ผู้ใช้:Meyscg/กระบะทราย

แบบจำลอง สปุตนิก 1

วิกฤตการณ์สปุตนิก เป็นช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวและความวิตกกังวลในชาติตะวันตกเกี่ยวกับความคัดแย้งทางเทคโนโลยีใหม่ของสหภาพโซเวียตจากการส่ง สปุตนิก 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลก[1]จากวิกฤติการณ์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติให้จัดตั้งองค์การนาซา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการแข่งขันกันการสำรวจอวกาศ ระหว่าง สหรัฐกับสหภาพโซเวียต

ภูมิหลัง

แก้
 
แบบจำลอง เอกซ์พลอเรอร์ 1

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เครื่องบินสอดแนม ยู-2ได้ให้ข้อมูลว่าสหรัฐฯมีข้อได้เปรียบในด้านการผลิตอาวุธนนิวเคลียร์มากกว่าสหภาพโซเวียต[2][3]อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบระบุเมื่อระหว่างปี พ.ศ.2505 - 2504 รายงานว่าสหภาพโซเวียตได้รับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และนักวิทยาศาสตร์ในด้านนี้จำนวนมากกว่าบุคลากรของสหรัฐ[4]การส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 เป็นการบอกว่าสหภาพโซเวียตได้ก้าวกระโดดไปทางเทคโนโลยีอย่างมาก ซึ่งเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ การกระตุ้นนี้ทำให้สหรัฐฯได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชาติ[2] ในปีพ.ศ.2499 ได้มีการพัฒนาจรวดจูโน 1โดยจะถูกนำไปใช้ส่งดาวเทียมเอกซ์พลอเรอร์ 1ในอนาคตซึ่งในเวลานั้นจรวดไม่ได้เป็นที่สนใจต่อสาธารณชนมากนัก[5]ซึ่งจรวดจูโน 1 นั้นได้พัฒนามาจาก ขีปนาวุธนำวิถีพิสัยกลาง พีจีเอ็ม-19 จูปิเตอร์ ของกองทัพบกสหรัฐ ตามคำสั่งของรัฐมนตรีกลาโหม ชาร์ลส์ เออร์วินวิลสัน ท่ามกลางการแข่งขันการพัฒนากับ พีจีเอ็ม-17 ธอร์ ของกองทัพอากาศสหรัฐ[5]

การปล่อยดาวเทียม

แก้

สหภาพโซเวียตใช้เทคโนโลยีขีปนาวุธข้ามทวีปในการส่ง สปุตนิก 1 ขึ้นสู่อวกาศ เรื่องนี้ทำให้โซเวียตได้รับชัยชนะในการโฆษณาชวนเชื่อทันทีถึงสองเรื่อง (เรื่องแรกสามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จและเรื่องที่สองเป็นพิสูจน์ประสิทธิภาพของขีปนาวุธข้ามทวีปของตน)[6] สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าโซเวียตมีจรวดที่สามารถส่งอาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซียไปยังยุโรปตะวันตกและแม้แต่ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งทำให้ดินแดนสหรัฐอเมริกาที่ความมั่นคงทางจุดยุทธศาสตร์ปลอดภัยจากจากสงครามยุโรปดูจะหมดไปอย่างสิ้นเชิ้ง

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์สปุตนิก คือโซเวียตไม่ยอมปล่อยภาพดาวเทียมมา 5 วันหลังจากการการปล่อยดาวเทียม[6] รวมถึงตำแหน่งที่อยู่ของมันยังคงเป็นปริศนาสำหรับชาวอเมริกัน ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือน้ำหนักของสปุตนิก 1 อยู่ที่ 184 ปอนด์ (83 กก.) เมื่อเทียบกับดาวเทียมต้นแบบตัวแรกของสหรัฐฯ 21.5 ปอนด์ (9.8 กิโลกรัม)[6]ชาวอเมริกันหลายคนสงสัยต่อการกระทำของสหภาพโซเวียตในครั้งนี้ จรวดของสหรัฐในขณะนั้นมีกำลังถึง 150,000 ปอนด์ (670,000 นิวตัน) ทางสหรัฐได้คำนวณวา่จรวดโซเวียตในการส่งสปุตนิกสู่อวกาศน่าจะสร้างกำลังได้ถึง200,000 ปอนด์ (890,000 นิวตัน) ในความเป็นจริงจรวดอาร์-7 ที่เปิดตัวในการส่งสปุตนิกสู่อวกาศนั้นสามารถสร้างกำลังได้เกือบ 1,000,000 ปอนด์ (4,400,000 นิวตัน)[6]ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้การรับรู้ของชาวอเมริกันว่าพวกเขาตามหลังโซเวียตในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเป็นอย่างมาก

หลังจาก1ชั่วโมงในการส่งดาวเทียม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ได้ใช้เครื่องอินเตอร์เฟอโรเมทรีในติดตามสัญญาณจากดาวเทียม[1] โดนัลด์ บี กิลลีส์ และ จิม ซไนเดอร์ ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไอแอลแอลไอเอซี 1 ในการคำนวณหาวงโคจรดาวเทียม การเขียนโปรแกรมและการคำนวณเสร็จสิ้นภายในไม่ถึงสองวัน ข้อมูลวงโคจรได้แพรอย่างรวดเร็วในวารสาร เนเจอร์ ภายในหนึ่งเดือนหลังจากการปล่อยดาวเทียม[7]นอกจากช่วยขจัดความตื่นตระหนกเรื่องดาวเทียมสปุตนิก และความคิดการเข้ายึดครองอวกาศของโซเวียตด้วยสปุตนิก[8]

การประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมสปุตนิก 1 และความล้มเหลวทั้ง 2 ครั้งของโครงการแวนการ์ด สหรัฐได้รับรู้ว่าถึงภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียต จรวดอาร์-7ใน การปล่อยดาวเทียมสปุตนิก 1 สามารถที่จะส่งหัวนิวเคลียร์ที่ใดก็ได้ในโลกในเวลาไม่กี่นาทีซึ่งทำให้ทวีปอเมริกาเหนือไม่ปลอดภัยแม้ได้รับการป้องกันจากมหาสมุทรที่ห่างจากยุโรปก็ตาม

ปฏิกิริยาของไอเซนฮาวร์

แก้

ห้าวันหลังจากการปล่อยดาวเทียม สปุตนิก 1 ไอเซนฮาวร์ได้แถลงการณ์แก่สาธารณชนชาวสหรัฐอเมริกา หลังจากถูกถามโดยผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่องภัยคุมคามของดาวเทียมรัสเซีย ไอเซนฮาวร์กล่าวว่า "ตอนนี้ ดาวเทียมมันห่างไลกจากความกังวลฉันและมันไม่สามารถเพิ่มความวิตกให้ฉันแม้แต่น้อยนิดเดียว "[6]

ไอเซนฮาวร์ได้แถลงว่า สปุตนิก 1เป็นเพียงผลงานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นไม่ใช่เป็นภัยคุกคามทางทหารหรือการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจของโลก ไอเซนฮาวร์เชื่อว่าสปุตนิก "มันไม่มีความสำคัญทางทหารที่ยิ่งใหญ่และนั่นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมองมันในมุมให้เหมาะสม"[6]

ในปีพ.ศ.2501 ไอเซนฮาวร์ประกาศว่า "ข้อเท็จจริงที่สำคัญ" สามข้อที่สหรัฐฯจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียต:

  • สหภาพโซเวียตได้คุกคามสหรัฐอเมริกาและ "โลกเสรี" ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอวกาศ
  • ในกรณีที่สหภาพโซเวียตใช้วิธีในการรักษาความเหนือกว่าด้วยการบ่อนทำลายศักดิ์ศรีและความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ
  • ในกรณีที่สหภาพโซเวียตพยามเป็นชาติแรกที่ใช้วิธีทางทหารในอวกาศ ในการพยายามปั่นทอนอำนาจ ซึ่งนั่นมันเป็นภัยคุกคามทางทหารโดยตรงต่อสหรัฐฯ[9]

ไอเซนฮาวร์พูดนี้โดยบอกว่าสหรัฐฯจำเป็นเผชิญหน้าหากพยายามคุมคาม "ความมั่งคั่งและความอำนาจ"[9] ความพยามยามในการสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของไอเซนฮาวร์ได้ ไม่เพียงพอเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นจากการสืบราชการลับ[9] เช่นนี้ เขาจึงล้มเหลวที่จะระงับตื่นตระหนกเรื่องอำนาจระหว่างชาวอเมริกันและโซเวียต[9]การรับรู้ว่าโซเวียตทันสมัยกว่าทำให้ชาวอเมริกันมองว่า ไอเซนฮาวร์นั้่นเป็นพวกล่าหลัง [10] การปล่อยดาวเทียม สปุตนิก 1 ยังส่งผลกระทบต่อคะแนนความนิยมของไอเซนฮาวร์ลดลง[6]

