ทู้ทซี่
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ทู้ทซี่ (Tootsie) เป็นชื่อของภาพยนตร์แนวตลกเรื่องหนึ่งที่ออกฉายใน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) โดย โคลัมเบีย พิคเจอร์ส (Columbia Pictures) โดยมีดาราดังในขณะนั้น คือ ดัสติน ฮอฟแมน เป็นตัวเอกของเรื่อง
ทู้ทซี่ เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับดาราชายที่ตกอับ ได้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงคนใหม่ เข้าวงการใหม่อีกครั้ง และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครในช่วงเวลานั้น ถึงแม้จะไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เกี่ยวกับการปลอมตัวเป็นเพศตรงข้าม แต่ทู้ทซี่ ก็เป็นเรื่องแรกที่เกี่ยวกับการปลอมตัวเป็นเพศตรงข้ามที่โด่งดังในประเทศไทย จนเป็นที่มาของคำว่า ตุ๊ด หรือ ตุ๊ดซี่[ต้องการอ้างอิง]
ประกอบกับเพลงประกอบภาพยนตร์ คือเพลง It Might Be You ซึ่งร้องโดย สตีเฟน บิชอป ซึ่งติดอันดับท็อปฮิตในสหรัฐอเมริกา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จงดงาม
ทู้ทซี่ ได้รับรางวัลออสการ์ 1 สาขา คือ นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เจสซิกา แลงจ์)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรก 5,440,470 ดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้รวมทั้งหมด 177.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่า 390.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน เป็นภาพยนตร์ตลกที่ทำรายได้สูงที่สุดประจำปี พ.ศ. 2525
เรื่องย่อ
แก้ไมเคิล ดอร์ซีย์ เป็นนักแสดงที่เป็นที่ยอมรับนับถือ แต่ไม่มีใครในนิวยอร์กที่ต้องการจ้างเขา เพราะเขาเป็นพวกเพอเฟ็คชันนิสต์และทำงานด้วยยาก หลังจากผ่านไปหลายเดือนโดยไม่มีงานทำ ไมเคิลได้ยินเรื่องจาก แซนดี เลสเตอร์ เพื่อนและนักเรียนการแสดงของเขาว่า จะมีการเปิดละครโทรทัศน์เรื่อง เซาท์เวสต์เจนเนอรัล ออกอากาศในช่วงกลางวันซึ่งมีคนดูมาก ซึ่งเธอพยายามให้ได้บทบาทเป็นเอมิลี คิมเบอร์ลี ผู้บริหารโรงพยาบาล ไมเคิลได้ไปหา จอร์จ ฟีลด์ส์ เพื่อให้เขาหางานให้ แต่ถูกจอร์จปฏิเสธเนื่องจากความเรื่องมากของไมเคิล ด้วยความที่ไม่มีอะไรจะเสีย ไมเคิลจึงปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อเข้าคัดตัวแสดงโดยใช้ชื่อว่า "โดโรธี ไมเคิลส์" และได้รับบทนี้ในที่สุด ไมเคิลรับงานนี้เพราะต้องการหาเงินให้ได้ 8,000 ดอลลาร์ สำหรับใช้จัดการแสดงหนึ่งซึ่งเขียนบทโดยเจฟฟ์ สเลเตอร์ เพื่อนร่วมห้องของเขา โดยมีตัวเขาเองและแซนดีรับบทนำ ไมเคิลสวมบทบาทตัวละครของเขาเป็นเฟมินิสต์ที่สดใส กล้าหาญ และมีความมุ่งมั่น ยังความประหลาดใจแก่นักแสดงคนอื่น ๆ และบรรดาทีมงาน ซึ่งต่างก็คิดว่าเอมิลี (ตามบทที่เขียนไว้) ควรจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครหญิงที่อ่อนแอและหวั่นไหวง่าย บทบาทที่เขานำเสนอได้กลายเป็นที่ถูกอกถูกใจไปทั้งประเทศอย่างรวดเร็ว
เมื่อแซนดีจับไมเคิลได้ขณะกึ่งเปลือยในห้องนอนของเธอเอง เพราะเขาต้องการจะลองใส่ชุดของเธอเพื่อประเมินให้ได้แนวคิดดี ๆ ว่าตู้เสื้อผ้าของโดโรธีควรจะเป็นอย่างไร เขาก็พยายามกลบเกลื่อนโดยอ้างว่าเขาต้องการจะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ เรื่องราวยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อเขาเกิดนึกชอบพอเข้ากับนักแสดงร่วมคนหนึ่งของเขา คือ จูลี นิโคลส์ ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักกับ รอน คาร์ลิเซิล ผู้กำกับรายการเหยียดเพศนิสัยไม่ค่อยดี ขณะอยู่ในงานปาร์ดี้เมื่อไมเคิล (ไม่ได้แต่งหญิง) เข้าหาจูลีโดยเลือกใช้ประโยคตามอย่างที่เธอเคยพูดกับโดโรธีไว้ว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่ง่ายเกินไป เธอสาดน้ำใส่หน้าเขา ต่อมา ในฐานะโดโรธี เมื่อเขาทำการทดสอบให้ยิ่ง ๆ ขึ้น จูลีได้จบความสัมพันธ์กับรอนลงอย่างทันทีทันใดตามคำแนะนำของโดโรธี และก็ทราบด้วยว่าเธอไม่ได้เป็นเลสเบียนหลังจากที่โดโรธีจะจูบจูลีแต่ถูกจูลีปฏิเสธแบบทันควัน
