ศักดินา
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ศักดินา เป็นระบบกำหนดชนชั้นทางสังคม คือกำหนดสิทธิในการถือครองที่นาสูงสุด ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ตามจำนวนที่ดินด้วย ทำนองเดียวกับระบบเจ้าขุนมูลนาย (feudalism) ของทวีปยุโรป
ประวัติศาสตร์ไทย | |
---|---|
![]() | |
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ | |
ประวัติศาสตร์ช่วงต้น | |
การเข้ามาอยู่อาศัย | |
แนวคิดถิ่นกำเนิดชนชาติไท | |
บ้านเชียง (ประมาณ 2500 ปีก่อน พ.ศ.) | |
บ้านเก่า (ประมาณ 2000 ปีก่อน พ.ศ.) | |
อาณาจักรมอญ-เขมร | |
ฟูนาน (611–1093) | |
ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12–16) | |
ละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12–1630) | |
เขมร (1345–1974) | |
หริภุญชัย (พุทธศตวรรษที่ 13–1835) | |
ตามพรลิงค์ (พุทธศตวรรษที่ 13–14) | |
อาณาจักรของคนไท | |
ลพบุรี (1648–1931) | |
กรุงสุโขทัย (1781–1981) | |
สุพรรณภูมิ (พุทธศตวรรษที่ 18–1952) | |
พะเยา (1637–1881) | |
ล้านนา (1835–2101) | |
น่าน (พุทธศตวรรษที่ 18–1992) | |
นครศรีธรรมราช (พุทธศตวรรษที่ 18–2325) | |
กรุงศรีอยุธยา | |
กรุงศรีอยุธยา (1893–2310) | |
ประเทศราชเชียงใหม่ (2101–2317) | |
นครศรีธรรมราช (พุทธศตวรรษที่ 18–2325) | |
กรุงธนบุรี | |
กรุงธนบุรี (2310–2325) | |
เชียงใหม่ (2317–2437) | |
กรุงรัตนโกสินทร์ | |
กรุงรัตนโกสินทร์ (2325–2475)
| |
ประเทศสยาม | |
ประเทศสยาม (2475–2516)
| |
ประเทศสยาม (2516–2544)
| |
ประเทศไทย | |
ประเทศไทย (2544–ปัจจุบัน)
| |
ประวัติศาสตร์รายภูมิภาค | |
ประวัติศาสตร์แบ่งตามหัวข้อ | |
| |
กำเนิดแก้ไข
ระบบศักดินาที่พัฒนาต่อมาจากสังคมทาสโดยที่อาณาจักรสุโขทัยตอนต้นเป็นยุคปลายของสังคมทาส จิตร ภูมิศักดิ์สันนิษฐานว่าศักดินาน่าจะปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยอาณาจักรสุโขทัย เพราะมีการปรับไหมตามศักดิ์ พระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทรงประกาศว่า ที่ดินทั้งปวงเป็นของพระมหากษัตริย์ นับเป็นการประกาศเริ่มต้นของสังคมศักดินาอย่างชัดเจน ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หลังจากเอาชนะอาณาจักรสุโขทัยได้ ก็มีการจัดระเบียบที่ดินใหม่ (อาจเรียกว่าเป็นการแบ่งที่ดินใหม่)[1]:130 พร้อมทั้งตราพระอัยการตำแหน่งนาทหารและพลเรือน มีการกำหนดศักดินาของคนในบังคับทั้งปวง เรื่อยมาจนรัชกาลที่ 5 มีการเลิกชนชั้นทาสและไพร่ ส่วนศักดินาถูกล้มเลิกไปส่วนใหญ่ในการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และยกเลิกบรรดาศักดิ์ในเวลาต่อมา
ลักษณะแก้ไข
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของที่ดินทั้งปวง มีสิทธิจับจอง พระราชทาน และริบคืนที่ดินได้ เช่น ใน พ.ศ. 2404 สมัยรัชกาลที่ 4 มีการเกณฑ์คนไปขุดคลองแถวแขวงเมืองนนทบุรี นครไชยศรี แล้วยกที่ดินนั้นให้แก่พระเจ้าลูกเธอโดยยกเว้นการเสียภาษีให้ด้วย[1]:143–4 ในรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2337 ทรงพระราชทานแดนเมืองพระตะบองและเสียมราฐให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)[1]:132
ชนชั้น | ศักดินา (ไร่) |
---|---|
เจ้านายและฝ่ายใน | 2,500–100,000 |
เจ้านายชั้นรองที่ได้รับบรรดาศักดิ์และนางใน | 100–1,000 |
ขุนนาง | 25–10,000 |
ไพร่ | 5–20 |
ทาส | 5 |
