การเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง

การเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (อังกฤษ: single transferable vote, STV) เป็นระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบมาให้มีความคล้ายคลึงกับระบบสัดส่วนโดยใช้ในการเลือกผู้แทนแบบหลายคนต่อหนึ่งเขตเลือกตั้ง และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใช้สิทธิเลือกผู้สมัครตามลำดับที่ชอบ โดยลำดับที่เลือกนี้ในภายหลังจะถูกนำไปนับคะแนนตามสัดส่วนโดยที่คะแนนจะไม่สูญไปหากผู้สมัครในลำดับนั้นได้รับเลือกไปแล้ว[1] โดยคะแนนเสียงจะถูกโอนไปให้ผู้สมัครลำดับถัดไป การเลือกตั้งแบบนี้เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า การเลือกตั้งแบบมีผู้ชนะหลายคนตามลำดับการเลือก[2] (multi-winner ranked-choice voting)

ตัวอย่างบัตรลงคะแนนเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสภาออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรีใน ค.ศ. 2016

ในการเลือกตั้งระบบนี้ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเป็นลำดับความชอบโดยสามารถเลือกได้มากกว่าหนึ่งคนในแต่ละเขต โดยเลือกคนที่ชอบมากที่สุดเป็นลำดับที่หนึ่ง และลำดับอื่น ๆ เป็นรายการสำรอง (ตามลำดับความนิยม) โดยการนับคะแนนจะเริ่มนับจากลำดับที่หนึ่งก่อน แต่หากผู้สมัครลำดับที่หนึ่งได้รับเลือกไปแล้ว หรือถูกตัดไปแล้ว (เนื่องจากคะแนนเสียงรวมของผู้สมัครคนนั้นมีไม่มากพอต่อค่าเฉลี่ย) คะแนนเสียงจะไม่สูญไป แต่จะถูกถ่ายโอนไปยังผู้สมัครลำดับถัดไปตามลำดับก่อนหลัง

ในเขตเลือกตั้งที่มีจำนวนผู้สมัครมากกว่าจำนวนที่นั่ง ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนน้อยที่สุดจะถูกตัดออก และคะแนนของผู้สมัครคนนี้จะถูกถ่ายโอนไปยังผู้สมัครคนอื่นตามการเลือกของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ในบางระบบ คะแนนส่วนที่มากกว่าโควตา (surplus votes) ของผู้ที่ชนะการเลือกตั้งในการคำนวณครั้งแรกจะถูกกระจายให้แก่ผู้สมัครในอันดับถัดไป โดยใช้ขั้นตอนนี้จนกว่าจะได้ผู้ชนะครบที่นั่งในแต่ละเขตเลือกตั้ง ในกรณีที่ยังไม่มีผู้สมัครคนใดที่มีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับคะแนนโควตา ขั้นตอนต่อไปให้ตัดผู้สมัครที่ได้คะแนนน้อยที่สุดออก และเอาคะแนนนั้นมาเฉลี่ยให้แก่ผู้สมัครคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผู้สมัครที่มีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับคะแนนโควตา ทำเช่นนี้จนกว่าจะได้ผู้ชนะครบตามจำนวนผู้แทนที่พึงมีในเขตนั้น[3]

การเลือกตั้งระบบนี้เน้นความสำคัญของตัวผู้สมัครมากกว่าพรรคการเมือง (บัญชีรายชื่อ) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดแล้ว การเลือกตั้งแบบนี้จะทำให้คะแนนเสียงของผู้ใช้สิทธิไม่สูญเปล่า ในกรณีที่ผู้สมัครไม่ได้รับการคัดเลือก หรือได้รับการคัดเลือกไปแล้ว คะแนนเสียงที่เกินนั้นยังมีประโยชน์ต่อผู้สมัครรายอื่น ๆ ที่ผู้ใช้สิทธิเลือกเป็นลำดับถัดไป

นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับระบบสัดส่วน โดยทำให้พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยมีที่นั่งในสภา โดยหลักการคือไม่ทำให้พรรคการเมืองใดสามารถครองทุกที่นั่งในแต่ละเขตเลือกตั้งได้ โดยวัตถุประสงค์หลักของระบบนี้คือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใช้สิทธิเลือกหนึ่งสิทธิในการเลือกผู้สมัครหลายคน

นิยาม

แก้

เมื่อใช้การเลือกตั้งแบบนี้สำหรับการหาผู้ชนะเพียงคนเดียวจะเทียบเท่ากับ "การลงคะแนนตามลำดับความชอบ" (instant-runoff voting/alternative vote/preferential voting) เมื่อใช้ในการหาผู้ชนะการเลือกตั้งหลายคนบางทีเรียกว่า "การเลือกตั้งระบบสัดส่วนโดยใช้เสียงเดียวแบบถ่ายโอน" (proportional representation through the single transferable vote/PR-STV) โดยปกติแล้วนิยามของการเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงใช้ในการหาผู้ชนะมากกว่าหนึ่งคน

การลงคะแนน

แก้
 
ตัวอย่างการลงคะแนนเสียงแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง

การเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะลงคะแนนเสียงเป็นลำดับความนิยมส่วนบุคคล โดยอันดับ "1" คือผู้ที่นิยมมากที่สุด และลำดับ "2" คือผู้ที่นิยมรองลงมา และไล่ลำดับลงไปเรื่อย ๆ ตามตัวอย่างการลงคะแนนเสียงตามภาพด้านขวามือ ในทางปฎิบัติแล้วรายชื่อผู้สมัครจะถูกเรียงเป็นสดมภ์ตามสังกัดพรรคการเมือง รวมถึงในกรณีผู้สมัครอิสระซึ่งจะถูกแยกไว้อีกสดมภ์หนึ่งด้วย (อีกวิธีหนึ่งในการลงคะแนนตามลำดับความชอบนั้นคือการลงคะแนนในช่องถัดไปจากชื่อผู้สมัคร โดยสดมภ์แรกซึ่งอยู่ถัดจากชื่อจะเป็นสำหรับเลือกผู้สมัครที่ชอบเป็นลำดับแรก โดยผู้ลงคะแนนจะต้องกาเครื่องหมายกากบาทลงในสดมภ์นั้น ส่วนสดมภ์ถัดไปเป็นตัวเลือกในลำดับที่สอง ซึ่งหากจะทำเครื่องหมายให้ผู้สมัครรายใดเป็นลำดับสองจะต้องทำเครื่องหมายกากบาทลงในสดมภ์นี้ เป็นต้น)

อ้างอิง

แก้
  1. "Single Transferable Vote". Electoral Reform Society.
  2. FairVote.org. "Ranked Choice Voting / Instant Runoff". FairVote. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
  3. เมืองรัตน, ฤทัยชนก. "การเลือกตั้ง-วิถีแห่งประชาธิปไตย" (PDF). สำนักภาษาต่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สืบค้นเมื่อ 6 June 2021.

อ่านเพิ่มเติม

แก้