เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส

เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส(Mercedes-Benz E-Class) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลางที่ผลิตโดยบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชื่อ E-Class ย่อมาจาก Einspritzung-Class ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า รถยนต์เครื่องหัวฉีด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตเมอร์เซเดส-เบนซ์
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2496 - ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลาง (Mid-Size Luxury Car / Executive)
รูปแบบตัวถังซีดาน 4 ประตู
คูเป้ 2 ประตู (พ.ศ. 2535-2564)
รุ่นที่คล้ายกันเอาดี้ เอ6
เอาดี้ เอ7
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์
จากัวร์ เอ็กซ์เอฟ
มาเซราตี จิบลี่ (M157)
โตโยต้า คราวน์
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์1.7-6.2 ลิตร I4, I5, I6, V6, V8
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าไม่มี
รุ่นต่อไปเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลอี (สำหรับ Coupe และ Cabriolet)

ในบรรดารถยี่ห้อเบนซ์ อี-คลาส จัดเป็นรถซีดานระดับหรูหรารองจาก เอส-คลาส แต่ก็ยังจัดเป็นรถขนาดใหญ่และหรูหรามากรุ่นหนึ่ง(เอส-คลาส เป็นรถซีดานที่ใหญ่และหรูหรากว่าอี-คลาส ,และเอส-คลาส เป็นซีดานรุ่นที่ใหญ่และหรูหราที่สุดของเมอร์เซเดส เบนซ์)

ชื่อรุ่นอี-คลาส เริ่มผลิตขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2478 แต่ในช่วงแรกจะไม่ใช้ชื่อ อี-คลาส จนกระทั่ง พ.ศ. 2527 มีการเปลี่ยนแปลงระบบเครื่องยนต์เป็นแบบหัวฉีด รถในรุ่นปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา จึงเรียกว่า อี-คลาส อย่างเป็นทางการ ส่วนรถในรุ่นก่อนนั้น ก็ถือเป็นรถในตระกูลอี-คลาสด้วย (แต่จะไม่เรียกว่า อี-คลาส)

รถในตระกูลนี้ มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาได้ดังนี้

W136 (พ.ศ. 2478 - 2498) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W136

โฉมแรกนี้ ผลิตเป็นเวลารวม 20 ปีเต็ม เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงแรก แต่หลังจากเริ่มผลิตได้ 4 ปี สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อุบัติขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมในหลายด้านได้รับผลกระทบจากสงคราม รวมทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วย ผลจากสงครามทำให้ทางบริษัทต้องหยุดการผลิตไปในช่วงหนึ่ง

แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง บริษัท ได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างหนัก แต่ไม่ได้รับความเสียหายทางโรงงานสถานที่มากนัก ส่วนประกอบ เครื่องมือประกอบต่างๆ ยังอยู่ครบ จึงสามารถเริ่มผลิตรถได้อีกครั้ง โดย W136 นี้เองที่ก็ยังได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าช่วงก่อนสงคราม เป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบริษัท

W120 (พ.ศ. 2496 - 2505) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W120

โฉมนี้ รถมีขนาดเล็กลง จนประชาชนเข้าใจผิดว่ามันเป็นรถขนาดเล็ก (ทั้งๆที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งใจให้มันเป็นรถขนาดกลาง) และนอกจากนี้ มันยังมีรายละเอียดลักษณะต่างๆ คล้ายคลึงกันกับ W180 ในเอส-คลาส ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องรถดีพอ จะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง W180 กับ W120 ได้เลย นอกจากจะให้สองรุ่นนี้มาจอดเทียบกันให้เห็นขนาดที่ต่างกัน

ในระหว่าง พ.ศ. 2499-2504 ได้มีการผลิต W121 ควบคู่กับ W120 และลักษณะรายละเอียดต่างๆ ก็ไม่ได้ต่างจาก W120 จึงถูกจัดเป็นรถรุ่นแฝดกับ W120 แต่จะมีเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า (W121 ใช้เครื่องยนต์ 1900 ซีซี ในขณะที่ W120 ใช้เครื่องยนต์ 1800 ซีซี) ซึ่งลักษณะในโฉมนี้ ก็ไปใกล้เคียงกับ W128 ซึ่งเป็นแฝดของ W180 ใน เอส-คลาส อีก ดังนั้น ประชาชนทั่วไปก็ไม่สามารถแยก W128 กับ W121 ได้อีกเช่นกัน (นอกจากจะมาจอดเทียบขนาด)

