กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ
กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ, low dead space syringe (LDSS) หรือ low dead-volume syringe เป็นกระบอกฉีดยาประเภทหนึ่งที่มีการออกแบบ ที่พยายามจำกัดขนาดช่องว่างที่ทำให้มีปริมาณยาคงค้างระหว่างด้ามเข็มที่สวมติดกับปลายกระบอกฉีดยาและเข็มต่ำ
ความแตกต่างจากกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาสูง
แก้ความแตกต่างระหว่างกระบอกฉีดยาชนิด high dead space syringe (HDSS) และ low dead space syringe ถูกกำหนดโดยปริมาณเฉลี่ยของของเหลวที่ไม่สามารถขับออกจากอุปกรณ์ได้ แม้ว่าจะไม่มีมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ แต่ก็เป็นรูปแบบเข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาที่เบี่ยงเบนไปจากการออกแบบเข็มและกระบอกฉีดยามาตรฐานโดยมีการลดพื้นที่ที่ยาสามารถคงค้างในกระบอกฉีดภายหลังการใช้งานลง[1]
เมื่อเปรียบเทียบกับ low dead space syringe กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาสูง หมายถึงการออกแบบเข็มและกระบอกฉีดยาแบบธรรมดา คำว่า "high dead space" หมายถึงของเหลวที่เหลืออยู่ภายในเข็มและระหว่างด้ามเข็มที่สวมติดกับปลายกระบอกฉีดยากับลูกสูบ ช่องนี้ในกระบอกฉีดยาทั่วไปมีปริมาตรได้สูงถึง 84 ไมโครลิตร[2] กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาสูงแบบธรรมดา เริ่มมีมาตั้งแต่การผลิตเข็มฉีดยาพลาสติกที่มีเข็มถอดออกได้ในปี พ.ศ. 2504[3]
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่ยาคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาในกระบอกฉีดยา ได้แก่ การสิ้นเปลืองยา[4] การแพร่กระจายของโรค[2] และการให้ยาที่ไม่ถูกต้อง[5] มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าการแพร่กระจายของโรคสำหรับผู้ที่ฉีดยาและเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบซีสามารถลดลงได้ด้วยการใช้กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ[6]
ประวัติการออกแบบเข็มและกระบอกฉีดยา
แก้นายแพทย์ อเล็กซานเดอร์ วูด (Alexander Wood) ได้เริ่มใช้เข็มฉีดยาใต้ผิวหนังเป็นครั้งแรกและทำให้มีความพยายามปรับปรุงการออกแบบในทันที จนกระทั่งปี พ.ศ. 2497 ด้วยความจำเป็นในการกระจายกระบอกฉีดยาจำนวนมากสำหรับการฉีดวัคซีนโปลิโอของโจนัส ซอร์ก (Jonas Salk) จึงได้มีการสร้างเข็มฉีดยาแบบใช้แล้วทิ้งครั้งแรก โดยเริ่มแรกกระบอกฉีดยาทำจากแก้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 มีการใช้กระบอกฉีดยาพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง[7] การพัฒนากระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำมีขึ้นครั้งแรกพร้อมกับการสร้างเข็มฉีดยาขนาด 1 มิลลิลิตรสำหรับการฉีดอินซูลิน จากนั้นท่ามกลางภาวะความหวาดกลัวเอชไอวีและความกังวลที่เพิ่มขึ้นของโรคติดต่ออื่น ๆ ที่จะเกิดกับบุคลากรทางการแพทย์ การสร้างกระบอกฉีดยาที่มีความปลอดภัยมากขึ้นจึงเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2531 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการออกแบบใหม่โดยใช้เข็มที่มีปริมาณคงค้างต่ำสวมเข้าพอดีกับกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างสูง ทำให้เปลี่ยนรูปแบบเป็นกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ งานออกแบบชิ้นหนึ่งทำโดยการสร้างลูกสูบที่มีปลายสอดเข้าไปในคอกระบอกฉีดยาเพื่อขับของเหลวออกจากตัวกระบอกฉีดยาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งจะช่วยลดพื้นที่ว่างภายในคอของกระบอก
การออกแบบต่าง ๆ ของกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ
แก้แนวทางขององค์การอนามัยโลกสำหรับผู้ฉีดยา
แก้องค์การอนามัยโลกได้แนะนำสำหรับผู้ติดยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาว่า โครงการแลกเปลี่ยนเข็มจะจัดหาเข็มฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ฉีดยาเนื่องจากมีหลักฐานว่าการจัดหาเข็มฉีดยาชนิดนี้จะช่วยลดการแพร่เชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบบีและซี[8][9]
ประโยชน์ของกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ
แก้- ลดการสิ้นเปลืองยา[4]
- เพิ่มปริมาณวัคซีน 2–19% ต่อขวด หากใช้ขวดวัคซีนสำหรับ 10 โดส ซึ่งในการรณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครั้งใหญ่ชี้ให้เห็นว่ามีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นอีกหลายพันถึงหลายล้านคน[4]
- หาก 50% ของผู้ใช้ยาเสพติดที่ฉีดยาเปลี่ยนไปใช้กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ จะทำให้การติดเชื้อใหม่ของโรคติดเชื้อเอชไอวี และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี จะลดลงได้โดยประมาณ 33%[2]
