จักรพรรดินีโซอี พอร์ฟีโรเกนิตา
โซอี พอร์ฟีโรเกนิตา (กรีก: Ζωή แปลว่า "ชีวิต" Medieval Greek: [zo'i]; ราวค.ศ. 978 – 11 มิถุนายน ค.ศ. 1050) พระนางครองราชย์เป็นจักรพรรดินีพระประมุขแห่งไบแซนไทน์ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1028 จนกระทั่งสวรรคตในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1050 พระนางทรงปกครองเคียงข้างพระราชสวามีทั้งสามพระองค์ และพระราชโอรสบุญธรรม คือ จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 คาลาฟาเตส และพระขนิษฐาคือ จักรพรรดินีธีโอโดรา พอร์ฟีโรเกนิตา จักรพรรดินีโซอีทรงกุมพระราชอำนาจที่แท้จริงร่วมกับจักรพรรดินีธีโอโดราเพียงแค่สองเดือนในช่วงเมษายนและมิถุนายน ค.ศ. 1042
จักรพรรดินีโซอี พอร์ฟีโรเกนิตา | |
---|---|
![]() ภาพโมเสกของจักรพรรดินีโซอีในฮายาโซฟีอา | |
จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ | |
ครองราชย์ | 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1028 – 11 มิถุนายน ค.ศ. 1050 (21 ปี 212 วัน) |
ก่อนหน้า | คอนสแตนตินที่ 8 |
ถัดไป | คอนสแตนตินที่ 9 และธีโอโดรา |
พระประมุขร่วม | ดูรายชื่อ
|
คู่อภิเษก | จักรพรรดิโรมานอสที่ 3 (แต่ง 1028; ตาย 1034) จักรพรรดิมิคาเอลที่ 4 (แต่ง 1034; ตาย 1041) จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 (แต่ง 1042) |
พระราชบุตร | จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 (โอรสบุญธรรม) |
ราชวงศ์ | มาซิโดเนียน |
พระราชบิดา | จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 |
พระราชมารดา | เฮเลนา |
ประสูติ | ราวค.ศ. 978 คอนสแตนติโนเปิล |
สวรรคต | 11 มิถุนายน ค.ศ. 1050 (72 ปี) คอนสแตนติโนเปิล |
ฝังพระศพ | คอนสแตนติโนเปิล[1] |
เจ้าหญิงโซอีทรงเป็นพระราชธิดาองค์รองในจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิร่วมกับพระเชษฐาคือ จักรพรรดิบาซิลที่ 2 จักรพรรดิบาซิลสวรรคตขณะเจ้าหญิงโซอีมีพระชนมายุ 47 พรรษา ราชบัลลังก์ไบแซนไทน์จึงตกแก่พระราชชนกของพระนางเพียงผู้เดียว จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 ไม่ทรงมีพระราชโอรส พระองค์ทรงหวังให้ราชวงศ์ยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยพยายามให้พระราชธิดาอภิเษกสมรส เจ้าหญิงโซอีทรงมีพระชนมายุ 50 พรรษาแล้ว ต้องทรงเสกสมรสกับโรมานอส อาร์กีรอส ขุนนางอาวุโส
โซอีและพระราชสวีได้ครองบัลลังก์ในอีกสามวันต่อมาหลังจากพระราชชนกสวรรคต ชีวิตสมรสเต็มไปด้วยปัญหาและหลังจากนั้นห้าปี จักรพรรดิโรมานอสที่ 3 ถูกพบว่าสวรรคตในอ่างสรงน้ำของพระองค์ การสวรรคตของพระองค์นั้นมีผู้อยู่เบื้องหลังคือจักรพรรดินีโซอี หรือคนรักวัยหนุ่มของพระนาง คือ มิคาเอล หรือทั้งสองร่วมวางแผนกัน ทั้งสองสมรสกันในวันที่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น และมิคาเอลผู้มีพื้นเพเป็นเพียงชาวนาได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิเคียงข้างจักรพรรดินีโซอี เจ็ดปีต่อมา จักรพรรดินีโซอีทรงได้รับการชักชวนให้รับพระราชนัดดาของพระสวามีที่สวรรคตมาเป็นโอรสบุญธรรมซึ่งชื่อว่า มิคาเอล เช่นกัน