ด้วยลักษณะที่เหมือนกันนี้ W120 และ W121 จึงได้รับชื่อเล่นว่า Ponton เช่นเดียวกับ W180 และ W128 ในเอส-คลาส ซึ่งคำว่า Ponton มาจากคำว่า Pontoon แปลว่า เรือท้องแบน โดยใช้เรียกลักษณะที่แบนของรถสี่รุ่นนี้

W110 (พ.ศ. 2504 - 2511) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W110

โฉมนี้ ได้รับชื่อเล่นว่า Fintail เช่นเดียวกับ W111 ในเอส-คลาส โดยฉายานี้มากจากคำว่า Tailfins ซึ่งแปลว่าครีบข้าง เพราะ W110 มี "ครีบ" ทางข้างของกระโปรงหลังรถ

W114 (พ.ศ. 2511 - 2519) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W115

โฉมนี้ ออกแบบโดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศสชื่อนาย Paul Bracq ซึ่งเป็นผู้ออกแบบรถยนต์เปิดประทุนรุ่น SL โฉม W113 (Pagoda) ด้วย ซึ่งรถยนต์รุ่น W114 นี้มีชื่อเรียกกันติดปากว่า ทับแปด หรือ ตาตั้ง ,ตาตั๊กแตน ซึ่งเมื่อเอ่ยจะรู้ได้ทันทีเลยว่าคือ W114 นั่นเอง

ในช่วง W114 นี้ จะผลิตเป็นรถแฝดควบคู่กับ W115 โดยที่ W114 จะเป็นเครื่องยนต์แบบเบนซิน 6 สูบแถวเรียงทั้งหมด ส่วน W115 จะเน้นไปที่เบนซิน 4 สูบแถวเรียง แต่ก็มีรุ่น 5 สูบ และ 6 สูบ และรุ่นเครื่องดีเซลให้เลือกอยู่บ้าง

ในช่วงเปิดตัว บริษัท ได้โฆษณารถรุ่นนี้โดยใช้สโลแกน " รถยนต์สายพันธุ์ใหม่ ( New Generation Models) "

W123 (พ.ศ. 2519 - 2528) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W123

โฉมนี้ เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในช่วง 9 ปีที่ผลิต โฉมนี้ขายได้ถึง 2.7 ล้านคัน ทั้งๆ ที่เป็นรถที่มีราคาแพง ด้วยเพราะขนาดที่ใหญ่ขึ้น และรูปทรงที่ทันสมัย โฉบเฉี่ยวที่สุดในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ โฉมนี้ ก็เป็นโฉมแรกที่เริ่มมีการผลิตเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ควบคู่ไปกับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์แบบเก่า ซึ่งเครื่องยนต์หัวฉีดแบบใหม่นี้ จะใช้เชื้อเพลิงอย่างประหยัดกว่าและให้กำลังดีกว่าเครื่องคาร์บูเรเตอร์ แต่หัวฉีดในช่วงแรกนั้นยังไม่เป็นที่นิยมนัก ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังซื้อเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนเริ่มมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์หัวฉีดมากขึ้น ทำให้หัวฉีดเริ่มเป็นที่นิยม และคาร์บูเรเตอร์เริ่มหายไป

W124 (พ.ศ. 2527 - 2538) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W124

โฉมนี้ ไม่ใช่รถแฝดของ W123 โฉมนี้จัดเป็นโฉมแรกที่ใช้ชื่อ E-Class อย่างเป็นทางการ ด้วยเพราะในโฉมนี้ เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ได้เลือนหายไป คงเหลือไว้แต่แบบหัวฉีด ซึ่งภาษาเยอรมันคำว่าหัวฉีด ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร E เบนซ์จึงนำมาใช้ในรุ่นนี้โดยให้นิยามใหม่ว่า Elegance ซึ่งแปลว่า ความสง่า งาม โก้เก๋ สละสลวย งดงาม สะโอดสะอง