- ลดอุบัติการณ์ของการใช้ยาเกินขนาดในเด็กและทารกที่คลอดก่อนกำหนด[5]
- ควบคุมปริมาณสารทึบรังสีซึ่งช่วยในการถ่ายภาพด้วยเทคนิคการถ่ายภาพรังสี[10]
ข้อวิจารณ์สำหรับการแจกจ่ายกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำ
แก้มีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้เสนอให้ใช้กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำสำหรับแจกจ่ายให้กับโครงการแลกเปลี่ยนเข็ม โดยอ้างว่าไม่มีโครงการศึกษานำร่องสำหรับสถานการณ์จริงเพื่อสนับสนุนการค้นพบในห้องปฏิบัติการ ผู้เสนอบางรายชี้ไปที่กรณีในสหรัฐ ที่มีความชุกของการระบาดของเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบต่ำในกลุ่มคนที่ฉีดยา และอ้างถึงสาเหตุของความชุกที่ต่ำเช่นนี้เกี่ยวข้องกับกระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำซึ่งเป็นเข็มฉีดยามาตรฐานในสหรัฐ และการรณรงค์ต่อต้านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันที่ประสบความสำเร็จ นักวิจารณ์คนอื่น ๆ ให้เหตุผลว่าประเทศต่าง ๆ เช่นเวียดนาม ซึ่งก็มีการกระจายและใช้กระบอกฉีดยาชนิดนี้แต่กลับมีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงสุดในกลุ่มผู้ที่ฉีดยา อย่างไรก็ตามผู้เสนออ้างว่ากระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาต่ำยังคงเป็นเรื่องยากที่ผู้ฉีดยาในประเทศดังกล่าวจะหามาได้และหลายคนที่ใช้กระบอกฉีดยาชนิดนี้ ยังคงใช้กระบอกฉีดยาชนิดปริมาณคงค้างในหัวเข็มและปลายหลอดฉีดยาสูงร่วมด้วย ซึ่งทำให้อัตราการติดเชื้อไม่ลดลง[11][12]
อ้างอิง
แก้- ↑ Bobashev, Georgiy V.; Zule, William A. (2010). Modeling the effect of high dead‐space syringes on the human immunodeficiency virus (HIV) epidemic among injecting drug users. Addiction, 105 (8). pp.1439–1447. PMID 20528817.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Bobashev (2010). Modeling the effect of high dead‐space syringes on the human immunodeficiency virus (HIV) epidemic among injecting drug users. Addiction, 105 (8). pp. 1439–1447. ISSN 0965-2140.
- ↑ Mary Bellis (3 มีนาคม 2019). "Why the Invention of the Syringe Was a Game Changer". ThoughtCo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 ธันวาคม 2012.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Strauss K, van Zundert A, Frid A, Costigliola V. (พฤษภาคม 2006). "Pandemic influenza preparedness: the critical role of the syringe". Erembodegem-Dorp 86, European Medical Association Vaccine. 24 (22). pp. 4874–82. doi:10.1016/j.vaccine.2006.02.056.
- ↑ 5.0 5.1 Bhambhani (2005). Inadvertent overdosing of neonates as a result of the dead space of the syringe hub and needle. Archives of Disease in Childhood: Fetal and Neonatal Edition. 90 (5). pp. F444–5. ISSN 1359-2998.
- ↑ Trickey, A., May, M. T., Hope, V., Ward, Z., Desai, M., Heinsbroek, E., . . . Vickerman, P. (พฤศจิกายน 2018). Usage of low dead space syringes and association with hepatitis C prevalence amongst people who inject drugs in the UK. Drug and Alcohol Dependence, 192, 118-124. doi:10.1016/j.drugalcdep.2018.07.041.
- ↑ Howard-Jones, N. (Spring 1947). A Critical Study of the Origins and Early Development of Hypodermic Medication. Journal of the History of Medicine and Allied Sciences. 2 (2). pp. 201–49. doi:10.1093/jhmas/ii.2.201.
- ↑ "WHO, UNODC, UNAIDS technical guide for countries to set targets for universal access to HIV prevention, treatment and care for injecting drug users – 2012 revision" (PDF). WHO. 2012. ISBN 978-92-4-150437-9.
- ↑ "Guidance on prevention of viral hepatitis B and C among people who inject drugs" (PDF). WHO. 2012. ISBN 978-92-4-150404-1.
- ↑ Rannou, M. Lheureux, N. Prangere, T. Legrand, J. Huglo, D. (2012). Absorption of radiopharmaceuticals to plastic syringes: Measurement and consequences. European Journal of Nuclear Medicine and Molecular Imaging. 39. pp. S528-S529. doi:10.1007/s00259-012-2227-4.
- ↑ Zule, William A.; Cross, Harry E.; Stover, John; Pretorius, Carel (2013). Low dead space syringes. International Journal of Drug Policy. 24 (1). pp. 21–22. ISSN 0955-3959.
- ↑ Vickerman (2013). Could low dead-space syringes really reduce HIV transmission to low levels?. International Journal of Drug Policy. 24 (1). pp. 8–14. ISSN 0955-3959.