การลงประชามติรัฐธรรมนูญตุรกี พ.ศ. 2560

มีการจัด การลงประชามติรัฐธรรมนูญ ทั่วประเทศตุรกีเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2560 ว่าจะอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งตุรกีที่เสนอไว้ 18 มาตราหรือไม่ ซึ่งพรรครัฐบาล พรรคความยุติธรรมและการพัฒนา (AKP) และพรรคขบวนการชาตินิยม (MHP) เป็นผู้เสนอ หากได้รับอนุมัติ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะถูกยุบและการปกครองระบบรัฐสภาเดิมจะถูกเปลี่ยนเป็นประธานาธิบดีฝ่ายบริหาร (executive presidency) และระบบประธานาธิบดี มีการเสนอให้ที่นั่งในรัฐสภาเพิ่มขึ้นจาก 550 เป็น 600 ที่นั่ง และมีการเสนอให้ประธานาธิบดีควบคุมการแต่งตั้งข้าราชการสู่สำนักงานผู้พิพากษาและอัยการสูงสุดได้มากขึ้น การจัดรัฐธรรมนูญดังกล่าวอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งมีการประกาศหลังความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในเดือนกรกฎาคม 2559 ผลเบื้องต้นชี้ว่าฝ่ายออกเสียงลงคะแนน "ใช่" นำอยู่ 51-49% สภาการเลือกตั้งสูงสุดอนุญาตให้ยอมรับบัตรลงคะแนนที่มิได้ประทับตราว่ามีผลใช้ได้ พรรคฝ่ายค้านหลักประกาศว่าท่าทีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยอ้างว่าบัตรลงคะแนนถึง 1.5 ล้านบัตรมิได้ประทับตรา และปฏิเสธยอมรับผลการลงประชามติ สำนักงานการเลือกตั้งแถลงว่า อาจประกาศผลลัพธ์อย่างเป็นทางการในอีก 11 ถึง 12 วัน

ประธานธิบดีฝ่ายบริหารเป็นนโยบายที่มีมายาวนานของพรรครัฐบาล AKP และผู้ก่อตั้งและประธานาธิบดีตุรกีคนปัจจุบัน เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ในเดือนตุลาคม 2559 พรรคขบวนการชาตินิยม (MHP) ประกาศความร่วมมือในการผลิตร่างข้อเสนอร่วมกับรัฐบาล ด้วยการสนับสนุนร่วมของทั้งสมาชิกรัฐสภา AKP และ MHP เพียงพอนำข้อเสนอดังกล่าวสู่การลงประชามติหลังการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนมกราคม ผู้ที่เห็นชอบกับการออกเสียงลงคะแนน 'ใช่' แย้งว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจำเป็นต่อประเทศตุรกีที่เข้มแข็งและเสถียร ว่าประธานาธิบดีฝ่ายบริหารจะนำมาซึ่งจุดจบของรัฐบาลผสมที่ไม่เสถียรซึ่งครอบงำการเมอืงตุรกีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ถึงปี 2545 การรณรงค์ 'ไม่' แย้งว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกระจุกอำนาจอยู่ในมือของประธานาธิบดีมากเกินไป ทำลายการแยกใช้อำนาจโดยสิ้นเชิง และดึงอำนาจนิติบัญญัติจากรัฐสภา นักวิจารณ์แย้งว่าระบบที่เสนอจะคล้ายกับ "เผด็จการจากการเลือกตั้ง" โดยไม่มีความสามารถเอาผิดกับฝ่ายบริหารได้ นำไปสู่ "การฆ่าตัวตายทางประชาธิปไตย" ในที่สุด สามวันก่อนการลงประชามติ ผู้ช่วยของแอร์โดกันคนหนึ่งเรียกร้องให้มีระบบสหพันธรัฐหากฝ่ายออกเสียง 'ใช่' ชนะ ทำให้เกิดเสียงโต้กลับจาก MHP ที่นิยมใช่ การรณรงค์ทั้งสองฝ่ายถูกกล่าวหาว่าใช้วาทกรรมแบ่งแยกและสุดขั้ว โดยแอร์โดกันกล่าวหาผู้ออกเสียง 'ไม่' ทุกคนว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่เข้ากับผู้สมคบรัฐประหารที่ล้มเหลวเมื่อปี 2559

การรณรงค์มีข้อกล่าวหาว่ามีการปราบปรามของรัฐต่อผู้รณรงค์ 'ไม่' ขณะที่การรณรงค์ 'ใช่' สามารถใช้สถานที่และเงินทุนของรัฐในการจัดระเบียบการเดินขบวนและเหตุการณ์การรณรงค์ สมาชิกผู้นำของการรณรงค์ 'ไม่' ล้วนถูกความรุนแรงและการจำกัดการรณรงค์ การรณรงค์ 'ใช่' เผชิญกับการจำกัดการรณรงค์โดยหลายประเทศยุโรป รัฐบาลเยอรมัน ดัตช์ เดนมาร์กและสวิสยกเลิกและขอให้ระงับเหตุการณ์การรณรงค์ 'ใช่' ที่มีเป้าหมายยังผู้ออกเสียงลงคะแนนชาวตุรกีต่างประเทศ การจำกัดดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ทางทูตเสื่อมลงอย่างมากและทำใหเกิดวิกฤตการณ์ทางทูตระหว่างประเทศตุรกีและเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ ยังมีการยกข้อกังวลเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของการออกเสียงลงคะแนน โดยผู้ออกเสียง 'ใช่' ในประเทศเยอรมนีถูกจับได้ว่าพยายามออกเสียงมากกว่าหนึ่งครั้งและยังพบว่ามีบัตรออกเสียงในครอบครองก่อนเริ่มกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในต่างประเทศ