ในประเทศไทย W124 เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ "โฉมโลงจำปา" ซึ่งมาจากลักษณะของกระโปรงหลังของตัวรถ เมื่อดูโดยรวมแล้ว ท้ายรถ W124 จะคล้ายโลงศพชาวจีน ซึ่งทำด้วยไม้จำปา เมื่อถูกตั้งชื่อในประเทศไทยว่าโฉมโลงจำปา มีชาวจีนจำนวนหนึ่งได้ซื้อรถรุ่นนี้ ด้วยเหตุผลทางความเชื่อส่วนบุคคล ในเรื่องการแก้เคล็ด (ได้ซื้อและอยู่ใน "โลงศพ" ปลอมไปแล้ว ดังนั้นระยะเวลาที่จะอยู่ใน "โลงศพ" จริง จะถูกเลื่อนออกไป เป็นการต่ออายุทางหนึ่ง)

W124 นับเป็นโฉมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเช่นกัน เพราะจากการสำรวจใน พ.ศ. 2552 เป็นเวลา 14 ปีหลังเลิกผลิต ยังสามารถพบ W124 ได้ในจำนวนมากบนท้องถนนทุกหนทุกแห่ง เพราะ W124 คือรถที่ถูกสร้างมาให้วิ่งได้ตลอดไปเหมือนเบนซ์รุ่นก่อนๆอย่าง W123 นั่นเอง

W210 (พ.ศ. 2538 - 2545) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W210

โฉมนี้ มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ โดยที่รถเริ่มมีความโค้งมนแบบสมัยใหม่ และได้เปลี่ยนไฟหน้าแบบกลม 4 ตาจึงเป็นที่มาของชื่อเรียกกันว่า "ตากลม" นั่นเอง และได้มีการเริ่มใช้ระบบแอร์แบ็คข้างประตูเป็นรุ่นแรกของอี-คลาสด้วย ในช่วงหลังประมาณปี 2541 ได้มีการ Minor Change ใหม่อีกโดยใช้เครื่องแบบ 6 สูบเรียงเป็นแบบวี 6

W211 (พ.ศ. 2545 - 2552) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W211

โฉมนี้ ตัวถังมีให้เลือกคือ 4 ประตูและ5 ประตูวากอน เกียร์มีให้เลือก คือ 5สปีดและ7สปีด อัตโนมัติ ส่วนเกียร์ธรรมดา เป็น6สปีดเครื่องยนต์มีให้เลือก คือ เบนซิน1.8 I4 Kompressor,2.6 V6,3.0 V6,3.2 V6,3.5 V6,5.0 V8,5.5 V8 Kompressor,6.2 V8 ดีเซล มี คือ2.2 I4,2.7 I5,3.0 V6,4.0 V8 ผลิตตั้งแต่ พ.ศ. 2545 ถึงพ.ศ. 2552

W212 (พ.ศ. 2552 - 2559) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E212

อี-คลาส รุ่น W212 เปิดตัวครั้งแรกในงาน 2009 North American International Auto Show ในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 และเริ่มเปิดขายทั่วไปในยุโรปในเดือนมีนาคม และกำลังอยู่ในช่วงการตีตลาดเข้าไปแทนที่ W211 ตามประเทศต่างๆ ตัวถังมีให้เลือกหลายแบบคือ 2ประตู ,4ประตู,5ประตูและ2 ประตูเปิดประทุน และ เมื่อปีพ.ศ. 2556 ได้มีการปรับโฉมโดยเปิดครั้งแรกในอาเซียรที่ประเทศไทยและเพิ่มความสปอร์ตขึ้นด้วย

โฉมนี้ มีการใส่เทคโนโลยีใหม่เข้ามามากมาย เช่น เทคโนโลยีควบคุมความเร็ว เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น

W213 (พ.ศ. 2559 - 2566) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E213

โฉมใหม่ล่าสุดของตัวนี้ เปิดตัวครั้งแรกในไทย ที่งานมอเตอร์โชว์ ปี 2013 [1] อี คลาส ตัวใหม่ล่าสุดได้ปรับแต่ง ภายนอกให้ดูมีความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น และเพิ่มระบบไฮบริดเข้าไปใช้กับรถ รวมถึงลดการใช้น้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม คาดว่าจะเปลี่ยนมาขายรุ่นนี้ทั้งหมด ในปี 2014