ในขณะเดียวกันนั้นโดโรธีก็มีบรรดาผู้นิยมชมชอบในตัวเธอให้ต้องรับมืออย่าง จอห์น แวน ฮอร์น สมาชิกนักแสดงสูงวัยรายหนึ่ง และเลส พ่อของจูลีซึ่งเป็นพ่อม่าย เลสนัดเดทกับโดโรธีและเต้นรำด้วยกัน หลังจากนั้นได้ขอแต่งงานด้วยและยืนยันหนักแน่นให้โดโรธีคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ก่อนให้คำตอบกับเขา เมื่อไมเคิลกลับถึงบ้านในวันหนึ่งเขาก็พบจอห์น ผู้ซึ่งเกือบจะใช้กำลังบังคับขืนใจต่อโดโรธีกระทั่งเจฟฟ์เดินเข้ามาหยุดสถานการณ์ไว้ได้ จากนั้นไม่นาน แซนดีซึ่งมาหาไมเคิลได้ถามเขาว่าทำไมถึงไม่ตอบโทรศัพท์เธอเลย ในตอนแรกแซนดีสงสัยว่าไมเคิลเป็นเกย์ แต่ในที่สุดไมเคิลยอมรับกับเธอตรง ๆ ว่าเขารักอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แซนดีถึงกับร้องกรี๊ดลั่นห้องและตัดสินใจเลิกคบหากับเขา
จุดพลิกผันมาถึงเมื่อทางผู้จัดรายการต้องการขยายสัญญาทำงานกับโดโรธีไปอีกปีหนึ่งอันเนื่องมาจากความนิยมในตัวเธอ ไมเคิลคิดหนทางฉลาด ๆ เพื่อปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นจากประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อการแสดงได้ถูกบังคับให้ต้องออกอากาศแบบสดเนื่องจากปัญหาทางเทคนิค เขาได้ด้นสดอย่างผ่าเผยต่อหน้ากล้อง ถอดวิกผมทิ้ง เช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าออก และเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเขาคือเอ็ดเวิร์ด น้องชายฝาแฝดของเอมิลีซึ่งเข้ามาสวมบทบาทเป็นตัวเธอก็เพื่อแก้แค้นเธอ เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในกองถ่ายเป็นอย่างมาก การเผยเรื่องราวนี้ช่วยให้ทุก ๆ คนมีทางออกได้งดงามมากบ้างน้อยบ้าง อย่างไรก็ตาม จูลีซึ่งโกรธจัดได้ต่อยเขาที่ท้องทันทีที่กล้องหยุดออกอากาศ ก่อนจะฉุนเฉียวออกไป
หลายสัปดาห์ให้หลัง ไมเคิลกำลังเดินหน้าทำงานการแสดงของเจฟฟ์ เขาก็ได้เอาแหวนขอแต่งงานของเลสไปคืนให้กับเจ้าตัว เลสตอบกลับมาว่า "เหตุผลเดียวที่แกยังมีชีวิตอยู่ก็เพราะฉันยังไม่ได้จูบแก แต่ฉันไม่น่าไปเต้นรำกับแกเลย" อีกทั้งยังถามไมเคิลว่าทำไมต้องปลอมตัวเป็นโดโรธี ไมเคิลบอกว่าแค่อยากหางานทำเท่านั้น และได้ถามเลซว่าจูลีได้พูดถึงเขาบ้างหรือเปล่า เลซส่ายหน้าพร้อมกับกำหมัดชกไปที่ต้นแขนไมเคิลเบาๆ
ต่อมาไมเคิลมารอจูลีอยู่ด้านหน้าสตูดิโอ เธอไม่เต็มใจที่จะพูดกับเขา แต่ท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าเธอคิดถึงโดโรธี ไมเคิลบอกเธอว่า "ไม่จำเป็น เพราะผมอยู่นี่แล้ว และผมก็คิดถึงคุณ ผมเป็นผู้ชายที่ดีต่อคุณในฐานะผู้หญิงดีกว่าที่ผมเป็นผู้หญิงในฐานะผู้ชาย" จูลีไม่เข้าใจความหมายที่ไมเคิลพูด ไมเคิลได้พูดต่อไปว่า "ผมอยากดีเท่าเดิมโดยที่ไม่ต้องปลอมตัวอีก" เธอให้อภัยเขาพร้อมกับเอ่ยขอยืมชุดที่ไมเคิลเคยใส่ในคราวโดโรธี และทั้งคู่ก็เดินไปตามถนนด้วยกัน
นักแสดง
แก้นักแสดง | รับบท |
ดัสติน ฮอฟแมน | ไมเคิล ดอร์ซีย์/โดโรธี ไมเคิลส์ |
เจสซิกา แลงจ์ | จูลี นิโคลส์ (ดาราสมทบของดอร์ซีย์) |
เทริ การ์ | แซนดี เลสเตอร์ (เพื่อนของดอร์ซีย์) |
แดบนีย์ โคลแมน | รอน คาร์ลิสล์ (ผู้กำกับภาพยนตร์ของดอร์ซีย์) |
ชาร์ลส์ เดิร์นนิง | เลสลีย์ นิโคลส์ (บิดาของจูลี) |
บิลล์ เมอร์เรย์ | เจฟฟ์ สเลเตอร์ (เพื่อนของโดโรธี เป็นนักเขียน) |
ซิดนีย์ พอลแลค | จอร์จ ฟีลด์ส์ (เอเย่นต์ของโดโรธี) |
จอร์จ เกย์นส์ | จอห์น แวน ฮอร์น (เพื่อนร่วมงานของโดโรธี) |
จีนา เดวิส | เอพริล เพจ |
ดอริส บีแลค | ริต้า มาร์แชล |
ลีน ธิกเพ็น | โจ |