ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ค.ศ. 1315–1317
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ค.ศ. 1315–1317 (บางครั้งเป็นปี ค.ศ. 1315–1322) เป็นเหตุการณ์แรกในชุดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทวีปยุโรปต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทุพภิกขภัยครั้งนี้กระทบหลายพื้นที่ในยุโรป โดยทางตะวันออกไปจนถึงรัสเซียและทางใต้ไปถึงอิตาลี[1] ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากตลอดหลายปี และเป็นจุดสิ้นสุดของช่วงเวลาเติบโตและรุ่งเรืองนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11–13[2]
ทุพภิกขภัยครั้งนี้เริ่มจากสภาพอากาศที่เลวร้ายในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1315 ทำให้พืชผลเสียหายตลอดปี ค.ศ. 1316 ก่อนจะสิ้นสุดลงเมื่อมีเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1317 แต่กระนั้นยุโรปก็ไม่อาจฟื้นตัวอย่างเต็มที่จนถึงปี ค.ศ. 1322 ทุพภิกขภัยร่วมกับปัญหาโรคปศุสัตว์ทำให้จำนวนสัตว์ลดลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังเพิ่มระดับการเกิดอาชญากรรม การเสียชีวิตหมู่ โรคภัย การกินพวกเดียวกันเอง และการฆ่าทารกให้สูงขึ้นอย่างมาก ทุพภิกขภัยครั้งนี้ส่งผลต่อคริสตจักรโรมันคาทอลิก สังคมยุโรป และภัยพิบัติที่ตามมาในคริสต์ศตวรรษที่ 14
การศึกษาพบว่าทุพภิกขภัยครั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการปะทุของภูเขาไฟ[3] โดยเฉพาะภูเขาไฟตาราเวราในนิวซีแลนด์ที่ปะทุในปี ค.ศ. 1315[4][5]
เหตุการณ์
แก้ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1315 เกิดฝนตกหนักหลายพื้นที่ในยุโรปและตกต่อเนื่องตลอดฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน ทำให้อากาศเย็นจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวและไม่มีหญ้าแห้งสำหรับปศุสัตว์ พื้นที่ต่ำในยอร์กเชอร์และนอตทิงแฮมในอังกฤษเผชิญกับน้ำท่วม ทำให้สระเลี้ยงปลาใกล้อาราม (stew pond) เสียหาย[6] ราคาอาหารจึงเพิ่มสูงขึ้น โดยราคาอาหารในอังกฤษเพิ่มเป็นสองเท่าช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงกลางฤดูร้อน เกลือซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ถนอมอาหารหาได้ยากเนื่องจากน้ำเกลือระเหยได้ไม่ดีในสภาพอากาศชื้น ราคาเกลือจึงเพิ่มขึ้นจาก 30 ชิลลิงเป็น 40 ชิลลิง[7] ในโลทริงเงิน ราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้นถึง 320 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชาวนาไม่สามารถซื้อหาขนมปังได้ ชนชั้นสูง ขุนนาง พ่อค้าที่ร่ำรวยและนักบวชเริ่มกักตุนเมล็ดพืช ภาวะขาดแคลนอาหารร่วมกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น บังคับให้ผู้คนเริ่มหาพืชผลจากในป่า[7]
มีบันทึกหลายแห่งบรรยายถึงทุพภิกขภัยครั้งนี้ เช่น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษหยุดพักที่เมืองเซนต์ออลบันส์ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1315 และประสบปัญหาไม่มีขนมปังสำหรับพระองค์และผู้ติดตาม ถือเป็นช่วงเวลาไม่กี่ครั้งที่กษัตริย์แห่งอังกฤษไม่มีอาหารเสวย[8] ขณะที่บันทึกของเมืองบริสตอลระบุว่าในปี ค.ศ. 1315 เกิด "ทุพภิกขภัยที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก จนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่พอฝังร่างผู้เสียชีวิต มีการกินเนื้อม้าและสุนัข บางส่วนก็กินเนื้อลูกหลานตนเอง รวมถึงเนื้อพวกโจรในคุก"[9]
ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1316 ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและประชาชนทุกชนชั้นได้รับผลกระทบจากอาหารกักตุนที่กำลังจะหมด โดยเฉพาะชาวนาที่คิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดและไม่มีอาหารสำรอง[10] มีความพยายามหลายอย่างในการบรรเทาปัญหา เช่น ฆ่าสัตว์ที่ใช้ลากจูง กินเมล็ดพืช ทอดทิ้งเด็ก ๆ เพื่อไม่ให้ตนเองอดตาย หรือคนชราปฏิเสธอาหารเพื่อให้คนหนุ่มสาวได้กิน[10] ทุพภิกขภัยถึงจุดสูงสุดเมื่ออากาศยังคงชื้นในปี ค.ศ. 1317 ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในช่วงฤดูร้อนปีนั้น ผู้คนต่างเหนื่อยล้าจากโรคภัยและการขาดแคลนอาหารอย่างหนักจนต้องล่วงเข้าปี ค.ศ. 1325 ที่สถานการณ์กลับมาเป็นปกติและระดับประชากรเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงถึงยอดผู้เสียชีวิต แต่มีการประมาณว่ามีประชากร 10–25 เปอร์เซ็นต์ตามเมืองต่าง ๆ เสียชีวิต[11]
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
แก้ทุพภิกขภัยครั้งนี้ส่งผลต่อยุโรปเหนือ รวมถึงบริติชไอลส์ ฝรั่งเศสตอนเหนือ กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ สแกนดิเนเวีย เยอรมนี และทางตะวันตกของโปแลนด์[12] นอกจากนี้ยังกระทบบางส่วนของรัฐบอลติก (ยกเว้นรัฐบอลติกทางตะวันออกไกลที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม)[12] แถบเทือกเขาแอลป์ และเทือกเขาพิรินี
อ้างอิง
แก้- ↑ Lucas, Henry S. (October 1930). "The great European Famine of 1315, 1316, 1317". Speculum. 5 (4): 343–377. doi:10.2307/2848143. JSTOR 2848143.
- ↑ W. Mark Ormrod (2008). "England: Edward II and Edward III". ใน Michael Jones (บ.ก.). The New Cambridge Medieval History. Vol. 6. Cambridge University Press. p. 273.
- ↑ Cantor, Norman L. (2001). In the wake of the plague: the Black Death and the world it made. New York: Free Press. p. 74. ISBN 978-0-684-85735-0.
- ↑ Nairn I. A.; Shane P. R.; Cole J. W.; Leonard G. J.; Self S.; Pearson N. (2004). "Rhyolite magma processes of the ~AD 1315 Kaharoa eruption episode, Tarawera volcano, New Zealand". Journal of Volcanology and Geothermal Research. 131 (3–4): 265–94. Bibcode:2004JVGR..131..265N. doi:10.1016/S0377-0273(03)00381-0.
- ↑ Hodgson K. A.; Nairn I. A. (September 2005). "The c. AD 1315 syn-eruption and AD 1904 post-eruption breakout floods from Lake Tarawera, Haroharo caldera, North Island, New Zealand". New Zealand Journal of Geology and Geophysics. 48 (3): 491. doi:10.1080/00288306.2005.9515128.
- ↑ Lucas, Henry S. (1930). "The Great European Famine of 1315, 1316, and 1317". Speculum. 5 (4): 346. doi:10.2307/2848143. ISSN 0038-7134. สืบค้นเมื่อ 25 May 2021.
- ↑ 7.0 7.1 "Famine of 1315". Medieval Sourcebook. Fordham University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 August 2011. สืบค้นเมื่อ 1 November 2010.
- ↑ Warner, Kathryn (28 January 2009). "Edward II: The Great Famine, 1315 to 1317". Edward II. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2011. สืบค้นเมื่อ 1 November 2010.
- ↑ Evan T. Jones (ed.), 'Bristol Annal: Bristol Archives 09594/1' (Bristol Record Society, 2019), https://www.bristol.ac.uk/Depts/History/bristolrecordsociety/publications/BA09594-1transcription.pdf
- ↑ 10.0 10.1 Nelson, Dr. Lynn H. "The Great Famine and the Black Death 1315–1317, 1346–1351". Lectures in Medieval History. WWW Virtual Library. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2011. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
- ↑ Ruiz, Teofilo F. (January 1, 1996). Medieval Europe: Crisis and Renewal. An Age of Crisis: Hunger. The Teaching Company. ISBN 978-1-56585-710-0.
- ↑ 12.0 12.1 Jordan, William C. (1996). The Great Famine. Princeton, NJ: Princeton University Press. ISBN 978-1-4008-0417-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 August 2017. สืบค้นเมื่อ 29 August 2017.