ธรรมทายาทสูตร
ธรรมทายาทสูตร หรือ ธัมมทายาทสูตร เป็นพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก หมวดมัชฌิมนิกาย หมวดมูลปัณณาสก์ อยู่ในวรรคคือ มูลปริยายวรรค สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ แก่พระภิกษุทั้งหลาย ณ วัดเชตวันมหาวิหาร ที่สร้างโดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีในนครสาวัตถี โดยสมเด็จพระบรมศาสนาทรงสั่งสอนด้วยความเอ็นดู ให้ภิกษุทั้งหลายเป็นธรรมทายาทของพระองค์ อย่าได้เป็นอามิสทายาทของพระองค์ จากนั้น พระสารีบุตร อัครสาวกได้แสดงธรรมต่อถึงหนทางในการปฏิบัติธรรม เพื่อยังให้เกิดความสงัดขึ้นแก่ตน และอริยมรรคมีองค์ 8 อันเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ [1]
ที่มา
แก้ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ได้พรรณนาเหตุเกิดขึ้นของพระสูตรนี้ว่า มหาชนได้ถวายสักการะลาภสักการะเป็นอันมากเแก่พระพุทธองค์ อันเป็นอานิสงส์ที่พระศาสดาได้ทรงสั่งสมทานบารมี ให้บริบูรณ์แล้ว ตั้ง 4 อสงไขย บรรดาพระภิกษุทั้งหลายก็พลอยได้รับลาภสักการะนั้นด้วย [2]
อย่างไรก็ตาม เมื่อภิกษุบางประเภทได้รับอานิสงส์จากการที่มหาชนถวายสักการะพระศาสดา จนกลายเป็นผู้ติดในปัจจัย แต่โดยที่พระตถาคตไม่สามารถจะบัญญัติสิกขาบท ห้ามว่าปัจจัยเป็นของไม่สมควร จึงทรงแสดงธรรมทายาทปฏิปทา ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบทแห่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ใคร่ต่อการศึกษา [3]
โดยตรัสยกตัวอย่างว่า พระองค์ฉันพระกระยาหารเหลือ ภิกษุ ๒ รูปหิวเป็นกำลังมาเฝ้าพระองค์ก็ทรงอนุญาตว่า ถ้าจะฉันก็ฉันได้ ถ้าไม่ฉันก็จะทรงเททิ้ง พระภิกษุรูปหนึ่งทนหิว ไม่ฉัน ด้วยระลึกถึงพระพุทธพจน์ที่ให้รับมรดกธรรม ไม่รับมรดกอามิส แต่อีกรูปหนึ่งฉันอาหารที่เหลือนั้น พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ทรงสรรเสริญภิกษุที่ยอมหิวมากกว่า [4]
เนื้อความโดยย่อ
แก้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท อย่าเป็นอามิสทายาท ของเราตถาคตเลย" [5] จากนั้น พระสารีบุตรได้แจกแจงต่อจากพระศาสดาว่า ภิกษุผู้เป็นอามิสทายาท ย่อมถูกตำหนิด้วยเหตุ 3 ประการ คือ 1.ไม่ศึกษาความสงัดตามพระศาสดา 2.ไม่ละธรรมที่พระศาสดาตรัสให้ละ 3. มักมาก ย่อหย่อน ตกอยู่ในอำนาจนิวรณ์ 5 [6] ภิกษุผู้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดา ได้รับสรรเสริญ 3 ประการ คือ 1. ศึกษาความสงัด ตามพระศาสดา 2.ละธรรมที่พระศาสดาตรัสให้ละ 3.ไม่มักมากในลาภ ไม่เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่ตกอยู่ในอำนาจนิวรณ์ 5 (ธรรมทายาทสูตร) 17/207/14 [7] ธรรมอันลามกได้แก่ โลภะ โทสะ ผูกโกรธ ริษยา ตระหนี่ มายาโอ้อวด หัวดื้อ แข่งดี ถือตัว ดูหมิ่น มัวเมา เลินเล่อ ภิกษุอาศัยข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อละธรรมอันลามกเหล่านั้น [8]
อ้างอิง
แก้- ↑ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร หน้า 202 - 210
- ↑ พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย. ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย, ธรรมทายาทสูตร หน้า 211
- ↑ พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย. ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย, ธรรมทายาทสูตร หน้า 213
- ↑ สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550) หน้า 206 - 207
- ↑ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร หน้า 202
- ↑ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร หน้า 206
- ↑ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร หน้า 207
- ↑ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร หน้า 209
บรรณานุกรม
แก้- พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย. พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1, ธรรมทายาทสูตร
- พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย. ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1,
- สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550). พระไตรปิฎกฉบับประชาชน. กรุงเทพมหานคร. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม.