ชาตกัฏฐกถา
ชาตกัฏฐกถา เป็นอรรถกถาของชาดก ประกอบไปด้วยคาถา หรือร้อยแก้วอันเป็นต้นเรื่องของชาดก จากนั้นพรรณานาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับชาดกในรูปของร้อยแก้ว แต่ละเรื่องมีการระบุถึงต้นเค้า และบริบทแวดล้อมของชาดกเรื่องนั้น แต่หลังจากจบเรื่องแล้วจะมีการระบุถึงบุคคลที่ปรากฏกในชาดกนั้นว่า เป็นบุคคลใดบ้างในสมัยพุทธกาล เช่น พระโคตมพุทธเจ้า เป็นต้น โดยพระเถระผู้รจนาชาตกัฏฐกถาได้เท้าความพุทธประวัติทั้งก่อนทรงประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะจนถึงขณะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้ในตอนต้นเรื่องอรรถกถาฉบับนี้ เรียกว่า นิทานกถา [1]
ผู้แต่ง
แก้บางกระแสเชื่อกันว่า ชาตกัฏฐกถาเดิมรจนาเป็นภาษาบาลี แต่ต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาสิงหล ส่วนต้นฉบับภาษาบาลีได้สูญหายไปในเวลาต่อมา ทว่าพระพุทธโฆสะได้เดินทางมายังสิงหลทวีป เพื่อทำการแปลชาตกัฏฐกถา และอรรถกถาอื่น ๆ กลับเป็นภาษาบาลีอีกครั้ง เมื่อราว พ.ศ. 1000 [2] และได้รับการสืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ โดยแหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่า พระเถระแต่งตามคำอาราธนาของพระอัตถทัสสี พระพุทธมิตตะและพระพุทธปิยะ [3]
อย่างไรก็ตาม มีกระแสถกเถียงเช่นกันว่า ผู้แปลและเรียบเรียงอรรถกถาเรื่องนี้อาจมิใช่พระพระพุทธโฆสะ และในชีวประวัติของพระพุทธโฆสะที่เขียนขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็ได้ละอรรถกถาฉบับนี้ไว้โดยไม่ระบุว่าเป็นผลงานของพระเถระแต่อย่างใด[4] [5] [6]
ในคัมภีร์จูฬคันถวงศ์ ซึ่งรวบรวมรายชื่อคัมภีร์และตำรับตำราทางพุทธศาสนา ได้ระบุชื่อคัมภีร์ชาตกัฏฐกถาไว้เป็นหนึ่งในผลงานของพระพุทธโฆสะ แต่คัมภีร์จูฬคันถวงศ์เป็นวรรณคดีบาลีแต่งขึ้นในพม่า ในช่วงหลัง (พุทธศตวรรษที่ 24) อีกทั้งข้อมูลที่ปรากฏสวนทางกับทัศนะของนักวิชาการในตะวันตกและนักวิชาการบางท่านในศรีลังกาโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ยอมรับว่า ชาตกัฏฐกถาเป็นผลงานของพระพุทธโฆสะ โดยเหตุผลสำคัญก็คือ ชาตกัฏฐกถาไม่ปรากฏลักษณะจำเพาะในงานรจนาของพระพุทธโฆสะ เช่นไม่ปรากฏนามของท่านในช่วงเกริ่นนำอรรถกถา นักวิชการบางท่านยังชี้ด้วยว่า ลักษณะภาษาที่ใช้ในอรรถกถาฉบับนี้ไม่เหมือนกับผลงานชิ้นอื่น ๆ ของพระพุทธโฆสะ [7]
ทั้งนี้ ในช่วงเกริ่นนำต่อจากประณามคาถาในชาตกัฏฐกถามีดังนี้ "ข้าพเจ้าอันผู้ที่เป็นนักปราชญ์ยิ่งกว่านักปราชญ์ผู้รู้อาคม[ปริยัติ] เป็นวิญญูชน มียศใหญ่ได้ขอร้องด้วยการ เอาใจแล้ว ๆ เล่า ๆ เป็นพิเศษว่า ท่านขอรับ ท่านควรจะแต่งอรรถกถาอปทาน [ชีวประวัติ] เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจักแสดงการพรรณนาเนื้อความอันงามแห่งพระบาลีในพระไตรปิฎกทีเดียว พร้อมทั้งชีวประวัติที่ยังเหลืออยู่ เรื่องราวอันดีเยี่ยมนี้ใครกล่าวไว้กล่าวไว้ที่ไหน กล่าวไว้เมื่อไรและกล่าวไว้เพื่ออะไรข้าพเจ้าจักกล่าวเรื่องนั้น ๆ แล้ว ก็มาถึงวิธีเพื่อที่จะให้ฉลาดในเรื่องนิทาน เพราะจะทำให้เล่าเรียนและทรงจำได้ง่ายขึ้นเพราะฉะนั้น เรื่องราวที่ท่านจัดให้แปลกออกไปตามที่เกิดก่อนและหลัง รจนาไว้ในภาษาสิงหลของเก่าก็ดี ในอรรถกถาของเก่าก็ดี เมื่อมาถึงวิธีนั้น ๆ แล้ว ย่อมไม่ให้สำเร็จประโยชน์ตามที่สาธุชนต้องการ เหตุนั้นข้าพเจ้าก็จักอาศัยนัยตามอรรถกถาของเก่านั้น