลเพิ่มขึ้นสักหน่อย
 
===การเลือกพื้นที่ปลูก===
=== การเตรียมดิน ===
แมงลักเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวไปได้เรื่อยๆ ทุก 15-20 วัน การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นที่ดอน แต่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถนำน้ำมาใช้รดได้สะดวก ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ปกติสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่จะชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ดีร่วนซุย ระบายน้ำดี อยู่ใกล้ที่พักอาศัย อยู่ไม่ไกลจากตลาดหรือแหล่งรับซื้อมากนัก และการคมนาคมสะดวกเพียง และ ต้องเพิ่มอีกหนึ่งข้อ คือต้องปลอดจากลมแรง
ไถดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 1-2 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาว ในอัตรา 100- 300 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม / ไร่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วยกแปลง ให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร
===การปลูก===
 
สามารถปลูกได้โดยใช้กิ่งชำ หรือ ใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วย้ายปลูก เมื่อเมล็ดงอกขึ้นมาได้อายุ 1 เดือน ลงแปลงที่เตรียมดินไว้ ระยะระหว่างต้น และระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แต่ถ้าเมื่อถอนขึ้นมา ก่อน นำไปปลูกลงดิน ต้องตัดยอดทิ้งก่อน หรืออาจตัดออกครึ่งต้นก็ได้ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรตัดแต่งรากด้วย เพราะแมงลักที่ตัดแต่ง รากจะงอกงามกว่า แต่ทั้งนี้เวลานำไปปลูก ต้องรดน้ำด้วย ใช้ปลูก หลุมละ 2-3 ต้น เมื่อต้นแมงลักเติบโต แตกกิ่ง ก้านใบก็จะคลุมถึงกันหมด
=== การเตรียมดินดูแลรักษา ===
ไถดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 1-2 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาว ในอัตรา 100- 300 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม / ไร่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วยกแปลง ให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร
===การดูแลรักษา===
ควรจะให้น้ำสม่ำเสมอ วันละ 1 ครั้ง ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หลังเพาะกล้า 7 วัน และครั้งที่2 ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 20-11-11 ในอัตรา 25-30 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากครั้งแรก 15 วัน
===การเก็บเกี่ยว===
ใช้มีดคมๆตัดกิ่งที่เจริญเติบโตเต็มที่ มัดแล้วนำไปจำหน่าย สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้งแต่ถ้ายังไม่มีผู้รับซื้อเกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวออกไปได้โดยการเด็ดยอดที่มีดอกทิ้ง จนถึงระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรจึงควรทำการถอนทิ้งเพื่อปลูกใหม่
 
=== การเก็บเกี่ยว ===
==แหล่งเพาะปลูกแมงลักเชิงการค้า ==
ใช้มีดคมๆตัดกิ่งที่เจริญเติบโตเต็มที่ มัดแล้วนำไปจำหน่าย สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้งแต่ถ้ายังไม่มีผู้รับซื้อเกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวออกไปได้โดยการเด็ดยอดที่มีดอกทิ้ง จนถึงระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรจึงควรทำการถอนทิ้งเพื่อปลูกใหม่
 
== แหล่งเพาะปลูกแมงลักเชิงการค้า ==
แหล่งเพาะปลูกแมงลักภายในประเทศไทย ให้ผลผลิตเพียง 112 กิโลกรัม ต่อพื้นที่เพียง 148 ไร่เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราส่วนผลผลิตต่อไร่ ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับกะเพรา และโหระพา
{{โครง-ส่วน}}
 
== อ้างอิง ==
* วีระศักดิ์ พักตรานวลหง. '''พืชผักตระกูลกะเพรา''' . กรุงเทพมหานคร . คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. ตุลาคม 2549
* บัญชีแนบท้ายประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง ทะเบียนพันธุ์พืชในประเทศไทย
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/แมงลัก"