อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา ดัชเชสแห่งเท็ชเชิน

อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา โยฮันนา โยเซฟา อันโทนีอา (13 พฤษภาคม ค.ศ. 1742 - 24 มิถุนายน ค.ศ.1798) เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 5 ในจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา และดยุคฟร็องซัวที่ 3 เอเตียนแห่งลอแรน ประสูติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1742 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลแบร์ท คาสิเมียร์แห่งซัคเซิน

อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา
ดัชเชสแห่งเท็ชเชิน
ครองราชย์8 เมษายน ค.ศ. 1766 – 24 มิถุนายน ค.ศ. 1798
ก่อนหน้าโยเซ็ฟที่ 2
ถัดไปอัลแบร์ท คาสิเมียร์
ปกครองร่วมกับอัลแบร์ท คาสิเมียร์
ข้าหลวงต่างพระองค์แห่งเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย
ระหว่าง29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1780 – 1 มีนาคม ค.ศ. 1792
ก่อนหน้าเจ้าชายชาร์ล อเล็กซองดร์ แอมานูแอลแห่งลอร์แรน
ถัดไปอาร์ชดยุกคาร์ล
ร่วมกับอัลแบร์ท คาสิเมียร์
ประสูติ13 พฤษภาคม ค.ศ. 1742
เวียนนา อาร์ชดัชชีออสเตรีย จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
สิ้นพระชนม์24 มิถุนายน ค.ศ. 1798 (56 ปี)
เวียนนา อาร์ชดัชชีออสเตรีย จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
พระราชสวามีเจ้าชายอัลแบร์ท คาสิเมียร์ ดยุคแห่งเท็ชเชิน
พระราชบุตร1 พระองค์
ราชวงศ์ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
พระราชบิดาดยุคฟร็องซัวที่ 3 เอเตียนแห่งลอแรน
พระราชมารดาจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา

พระองค์และพระสวามีได้รับดินแรนดัชชีเท็ชเชินและทรงร่วมปกครองด้วยกัน รวมทั้งในเวลาต่อมาจักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระเชษฐา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ข้าหลวงต่างพระองค์แห่งเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ทำหน้าที่สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณในดินแดนแผ่นดินต่ำร่วมกับพระสวามีจนถึงปี 1792

พระชนม์ชีพส่วนพระองค์

แก้

อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา และ เจ้าชายอัลแบร์ท คาสิเมียร์ มีพระธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงมาเรีย คริสทีนา เทเรซาแห่งซัคเซิน แต่สิ้นพระชนม์หลังจากประสูติเพียง 1 วัน

ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นกับการมีพระประสูติการทำให้อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา ทรงไม่สามารถมีพระบุตรได้อีกแล้ว ในปี 1790 จึงทรงทูลขอพระราชโอรสจาก จักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2 พระอนุชา มาเป็นพระบุตรบุญธรรม เพื่อจะได้มีทายาทสืบบรรดาศักดิ์ โดยจักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2 ได้พระราชทาน อาร์ชดยุกคาร์ล พระราชโอรสพระองค์เล็ก มาเป็นพระบุตรบุญธรรมของอาร์ชดัชเชสและพระสวามี

อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนาเป็นพระราชธิดาองค์โปรดของพระมารดาด้วยเหตุที่ประสูติในวันเดียวกัน

การเมือง

แก้

ในปี 1787 อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนาและพระสวามีถูกบังคับให้มีการปฏิรูปโจเซฟินแบบสุดโต่งในเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนสถาบันของรัฐบาลกลางในวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงการแบ่งมณฑลซึ่งเทียบเท่ากับการยุบเลิกมณฑลที่มีอยู่ และการปรับโครงสร้างองค์กรตุลาการ จักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 มีรับสั่งให้พระองค์สั่งการผ่านเคานต์ลูโดวิโก ดิ เบลจิโอโจโซ แต่พระองค์กลับไม่เต็มพระทัยและทรงคาดการณ์ว่าอาจจะนำไปสู่การประท้วง[1] มีการจัดตั้งกลุ่มต่อต้านสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มสเตทิสต์ซึ่งนำโดย เฮนดริก ฟาน เดอร์ นูต ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากขุนนางและนักบวชจำนวนมาก และต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค และกลุ่มฟ็องคิสต์ซึ่งตั้งชื่อตามผู้นำของพวกเขาคือ ยัน ฟรันซ์ ฟ็องค์ ซึ่งต้องการการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งโดยใช้สิทธิการลงคะแนนเสียงแบบสำมะโนประชากร

การปฏิรูปดังกล่าวส่งผลให้เกิดการจลาจลรุนแรง ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1787 ฝูงชนที่เรียกร้องให้ปลดเบลจิโอโจโซออกจากอำนาจ ฝูงชนบุกเข้าไปในพระตำหนักที่ประทับในกรุงบรัสเซลส์และบีบบังคับให้อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา ข้าหลวงต่างพระองค์ฯและพระสวามี ทรงเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาของจักรวรรดิ พระองค์ทรงบรรยายเหตุการณ์นี้ถวายพระเชษฐาความว่า :