เมื่อมิคาเอลผู้นี้ได้ครองราชย์เป็น จักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 คาลาฟาเตส พระองค์จึงสั่งเนรเทศจักรพรรดินีโซอี ผู้เป็นพระราชชนนีบุญธรรม การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดการจลาจลนำมาซึ่งการโค่นราชบัลลังก์ของจักรพรรดิมิคาเอลที่ 5 และมีการฟื้นราชบัลลังก์ของจักรพรรดินีโซอี และมีการสถาปนาพระขนิษฐาของพระนางขึ้นเป็น จักรพรรดินีธีโอโดรา ในฐานะจักรพรรดิร่วม หลังจากครองราชย์ต่อมาอีกสองปี จักรพรรดินีโซอีทรงอภิเษกสมรสใหม่กับอดีตคนรัก ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคอส พระนางส่งถ่ายโอนพระราชอำนาจไปให้พระองค์ และแปดปีต่อมา จักรพรรดินีโซอีก็สวรรคตด้วยพระชนมายุ 72 พรรษา
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ ราวค.ศ. 978 - 1028แก้ไข
เจ้าหญิงโซอีทรงเป็น "พอร์ฟีโรเกนิตา"[2] หรือ "ผู้ประสูติในรัชกาล" หรือ "ผู้ประสูติในสีม่วง" อันเป็นสร้อยพระนามของพระโอรสธิดาที่ประสูติในช่วงจักรพรรดิกำลังเสวยราชย์อยู่ เจ้าหญิงโซอีเป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สองในจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 กับจักรพรรดินีเฮเลนา[3] พระราชชนกของเจ้าหญิงทรงเป็นจักรพรรดิร่วมตั้งแต่มีพระชนมายุได้ 2 พรรษา ในปีค.ศ. 962[4] พระเชษฐาของพระองค์คือ จักรพรรดิบาซิลที่ 2 เป็นพระประมุขร่วมที่อาวุโสกว่า ทรงพยายามไม่ให้เจ้าหญิงผู้เป็นพระราชนัดดาเสกสมรสกับเหล่าขุนนางไบแซนไทน์ เพื่อไม่ให้พระสวามีเหล่านันอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ได้ ในฐานะผู้หญิง พระองค์ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐใดๆได้ พวกพระองค์ทำได้เพียงแค่เลือก หรือยอมรับหรือไม่ จากพระสวามีซึ่งจะได้รับสิทธิต่างๆเมื่อทรงเสกสมรสแล้ว[5] ดังนั้น เจ้าหญิงโซอีจึงใช้พระชนม์ชีพอย่างน่าคลุมเครือในไกเนซีอุม (เขตพระราชฐานสตรี) เป็นระยะเวลาหลายปี[6]
เจ้าหญิงโซอีทรงมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะได้รับเลือกเป็นพระมเหสีในจักรพรรดิอ็อทโทที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในปีค.ศ. 996[7] คณะราชทูตครั้งที่สองจัดขึ้นในปีค.ศ. 1001 หัวหน้าคณะคือ อาร์นัล์ฟที่ 2 อาร์กบิชอปแห่งมิลาน[8] ได้รับพระราชโอรงการให้คัดเลือกพระราชธิดาสามพระองค์ของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 มาเป็นพระมเหสีของจักรพรรดิอ็อทโท พระราชธิดาองค์โตคือ เจ้าหญิงยูโดเซีย ทรงเสียโฉมจากไข้ทรพิษ ส่วนพระราชธิดาองค์เล็กคือ เจ้าหญิงธีโอโดรา ทรงมีรูปโฉมเรียบๆธรรมดา อาร์นัล์ฟจึงเลือกเจ้าหญิงโซอี พระชนมายุ 23 พรรษา ผู้งดงาม ซึ่งจักรพรรดิบาซิลที่ 2 ทรงเห็นด้วย[2] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1002 เจ้าหญิงทรงติดตามอาร์นัล์ฟกลับไปยังอิตาลี แต่เมื่อเรือมาถึงบารี ก็ทราบข่าวว่าจักรพรรดิอ็อทโทสวรรคตแล้ว ทำให้พระนางต้องเสด็จกลับ[2]