W214 (พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน) แก้

 
เมอร์เซเดส-เบนซ์ E214

All-new Mercedes-Benz E-Class (W214) ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก ปรับดีไซน์เน้นความหรูหราเต็มพิกัด พร้อมไฟท้าย LED ส่องสว่างเป็นรูปดาวสามแฉก พร้อมขุมพลังที่มีให้เลือกทั้งเบนซิน ดีเซล และปลั๊กอินไฮบริด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส รหัสตัวถัง W214 ใหม่ ถูกออกแบบให้มีรูปโฉมแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดดเด่นด้วยไฟหน้าที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ เชื่อมเข้ากับกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมคว่ำที่ถูกตกแต่งด้วยกรอบสีดำคล้ายกับตระกูล Mercedes-EQ โดยรูปลักษณ์ของกระจังหน้าสามารถเลือกได้ทั้งแบบ Progressive และ Classic ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย อีกทั้งยังสามารถเลือกตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบเรืองแสงเป็นออปชันเสริมได้ ขณะที่ด้านท้ายของ E-Class W214 มีการออกแบบไฟท้ายในลักษณะทรงยาวซึ่งเป็นเทรนด์การออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปัจจุบัน แต่เพิ่มความแปลกตายิ่งขึ้นด้วยไฟท้ายที่ส่องสว่างเป็นรูปดาวสามแฉก 2 ดวงในแต่ละข้าง ตัวถังของ E-Class ใหม่ มีความยาวตลอดคันอยู่ที่ 4,949 มม. ความกว้าง 1,880 มม. ความสูง 1,468 มม. และความยาวฐานล้อ 2,961 มม. โดยผู้โดยสารตอนหลังจะได้ดึ่มด่ำกับความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เซนติเมตรเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว ขณะที่พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายมีขนาดความจุ 540 ลิตร

สำหรับขุมพลังของ Mercedes-Benz E-Class ที่เปิดตัวในระยะแรกมีทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 197 แรงม้า (HP) ในรหัส E 220 d, เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ในรหัส E200, เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ในรหัส E 300 e หรือจะเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 252 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นมาตรฐานภายใต้รหัส E 400 e 4MATIC

Mercedes-Benz E-Class 2024 ใหม่ รหัสตัวถัง W214 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย มีให้เลือกทั้งรุ่น E 220 d AMG Line และ E 350 e AMG Dynamic เคาะราคาจำหน่าย 3,990,000 - 4,250,000 บาท

  • รุ่น E 220 d AMG Line ราคา 3,990,000 บาท
  • รุ่น E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,250,000 บาท

The new E-Class W214 ทั้ง 2 รุ่น ถูกตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling พร้อมระบบปิดประตูแบบ Soft Close เป็นมาตรฐาน ในรุ่น E 220 d AMG Line ติดตั้งไฟหน้า LED high-performance พร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist, ระบบ KEYLESS-GO Comfort Package สามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน, ระบบกันสะเทือน AGILITY CONTROL และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว

รุ่น E 350 e AMG Dynamic ติดตั้งไฟหน้า DIGITAL LIGHT พร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist, หลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า, กระจกสะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟาเรดและลดเสียงรบกวน Heat and noise-insulting acoustic glass และล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วย AMG Interior Package พร้อมเบาะหนังสีดำ, พวงมาลัย Multifunction sports steering, ระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชันที่ 3 พร้อมกล้อง Selfie สำหรับการประชุมหรือระบบความบันเทิง, จอ MBUX Superscreen ขนาด 14.4 นิ้ว พร้อมขนาด 12.3 นิ้ว บริเวณผู้โดยสารตอนหน้า เสริมด้วยระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับฟังก์ชันต่างๆ ให้เข้ากับพฤติกรรมและรสนิยมของผู้ขับขี่ และระบบปร้บอากาศ ENERGIZING AIR CONTROL

E 220 d DIESEL

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก EQ Boost พละกำลัง 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร Mild Hybrid 48V ช่วยในการออกตัว จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง

E 350 e Plug-in Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 3,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 129 แรงม้า 440 นิวตันเมตร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง แบตเตอรี่ความจุ 25.4 kWh วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนระยะทางสูงสุด 115 km. (WLTP)

สีใหม่

  • สีเทา MANUFAKTUR Alpine Grey Solid (ในรุ่น E 220 d AMG Line)
  • สีเทา Graphite Grey (ในรุ่น E 350 e AMG Dynamic)

อ้างอิง แก้