เว้นไม่เอาเนื้อความที่ผิดเสีย แสดงแต่เนื้อความที่แปลกออกไป กระทำการพรรณนาเฉพาะแต่ที่แปลก ซึ่งดีที่สุดเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้" [8] ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับผลงานอื่น ๆ ของพระพุทธโฆสะ เช่น สุมังคลวิลาสินี หรือ ปปัญจสูทนี จะพบว่ามีความแตกต่างกันไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ชาตกัฏฐกถาจะถูกรจนาขึ้นโดยพระเถระรุ่นหลังพระพุทธโฆสะ ซึ่งน่าจะมีช่วงชีวิตอยู่ไม่ห่างจากยุคของพระพุทธโฆสะมากนัก คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 1100 นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ชาตกัฏฐกถาจะรจนาขึ้นในสิงหลทวีปโดยพระเถระชาวสิงหลทวีป [9]
เนื้อหา
แก้ชาตกัฏฐกถา ประกอบไปด้วยเนื้อหาประกอบคาถาชาดกจำนวน 547 คาถา บางแห่งอาจมีจำนวน 550 คาถา หรือ 500 คาถา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบประเทศที่นับถือพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า [10] โดยสัดส่วนแบ่งเป็น 10 ภาค คือภาคที่ 1 และ 2 อธิบายความในเอกนิบาต ภาคที่ 3 อธิบายความในทุกนิบาต ภาคที่ 4 อธิบายความในติกนิบาต จตุกกนิบาตและปัญจกนิบาต ภาคที่ 5 อธิบายความในฉักกนิบาต สัตตกนิบาต อัฏฐกนิบาต นวกนิบาตและทสกนิบาต ภาคที่ 6 อธิบายความในเอกาทสกนิบาตถึงปกิณณกนิบาต ภาคที่ 7 อธิบายความในวีสตินิบาตถึงจัตตาฬีสนิบาต ภาคที่ 8 อธิบายความในปัญญาสนิบาตถึงสัตตตินิบาต ภาคที่ 9 และ 10 อธิบายความในมหานิบาต[11]
โครงสร้างคร่าว ๆ เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์สมัยพุทธกาล โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกคาถาเกี่ยวกับชาดกขึ้นมา จากนั้นตามด้วยนิทาน หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตอันเกี่ยวข้องกับคาถาของชาดกนั้น เมื่อจบนิทานลงแล้วพระพุทธองค์จะทรงระบุตัวบุคคลในนิทานชาดกเรื่องนั้น ๆ ว่า บัดนี้ได้ถือกำเนิดเป็นบุคคลใดในยุคพุทธกาล ซึ่งมักจะรวมถึงพระองค์ พระญาติวงศ์ และพระสาวกองค์ต่าง ๆ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ ในอยู่ในยุคพุทธกาล [12] ซึ่ง กล่าวโดยสังเขปสามารถแบ่งออกเป็น 5 ส่วนดังนี้
- ปัจจุบันนวัตถุ เรื่องปัจจุบัน เริ่มต้นด้วยพวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรม ถึงเรื่องบุคคลและกรรมของเขาในชาดก พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเสด็จมาตรัสพระธรรมเทศนา
- อดีตวัตถุ เรื่องในอดีต พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องในอดีตของบุคคลนั้น ๆ
- คาถา จะมีทั้งในเรื่องปัจจุบันและอดีต
- เวยยากรณะ แปล อธิบาย ขยายความของคาถาชนิดคำต่อคำ
- สโมธาน ประมวลเรื่องหรือสรุปชื่อบุคคลในอดีตที่กลายมาเป็นชื่อบุคคลต่าง ๆ ในเรื่องปัจจุบัน รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย [13]
ลักษณะทางวรรณคดี
แก้แม้ว่า ชาตกัฏฐกถาจะถือเป็นคัมภีร์อรรถกถาฉบับหนึ่ง แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างจากอรรถกถาอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นอรรถาธิบายและให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ชาตกัฏฐกถาจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาธรรมบท ในขุททกนิกาย และปรมัตถทีปนี อรรถกถา วิมานวัตถุ-เปตวัตถุ ในขุททกนิกาย ซึ่งประะกอบไปด้วยร้อยกรอง หรือคาถา ตามด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้อง [14]
ชาตกัฏฐกถานับเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าหรือนิทานี่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาที่มีความครอบคลุมที่สุด มีการเล่าตำนาน หรือมหากาพย์เกี่ยวกับวีรบุรุษ หรือมหาราชในอดีต จัดเป็นวรรณคดีโบราณของอินเดียที่เรียกว่า "อาขยาน" ซึ่งมีความเชื่อมโยงไปถึงวรรณคดีฮินดูหมวดพราห์มนะ หรืออรรถกถาพระเวท แต่ชาดกของพุทธศาสนาได้พัฒนาจนมีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง [15]
เรื่องราวที่ปรากฏในอรรถกถาชาดก นอกจากได้ประมวลอรรถกถาเก่า ๆ ในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้จากวรรณคดีเก่าแก่ในศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน เป็นต้น รวมทั้งประมวลเรื่องต่าง ๆ จากดินแดนหลายแห่งด้วย เช่น กรีก และเปอเซียร์ เป็นต้น [16] นิทานบางเรื่องที่ปรากฏในอรรถกถานี้ ยังแพร่หลายในอินเดียมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 2 อีกทั้งยังปรากฏในวรรณคดีโบราณของอินเดีย เช่น ตันตระขยายิกะ, ปัญจะตันตระ และในหิโตปเทศ[17]
อ้างอิง
แก้- ↑ G.P. Malalasekera. (2007). หน้า 951 - 952
- ↑ Amaresh Datta (Editor) 1810
- ↑ วรรณคดีบาลี. หน้า 76
- ↑ ดู Pali Literature Of Ceylon หน้า 123
- ↑ ดู Bimala Charan Law. (1923). หน้า 80
- ↑ Bimala Charan Law. (2002). หน้า 468
- ↑ Amaresh Datta (Editor). (1988). 1810
- ↑ ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก เอกนิบาต หน้า 3 - 4
- ↑ Amaresh Datta (Editor). (1988). 1810
- ↑ Juliane Schober. (2002). หน้า 22
- ↑ วรรณคดีบาลี. หน้า 76
- ↑ Juliane Schober. (2002). หน้า 22
- ↑ วรรณคดีบาลี. หน้า 76-77
- ↑ Amaresh Datta (Editor). (1988). 1810
- ↑ Amaresh Datta (Editor). (1988). 1810
- ↑ วรรณคดีบาลี. หน้า 77
- ↑ Amaresh Datta (Editor). (1988). 1810
บรรณานุกรม
แก้- Bimala Charan Law. (1923). The Life and Work of Buddhaghosa. Calcutta : Thacker, Spink & Co.
- คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2550). วรรณคดีบาลี. กรุงเทพฯ. กองวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
- ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี. ประวัติพระพุทธโฆษาจารย์. ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์. มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
- พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย. ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก เอกนิบาต พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1
- G. P. Malalasekera. (2010). Pali Literature Of Ceylon. Delhi. Bharatiya Kala Prakashan
- Juliane Schober. (2002). Sacred Biography in the Buddhist Traditions of South and Southeast Asia. Delhi. Motilal Banarsidass
- Amaresh Datta (Editor). (1988). Encyclopaedia of Indian Literature: Devraj to Jyoti. Columbia. South Asia Books.
- G.P. Malalasekera. (2007). Dictionary of Pali Proper Names Volume 1. Delhi. Motilal Banarsidass.
- Bimala Charan Law. (2002). A History of Pali Literature. Varanasi. Indica Books.