เมื่อจักรพรรดิบาซิลสวรรคต จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 ได้ครองบัลลังก์ รัชกาลของพระองค์ระยะสั้นไม่ถึง 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1025 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1028[3] โอกาสที่เจ้าหญิงโซอีจะได้อภิเษกสมรสเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1028 เมื่อคณะทูตของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เดินทางมาถึงคอนสแตนติโนเปิล เพื่อทูลขอการอภิเษกสมรส จักรพรรดิคอนสแตนตินและเจ้าหญิงโซอีทรงปฏิเสธเมื่อทราบว่าคู่อภิเษกคือเจ้าชายไฮน์ริช วัยเพียง 10 พรรษา ซึ่งเป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิค็อนราทที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์[6] จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงตั้งพระทัยว่าราชวงศ์ของพระองค์ยังคงอยู่ต่อไป โดยหนึ่งในพระราชธิดาของพระองค์ต้องเสกสมรสกับขุนนางที่เหมาะสม บุคคลแรกคือขุนนางผู้โดดเด่นชื่อ คอนสแตนติน ดาลาสเซนอส อดีตดุ๊กแห่งแอนติออก[9] ที่ปรึกษาของจักรพรรดิพยายามที่จะเลือกบุคคลที่อ่อนแอเพื่อที่พวกเขาจะสามารถควบคุมได้ พวกเขาจึงชักชวนให้จักรพรรดิทรงปฏิเสธดาลาสเซนอสหลังจากที่เขาเดินทางมาถึงเมืองหลวง[5] โรมานอส อาร์กีรอส เจ้าเมืองคอนสแตนติโนเปิล เป็นตัวเลือกถัดไป[5] เจ้าหญิงธีโอโดราท้าทายพระราชชนกโดยปฏิเสธที่จะเสกสมรสกับโรมานอส อาร์กีรอส ทรงเถียงว่าอาร์กีรอสสมรสแล้ว โดยภรรยาของอาร์กีรอสถูกบังคับให้ผนวชเป็นชีเพื่อเปิดทางให้อาร์กีรอสแต่งงานเข้าราชวงศ์[10]:465 และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางสายเลือดมากเกินไปจากการเป็นพระญาติกัน[11] ดังนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 8 ทรงเลือกเจ้าหญิงโซอีเป็นชายาในโรมานอส[11][12] เจ้าหญิงโซอีและโรมานอสเข้าพิธีอภิเษกสมรสในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1028 ในวิหารหลวงภายในพระราชวัง สองวันหลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินก็เสด็จสวรรคต และคู่สมรสใหม่ได้นั่งราชบัลลังก์ไบแซนไทน์[13]
จากโรมานอสที่ 3 ถึงมิคาเอลที่ 5 ค.ศ. 1028 - 1042แก้ไข
หลังจากทรงใช้เวลาหลายปีประทับร่วมกับพระขนิษฐา จักรพรรดินีโซอีทรงเกลียดชังเจ้าหญิงธีโอโดรา[6] จักรพรรดินีโซอีทรงชังจูงให้จักรพรรดิโรมานอสแต่งตั้งหนึ่งในองครักษ์ของจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองของเจ้าหญิงธีโอโดรา โดยมีคำสั่งให้ลอบสอดแนมเจ้าหญิง[14] ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหญิงธีโอโดรสทรงถูกกล่าวหาว่าวางแผนช่วงชิงราชบัลลังก์โดยครั้งแรกร่วมมือกับเจ้าชายพรีเซียนในปีค.ศ. 1030 ตามมาด้วยร่วมมือกัยคอนสแตนติน ไดโอจีนิส ผู้ว่าราชการจังหวัดซีร์เมียมในปีค.ศ. 1031[15] จักรพรรดินีโซอีทรงกล่าวหาพระขนิษฐาว่าทรงมีส่วนในการวางแผนสมคบคิด และเจ้าหญิงธีโอโดราถูกส่งไปคุมขังที่อารามเปตริออน จักรพรรดินีโซอีเสด็จเยี่ยมพระขนิษฐาหลังจากนั้นและทรงบังคับให้พระขนิษฐาสาบานตนเข้าสู่พระศาสนา[16]
จักรพรรดินีโซอีทรงหมกมุ่นอยู่แต่การดำรงไว้ซึ่งราชวงศ์มาซิโดเนีย[5] พระนางทรงอภิเษกสมรสกับโรมานอสขณะมีพระชนมายุถึง 50 พรรษาแล้วแต่พระนางก็ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ทรงพระครรภ์ พระนางทรงพึ่งเวทมนตร์คาถา เครื่องราง และน้ำยาขนานต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล[17] ความล้มเหลวในการตั้งครรภ์ทำให้ทั้งสองพระองค์ห่างเหินกัน และจักรพรรดิโรมานอสทรงปฏิเสธที่จะประทับบรรทมร่วมกับพระมเหสี[18] จักรพรรดิโรมานอสทรงจำกัดการใช้จ่ายของพระมเหสีและให้ความสนพระทัยในพระนางเพียงน้อยนิด[19]