ศักดินาที่ระบุไว้เป็นการกำหนดปริมาณที่ดินสูงสุดที่บุคคลหนึ่งจะมีได้[1]:129 ในสมัยหลังมีการสืบทอดมรดก ผู้ที่ได้รับพระราชทานที่ดินไปแล้วแม้ออกจากราชการหรือเสียชีวิตลงไม่ต้องเวนคืนพระมหากษัตริย์ ที่ดินในกรรมสิทธิ์เจ้านายและขุนนางมีมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยมีการแบ่งที่ดินอีก บรรดาที่ดินใหม่ ๆ ที่ถางได้พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงมักครอบครอง[1]:140–1 นอกจากนี้ศักดินาเป็นตัวกำหนดสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ ศักดินาใช้คำนวณเบี้ยหวัดรายปี อัตราปรับไหม ศักดินา 400 ขึ้นไปมีสิทธิ์จ้างทนายความแก้ต่างในศาลได้[1]:142
ในกฎหมายศักดินา เจ้านายทรงกรม หมายถึง เจ้านายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสามารถบังคับบัญชาไพร่พลได้ กรมหนึ่งมีเจ้ากรม ปลัดกรมและสมุห์บัญชี กรมนี้ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียนไพร่ในบังคับ เรียกว่า "เลก"[1]:132
พึงเข้าใจว่าไพร่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมนั้นมีศักดินาเพียง 5 ไร่ เท่ากับขอทานและทาส ไพร่ที่มีศักดินาสูงขึ้นมานั้นเป็นไพร่จำนวนน้อย เช่น ไพร่ในสังกัดเจ้านาย ไพร่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในราชอาณาจักร ไพร่ที่คุมงานโยธา เป็นต้น
ไพร่ชายอายุตั้งแต่ 18 ถึง 60 ปีบริบูรณ์มีหน้าที่ต้อง "เข้าเวร" คือการถูกเกณฑ์แรงงาน (corvée) ทั้งในด้านการเกษตร การโยธา เป็นต้น โดยในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีกำหนดเข้าเวรปีละ 6 เดือน ในช่วงนี้ไพร่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ และต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ทั้งค่าอาหาร วัวควายและเครื่องมือการเกษตร ซ้ำเมื่อออกเวรแล้วต้องเสียค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรองที่เรียก "ตราภูมิคุ้มห้าม" เป็นเงิน 2.35 บาทด้วย[1]:185–6 ต่อมา ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ลดลงเหลือปีละ 4 เดือนและ 3 เดือน สำหรับไพร่ที่ไม่อยากเข้าเวรสามารถจ่ายส่วยแทนแรงได้ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์คิดปีละ 12 บาท สำหรับอัตราในสมัยอยุธยาตอนปลายไม่เท่ากัน มีตั้งแต่เดือนละ 3–8 บาท[1]:176–7 ในรัชกาลที่ 1 คิดปีละ 18 บาท สมัยรัชกาลที่ 5 หลังเลิกไพร่แล้ว มีการเก็บ "ค่าราชการ" ชายอายุ 18–60 ปีที่ไม่ถูกเกณฑ์ทหารปีละ 6 บาท ในรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนให้เก็บครอบคลุมยิ่งขึ้น เรียกว่า "เงินรัชชูปการ"
ชนชั้นนักบวชแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความสัมพันธ์ทางชนชั้นแก้ไข
ไพร่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมนั้นถูกจำกัดการใช้ประโยชน์ชองที่ดินอย่างยิ่ง แม้ว่าไพร่จะได้รับระบุศักดินาซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่สามารถถือครองที่ดินได้สูงสุดนั้น แต่ในความเป็นจริงต้องสังกัดอยู่กับขุนนางอยู่ดี ขุนนางเหล่านั้นสามารถสั่งให้ไพร่ลงแรงทำนาในที่นาของตนแล้วเรียกเก็บส่วย[1]:165 ในการทำนา ไพร่ต้องเสียอากรค่านาให้หลวง และถูกบังคับขายให้หลวงไร่ละ 2 ถังโดยได้เงินครึ่งเดียว[1]:202 ทั้งนี้อากรค่านาเป็นรายได้หลักของราชสำนักสมัยก่อน[1]:205 นอกจากนี้ มีการศึกษาพบว่าการทำกสิกรรมในพื้นที่น้อยกว่า 6 ไร่มีแต่ขาดทุน[1]:151 บางคนที่เช่าที่นาคนอื่นทำกินต้องเสียทั้งค่าเช่า และอากรค่านาให้หลวงแทนเจ้าของที่ดินด้วย จึงเป็นเหตุให้ไพร่ต้องกู้หนี้ยืมสินเป็นจำนวนมาก โดยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 37.5 ต่อเดือน (หรือร้อยละ 450 ต่อปี)[1]:166 เมื่อสิ้นเนื้อประดาตัว บ้างก็ขายลูกเมียหรือตนเองไปเป็นทาส บ้างไปเล่นพนันหรือหวยเพื่อหวังมีเงินทอง หญิงบางคนก็ขายตัวเองเป็นโสเภณี
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิงแก้ไข
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
วิกิพจนานุกรม มีความหมายของคำว่า ศักดินา |