“ผู้คนนับพันแห่กันมา แต่ละคนต่างสวมหมวกที่มีตราอาร์มของบราบันต์ ทำให้วันนั้นเป็นวันแห่งความหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหม่อมฉันและพระสวามีได้รับข้อมูลบางอย่างว่าในเย็นวันนั้นเอง จะมีการปล้นสะดมคลังของราชวงศ์และของศาสนจักร รัฐมนตรีและสมาชิกของรัฐบาลจะต้องถูกประหารชีวิต และพวกเขาจะประกาศอิสรภาพอย่างสมบูรณ์”[2]

อย่างไรก็ตาม สำหรับจักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 ซึ่งไม่ต้องการประนีประนอม การเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระองค์ทรงต้องการปราบปรามการจลาจลที่อาจเกิดขึ้น จึงเพิ่มจำนวนทหารและส่งเคานต์โยเซ็ฟ เมอร์เรย์ไปบัญชาการกองทหารในเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย พระองค์ยังทรงสั่งให้เคานต์ดิเบลจิโอโจโซโดยเสด็จข้าหลวงต่างพระองค์ฯ ทั้งสอง เสด็จไปกรุงเวียนนา อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนาและเจ้าชายอัลแบร์ทเสด็จมาถึงราชสำนักในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1787 แต่ไม่สามารถโน้มน้าวให้ความคิดเห็นของจักรพรรดิเปลี่ยนแปลงไปได้ เคานต์แฟร์ดีนันท์ ฟ็อน ทราวท์มันส์ดอร์ฟได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดีคนใหม่ และนายพลริชาร์ด ดัลตันผู้ทะเยอทะยานเข้ามาแทนที่เคานต์เมอร์เรย์

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1788 อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนาและเจ้าชายอัลแบร์ท พระสวามี เสด็จกลับเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ความไม่สงบครั้งใหม่ก็เกิดขึ้น ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1788 ทั้งสองพระองค์ได้กราบทูลเตือนจักรพรรดิอย่างเป็นทางการว่าความสงบสุขที่ปรากฏในประเทศเป็นเพียงภาพภายนอกเท่านั้น และความกลัวและความไม่ลงรอยกันก็เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าพวกเขาได้มีส่วนช่วยอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น แม้ว่าทราวท์มันส์ดอร์ฟต้องการผลักดันการปฏิรูปของโจเซฟินด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่เขาก็ยังเห็นการต่อต้านอย่างหนักจากรัฐบราบันต์ เฮนดริก ฟาน เดอร์ นูตมีบทบาทนำในการต่อต้านนี้ หลังจากหลบหนีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1788 เขาพยายามหาทหารในเบรดา (พร้อมกับการสนับสนุนของสาธารณรัฐดัตช์) เพื่อต่อสู้ โดยพยายามจ้างทหารปรัสเซียเพื่อต่อสู้กับความรุนแรงของรัฐบาลจักรวรรดิในเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย อย่างไรก็ตาม การต่อต้านของที่ดินในแคว้นบราบันต์ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

บั้นปลายพระชนม์

แก้

อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา ทรงเลิกใช้อิทธิพลทางการเมือง หลังจากช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1792-1793 พระองค์ก็เสด็จไปประทับกับอัลแบร์ท พระสวามีที่ป่วยหนักที่บ้านเกิด ทั้งสองทรงใช้ชีวิตอย่างกลมกลืน แต่ไม่มีความสัมพันธ์อันอบอุ่นดังเช่นแต่ก่อน เมื่อต้นปี ค.ศ. 1794 ทั้งสองพระองค์ทราบว่าองค์จักรพรรดิจะทรงสนับสนุนทางการเงินแก่ทั้งสอง หลังจากเสด็จไปประทับ ณ กรุงเวียนนาเป็นการถาวร อาร์ชดัชเชสและพระสวามีของประทับอยู่ในพระราชวังของเคานต์เอ็มมานูเอล ซิลวา-ทารูกา หลังจากการขึ้นครองอำนาจของนโปเลียน อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนาทรงรู้สึกตกใจอย่างยิ่งเมื่อทราบเกี่ยวกับการปะทะทางทหารและการลงนามในสนธิสัญญาคัมโป ฟอร์มิโอ (18 ตุลาคม ค.ศ. 1797) ระหว่างจักรพรรดินโปเลียนและจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 พระภาติยะ

ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ ในปี ค.ศ. 1797 อาร์ชดัชเชสมาเรีย คริสตินา ซึ่งมีพระอาการซึมเศร้า เริ่มประชวรด้วยพระโรคพระอามาสัย แม้พระสุขภาพจะดีขึ้นในระยะสั้น แต่ไม่นานก็กลับมามีพระอาการปวดอย่างรุนแรงอีกครั้ง ต่อมาทรงย้ายที่ประทับเพื่อรักษาพระองค์ หลังจากฟื้นตัวได้ไม่นาน อาร์ชดัชเชสก็มีพระอาการประชวรหนักขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1798 กระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1798 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย สิริพระชันษา 56 ปี

อ้างอิง

แก้
  • Friedrich Weissensteiner, Die Töchter Maria Theresias, Heyne 1999 (German Book)
  1. Justin C. Vovk: In Destiny's Hands: Five Tragic Rulers, Children of Maria Theresa (2010)
  2. Justin C. Vovk: In Destiny's Hands: Five Tragic Rulers, Children of Maria Theresa (2010), p. 254.