เอเชียไทมส์ออนไลน์

เอเชียไทมส์ออนไลน์ (ย่อว่า ATol, chines. 亞洲時報在線) คือหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ที่ใช้ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ และมีฐานอยู่ที่ประเทศฮ่องกงและประเทศไทย มีเนื้อหาครอบคลุม ภูมิศาสตร์การเมือง การเมือง เศรษฐศาสตร์ และธุรกิจ "จากมุมมองของชาวเอเชีย[1] เอเชียไทมส์ออนไลน์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1999 และเป็นตัวแทนของเอเชียไทมส์ ซึ่งก่อตั้งโดยสนธิ ลิ้มทองกุลและปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1997[1] เอเชียไทมส์ออนไลน์ได้อยู่ภายใต้สิทธิการครอบครองและการบริหารชุดใหม่เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2015 และยังถูกเรียกว่า "เอเชียไทมส์" หรือ "เอที (AT)" โดยตอนนี้ได้นำคำว่าออนไลน์ออกจากชื่อ

ผู้จัดพิมพ์ใหม่คือ เอเชียไทมส์โฮลดิงส์ จำกัด ก่อตั้งและจดทะเบียนในประเทศฮ่องกง รายได้บางส่วนมาจากการโฆษณา และจากการจำหน่ายต้นฉบับข่าวต่อสู่สำนักพิมพ์ และสำนักข่าวอื่น เว็ปไซต์ให้ข่าวสารและคำวิจารณ์ ซึ่งครอบคลุมประเด็นในเอเชียทั้งหมด รวมไปถึงประเด็นของโลกที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยนักข่าวและนักวิเคราะห์

การก่อตั้ง

แก้

เอเชียไทมส์ออนไลน์ถูกก่อตั้งเมื่อต้นปี ค.ศ. 1999 เพื่อสืบต่อทางด้าน "นโยบายทางการตีพิมพ์ และทัศนะทางบรรณาธิการ" สำหรับหนังสือพิมพ์รายวันที่เอเชียไทมส์บนฐานของประเทศฮ่องกงและเมืองกรุงเทพ ครอบครองโดยเจ้าพ่อสื่อของประเทศไทย และหัวหน้าของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล หนังสือพิมพ์ได้ปิดตัวลงในกลางปี ค.ศ. 1997 ไม่นานหลังการตกลงของค่าเงินบาทได้ก่อให้เกิดวิกฤติทางการเงินในทวีปเอเชีย [1]

จำนวนผู้อ่าน

แก้

เอเชียไทมส์ (atimes.com) มีคนอ่านเฉลี่ย 90,000 คนต่อวัน และยังเป็นหนึ่งในเว็ปไซต์ข่าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทวีปเอเชีย เดอะนิวยอร์กไทมส์ ได้บรรยายเกี่ยวกับเอเชียไทมส์ออนไลน์ว่าเป็น "หนึ่งในสำนักพิมพ์ในพื้นที่ซึ่งสะดุดตาที่สุด" ครอบคลุมทวีปเอเชีย [2]

ดูเพิ่ม

แก้
  • David P. Goldman (pen name, "Spengler")
  • Kosuke Takahashi
  • Pepe Escobar

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 "About us — Bridging East and West". Asia Times Online. 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-03. สืบค้นเมื่อ 2011-04-03. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "ATol_aboutus" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  2. England, Vaudine (2006-05-28). "Asia's English readers miss in-depth media — Business — International Herald Tribune". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-03. สืบค้นเมื่อ 2011-04-03.

ข้อมูลเพิ่มเติม

แก้