จักรพรรดินีโซอีทรงพิโรธและไม่พอพระทัย จึงทรงมีเรื่องอื้อฉาวกับบุรษคนอื่นๆ ส่วนจักรพรรดิโรมานอสทรงยอมอดทนและมีพระสนมลับเอง[20] ในปีค.ศ. 1033 จักรพรรดินีโซอีทรงหลงรักข้าราชบริพารหนุ่มรูปงามที่ชื่อว่า มิคาเอล พระนางทรงตรัสโอ้อวดคนรักของพระนางอย่างเปิดเผยและทรงตรัสว่าจะทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิ เมื่อได้ยินข่าวลือ จักรพรรดิโรมานอสทรงหวาดหวั่นและทรงไปเผชิญหน้ากับมิคาเอล แต่มิคาเอลก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้[19]
ในต้นปีค.ศ. 1034 จักรพรรดิโรมานอสทรงพระประชวร และเป็นที่เชื่อได้ว่าจักรพรรดินีโซอีกับมิคาเอลวางแผนลอบวางยาพิษพระองค์[21] ในวันที่ 11 เมษายน จักรพรรดิโรมานอสสวรรคตขณะสรงน้ำในอ่างสรงน้ำ[20] ตามคำรายงานของ มิคาเอล เซลโลส ข้าราชสำนักและต่อมาคือนักพงศาวดาร ระบุว่า ผู้ติดตามคนหนึ่ง "จับพระเศียรของพระองค์ขึ้นจากน้ำ และพยายามทำเหมือนจะบีบพระศอของพระองค์"[21] จอห์น สไกลิตเซส เขียนถึงง่ายๆ ว่า จักรพรรดิโรมานอสถูกจับกดน้ำตามคำสั่งของมิคาเอล[21] มัทธิวแห่งอีเดสซาบันทึกว่าจักรพรรดินีโซอีวางยาพิษปลงพระชนม์จักรพรรดิโรมานอส[21]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Norwich, pg. 325
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Norwich, pg. 259
- ↑ 3.0 3.1 Kazhdan, pg. 503
- ↑ Kazhdan, pgs. 503–504
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 Garland, Zoe Porphyrogenita
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Norwich, pg. 269
- ↑ Norwich, pg. 253
- ↑ Norwich, pg. 258
- ↑ Finlay, pg. 464
- ↑ Finlay.
- ↑ 11.0 11.1 Norwich, pg. 270
- ↑ Candui, pg. 257
- ↑ Norwich, pg. 271
- ↑ Finlay, pg. 469
- ↑ Kazhdan, pg. 627
- ↑ Ostrogorsky, 1957, pg. 289
- ↑ Norwich, pg. 272
- ↑ Norwich, pg. 275
- ↑ 19.0 19.1 Norwich, pg. 276
- ↑ 20.0 20.1 Kazhdan, pg. 2228
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 Norwich, pg. 278
- Michael Psellus (c. 1080). Chronographia.
- Michael Psellus (1953). Chronographia [English translation]. Translated by E. R. A. Sewter. London.
- Thurn, Hans, บ.ก. (1973). Ioannis Scylitzae Synopsis historiarum. Berlin-New York: De Gruyter. ISBN 9783110022858.CS1 maint: ref=harv (link)
- แม่แบบ:Oxford Dictionary of Byzantium
- Norwich, John Julius. (1993), Byzantium: The Apogee, London: Penguin, ISBN 978-0-14-011448-5
- Garland, Lynda. Zoe Porphyrogenita (wife of Romanus III, Constantine IX, and Michael IV), De Imperatoribus Romanis (2006)
- Ostrogorsky, George. History of The Byzantine State (Rutgers University Press, 1956, New Brunswick) OCLC 422217218
- Treadgold, Warren. A History of the Byzantine State and Society (Stanford University Press, 1997) ISBN 0-8047-2630-2
- Finlay, George. History of the Byzantine Empire from 716–1057, William Blackwood & Sons, 1853