สื่อและอิทธิพลทางการเมือง

แก้
 
แสตมป์โซเวียตแสดงถึงการโคจรรอบโลกของ สปุตนิก

สื่อกระตุ้นความตื่นตระหนกด้วยการเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันสองแรกหลังจากเหตุการณ์ นิวยอร์กไทมส์ได้เสนอว่า สปุตนิก 1 เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่สำคัญและชัยชนะของคอมมิวนิสต์รัสเซีย [11] ไม่นานผู้คนในสหรัฐฯก็ได้รับรายงานข่าวมากมายจนคนทั้งประเทศตกตะลึง[11]สื่อไม่เพียง แต่สร้างความกังวลแก่สาธารณชนเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดอาการฮิสทีเรียอีกด้วย[11]สื่อได้สร้างข่าวจนเกินไปเพื่อประโยชน์ของสื่อเองในการขาย[11] เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2500 นักวิทยาศาสตร์ Arthur C. Clarke กล่าวว่าในวันที่สปุตนิกโคจรรอบโลก สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจอันดับที่สอง[11]

นักการเมืองใช้เหตุการณ์เพื่อเพิ่มคะแนนในการเลือกตั้ง [6]การวิจัยและพัฒนาใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อทาวงการเมืองและสภาคองเกรสใช้งบประมาณสูงในการแก้ปัญหาเทคโนโลยีของอเมริกา [10] หลังจากการการส่ง สปุตนิก 1 ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประเมินความแข็งแกร่งของจรวดในปัจจุบันของสหรัฐกับศักยภาพของสหภาพโซเวียตซึ่งเกินความคาดหมายซึ่งส่งผลให้รัฐสภาและผู้บริหารระดับสูงเป็นกังวล [11] เมื่อถูกประเมิน ไอเซนฮาวร์ถูกบังคับให้เร่งรัดในการแข่งขันพัฒนาขีปนาวุธเพื่อแสดงถึงความปลอดภัยของอเมริกา[11] สปุตนิก กระตุ้นสภาคองเกรสในการดำเนินการเพื่อปรับปรุงวิทยาการของสหรัฐอเมริกา

โซเวียตก็มีส่วนได้เปรียบทางการเมืองด้วยเช่นกัน นิกิตา ครุสชอฟผู้นำสหภาพโซเวียตได้กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า "มันเป็นการดีที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะว่าเราสามารถบินได้ทุกหนทุกแห่งด้วยขีปนาวุธของเราแม้จะมีรัศมีการทำลายล้างสูงที่เกิดจากขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเรา มันยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จกับสิ่งนั้้น"[6] ในเวลานั้นครุชชอฟระบุด้วยว่า "ศัตรูที่อาจเกิดขึ้นจากความหวาดกลัว" [6] นักวิเคราะห์ทางการเมืองSamuel Lubell ทำการวิจัยเกี่ยวกับความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับ สปุตนิก และพบว่า "ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือฮิสทีเรียแก่ประชาชน" ยืนยันว่าเป็นส่วนใหญ่ไม่ความตื่นตระหนกกับเรื่องนี้[11]

การตอบสนอง

แก้

การเปิดตัวดังกล่าวเป็นการกระตุ้นความคิดริเริ่มต่างๆของสหรัฐ[12] ตั้งแต่การป้องกันจนถึงการศึกษา เน้นการสนับสนุนกองทัพเรือในโครงการแวนการ์ดเพื่อส่งดาวเทียมอเมริกันขึ้นไปในวงโคจร ทางกองทัพก็มีโครงการเอกซ์พลอเรอร์ซึี่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการส่งดาวเทียมอเมริกัน เอกซ์พลอเรอร์ 1เข้าสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2501 ทำให้สหรัฐฟื้นตัวได้อีกครั้ง[13] ในเดือนกุมภาพันธ์ 1958 ไอเซนฮาวร์ได้จัดตั้งโครงการวิจัยขั้นสูงซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงของกระทรวงกลาโหม (DARPA) ภายในกระทรวงกลาโหม (DoD) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับกองทัพสหรัฐ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2501 ไอเซนฮาวร์ได้ลงนามใน พระราชบัญญัติการบินและอวกาศแห่งชาติ และก่อตั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา(NASA)[12]

ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากส่ง สปุตนิก สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการศึกษาเพื่อการป้องกันประเทศ (NDEA) ตลอดโครงการสี่ปีมีการสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบการศึกษาของสหรัฐ ในปีพ.ศ.2496 รัฐบาลได้ใช้เงินจำนวน 153 ล้านเหรียญและวิทยาลัยได้รับเงินทุนจำนวน 10 ล้านเหรียญ แต่ต่อมาในปีพ.ศ.2503 การระดมทุนสนับสนุนเพิ่มเกือบหกเท่าเนืองจากพระราชบัญญัติ[14] หลังจากที่ประชาชนตื่นตระหนก การแข่งขันสำรวจอวกาศก็เริ่มต้นขึ้นนำไปสู่การส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ โครงการอะพอลโลและมนุษย์คนแรกเหยียบดวงจันทร์ในปี ในปีพ.ศ.2512[15]

วิกฤตการณ์สปุตนิกๆด้กระตุ้นให้สหรัฐไปสู่การสำรวจอวกาศจากโซเวียตและขับเคลื่อนไปถึงการมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ [9]

ในที่อื่นๆ

แก้

ในสหราชอาณาจักรการส่ง สปุตนิก ได้สร้างความประหลาดใจรวมกับความปีติยินดีแก่การเริ่มต้นของยุคสำรวจอวกาศ นอกจากนี้ยังกระตุ้นความเศร้าใจเพราะมันเป็นการบอกถึงประชาชนว่าเราได้สูญเสียศักดิ์ศรีและอำนาจในเวทีโลก วิกฤตการณ์นี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นที่กว้างขึ้น[16] ความกังวลของประชาชนยังไม่ได้หายไปไหนเพราะต่อมาสหภาพโซเวียตได้ส่ง ไลกา (หนึ่งในสุนัขที่ถูกส่งเข้ามาในอวกาศในช่วงปีทศวรรษ 1950 ถึง 1960) ขึ้นสู่อวกาศในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2500 เป็นลูกเร่ือของ สปุตนิก 2 ซึ่งเป็นภัยคุกคามน้อยลงและุเป็นการวางแผนการโฆษณาชวนเชื่อมากขึ้น[10]

  1. 1.0 1.1 "Some History of the Department of Astronomy". University of Illinois at Urbana-Champaign. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 May 2007.
  2. 2.0 2.1 Kay, Sean (April–May 2013). "America's Sputnik Moments". Survival. doi:10.1080/00396338.2013.784470.
  3. https://books.google.com/books?id=BHtF_PVzL2gC&pg=PA55&lpg=PA55&dq=u2+intelligence+supremacy&source=bl&ots=DyIN5u0MYg&sig=Y3ghEubrnv-ccZgrn6R22237Z10&hl=en&sa=X&ved=0ahUKEwjey9eylK7RAhXCMGMKHV4FDSYQ6AEIGjAA#v=onepage&q=u2%20intelligence%20supremacy&f=false
  4. Kaiser, David (2006). "The Physics of Spin: Sputnik Politics and American Physicists in the 1950s". Social Research.
  5. 5.0 5.1 Macdougall, Ian (August 15, 2016). "The Leak Prosecution That Lost the Space Race". The Atlantic.
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 Mieczkowski, Yanek (2013). Eisenhower's Sputnik Moment: The Race for Space and World Prestige. United States of America: Cornell University Press. p. 11. ISBN 978-0-8014-5150-8.
  7. King, I. R.; McVittie, G. C.; Swenson, G. W.; Wyatt, S. P. (9 November 1957). "Further observations of the first satellite". Nature (4593): 943. Bibcode:1957Natur.180..943K. doi:10.1038/180943a0.
  8. Isachenkov, Vladimir (1 October 2007). "Secrets of Sputnik Launch Revealed". USA Today. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 February 2014. สืบค้นเมื่อ 13 February 2014.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 Peoples, Columba (2008). "Sputnik and 'Skill Thinking' Revisited: Technological Determinism in American Responses to the Soviet Missile Threat". Cold War History.
  10. 10.0 10.1 10.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :3
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 McQuaid, Kim (2007). "Sputnik Reconsidered: Image and Reality in the Early Space Age". Canadian Review of American Studies.
  12. 12.0 12.1 History Channel (2012a).
  13. Schefter (1999), pp. 25–26.
  14. Layman & Tompkins (1994), p. 190.
  15. DeNooyer (2007).
  16. Barnett, Nicholas (2013). "Russia Wins Space Race: The British Press and the Sputnik Moment, 1957". Media History. 19 (2): 182–195. doi:10.1080/13688804.2013.791419.