รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าในประเทศบราซิล
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าในประเทศบราซิลเป็นหัวข้อที่มีการอภิปรายมาอย่างน้อยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 โดยในปี 2544 เอดูวาร์ดู ซูปลีซี สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคแรงงานบราซิล เสนอกฎหมายซึ่งกำหนดให้มีสถาบันระบบสวัสดิการที่ก้าวหน้าดังกล่าว ทำให้บราซิลเป็นประเทศแรกของโลกที่มีกฎหมายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ร่างกฎหมายดังกล่าวเรียกร้องให้มีการตั้งรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าโดยเริ่มจากผู้ยากไร้ก่อน จนวุฒิสภาผ่านกฎหมายดังกล่าวในปี 2545 และสภาผู้แทนราษฎรในปี 2546 ประธานาธิบดีลงนามเป็นกฎหมายในปี 2547[1] โดยประธานาธิบดีมีหน้าที่ต้องค่อย ๆ นำการปฏิรูปดังกล่าวไปปฏิบัติ นับแต่นั้นประเทศบราซิลเริ่มใช้กฎหมายนี้ผ่านโครงการโบลซาฟามีลียา ซึ่งเป็นแกนกลางของนโยบายสังคมของประธานาธิบดีลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา และเชื่อว่ามีส่วนทำให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2549
โบลซาฟามีลียา แก้
โบลซาฟามีลียาเป็นโครงการสวัสดิการสังคมของรัฐบาลบราซิล ซึ่งมุ่งลดความยากจนในระยะสั้นโดยการโอนเงินสดโดยตรงและการต่อสู้ความยากจนในระยะยาวโดยการเพิ่มทุนมนุษย์ในหมู่คนจนผ่านการโอนเงินสดแบบมีเงื่อนไข นอกจากนี้ยังพยายามให้การศึกษาแบบให้เปล่าแก่เด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อแสดงความสำคัญของการศึกษา[2] ส่วนของโครงการที่ว่าด้วยสิทธิประโยชน์สวัสดิการโดยตรงอาจเรียกได้ว่าเป็นรายได้พื้นฐานแบบมีเงื่อนไขบางอย่าง ครอบครัวที่มีบุตรที่มีสิทธิได้รับรายได้ดังกล่าวนั้น จะต้องดูให้แน่ใจว่าบุตรเข้าโรงเรียนและรับการฉีดวัคซีน โครงการโบลซาฟามีลียาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนลดความยากจนในประเทศบราซิล ซึ่งลดลงร้อยละ 27.7 ระหว่างรัฐบาลลูลาสมัยแรก[3] โครงการนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น "โครงการทำนองนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก"[4] จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 มีประชากรบราซิลร้อยละ 26 อยู่ในโครงการ จนถึงเดือนมีนาคม 2563 โครงการครอบคลุมครอบครัว 13.8 ล้านครอบครัว[5] และได้รับเงินเฉลี่ย 34 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (บราซิลมีค่าแรงขั้นต่ำ 190 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน)[6]
ปฏิกิริยาจากนานาชาติส่วนใหญ่เป็นแบบกระตือรือร้น พอล วุลโฟวิตซ์ อดีตประธานธนาคารโลก กล่าวในปี 2548 ว่า "โบลซาฟามีลียากลายมาเป็นตัวแบบนโยบายสังคมที่มีประสิทธิภาพได้รับการยกย่องอย่างสูงไปแล้ว ประเทศทั่วโลกกำลังถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของบราซิลและกำลังพยายามสร้างผลลัพธ์เดียวกันสำหรับประชาชนของตน"[7] นักคิดและนักปรัชญาเศรษฐศาสตร์ โจเซฟ ฮีธ ยกย่องโครงการในหนังสือ Economics without Illusions โดยอ้างมันว่าเป็นตัวอย่างของวิธีการจัดการสิ่งเร้าแก่ประชาชนซึ่งความยากจนเป็นผลมาจากการคิดลดแบบไฮเปอร์โบลิก (hyperbolic discounting)[8]
ข้อวิจารณ์ แก้
ข้อวิจารณ์หนึ่งที่พบบ่อยและซ้ำ ๆ คือ สมมติฐานว่าโครงการจะทำให้คนไม่กระตือรือร้นทำงาน ส่งเสริมความเกียจคร้าน ทำให้คนพอใจที่จะอยู่ภายใต้โครงการนี้ คริสตจักรคาทอลิกผ่านการประชุมบิชอปแห่งชาติบราซิลยืนยันว่า "โครงการนี้เป็นสิ่งเสพติด" และทำให้ผู้ได้รับประโยชน์ตกสู่ "การเกื้อกูล"[9][10]
อย่างไรก็ดี ข้อค้นพบของธนาคารโลกกลับสรุปว่าโครงการนี้มิได้ทำให้คนทำงานลดลง หรือทำให้คนไม่สนใจเลื่อนฐานะทางสังคม ในทางกลับกัน เบเนดิกต์ เดอ ลา บรีแยร์ ผู้รับผิดชอบการเฝ้าติดตามโครงการระบุว่า "งานผู้ใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการโอนรายได้ ในบางกรณี คนกลับยิ่งทำงานหนักขึ้นเพราะการมีหลักประกันอันนี้ทำให้พวกเขารับความเสี่ยงในกิจกรรมได้มากขึ้นด้วยซ้ำ"[11]
การสำรวจและการวิจัย แก้
การสำรวจของรัฐบาลกลางบราซิลพบว่าผู้ได้ประโยชน์ใช้จ่ายเงินจากมากไปน้อยตามลำดับดังนี้ อาหาร อุปกรณ์การเรียน เครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า[12] การศึกษาของมหาวิทยาลัยเปร์นัมบูกูใช้วิธีการทางสถิติที่ซับซ้อนอนุมานว่าประชากรในชนบทใช้เงินร้อยละ 87 เพื่อซื้ออาหาร[13]
จากการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยบางแห่งและสถาบันภูมิศาสตร์และสถิติแห่งบราซิล พบว่าโครงการได้มีส่วนอย่างชัดเจนในผลที่ดีขึ้นในการต่อสู้กับความยากจนของบราซิล การประเมินเศรษฐมิติของโครงการพบว่ามีผลอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการเข้าเรียนและจำนวนเด็กที่ใช้แรงงานเด็ก[14][15]
ธนาคารโลกซึ่งให้เงินกู้แก่รัฐบาลบราซิลในการจัดการโครงการ[16] ประกาศว่า "แม้โครงการยังมีอายุค่อนข้างน้อย แต่ผลลัพธ์บางอย่างประจักษ์แล้ว รวมทั้ง [...] การมีส่วนต่อผลลัพธ์การศึกษาที่ดีขึ้น และผลกระทบต่อการเติบโตของเด็ก การบริโภคอาหาร และคุณภาพอาหาร"[17]
การศึกษาของศูนย์นโยบายระหว่างประเทศสำหรับการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (International Policy Centre for Inclusive Growth) พบว่า สิทธิประโยชน์กว่าร้อยละ 80 ของโครงการตกแก่ครอบครัวยากจน[18]
โครงการอื่น แก้
กวาชิงกาแวลยู แก้
กวาชิงกาแวลยูเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศบราซิล ซึ่งมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะมีโครงการรายได้พื้นฐาน โครงการเริ่มตั้นในปี 2551 และจัดระเบียบโดยเรซีวีตัสซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงผลกำไร เงินทุนปัจจุบันมาจากเงินบริจาคของเอกชนทั้งหมด ในเดือนมิถุนายน 2554 ชาวบ้าน 83 คนในหมู่บ้านได้รับเงิน 30 เรอัลบราซิลต่อคนต่อเดือน[19] องค์การหวังว่าชาวบ้านจะได้รับรายได้พื้นฐานในที่สุด และสุดท้ายจะมีโครงการทำนองเดียวกันในหมู่บ้านอื่นทั้งในและนอกประเทศบราซิล ทั้งนี้ผู้จัดกำลังสร้างธนาคารชุมชน เพื่อให้รายได้พื้นฐานในอนาคตมาจากเงินลงทุนไม่ใช่เงินบริจาค โดยกำไรของธนาคารจะเปลี่ยนเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นและผู้จัดการ แผนหนึ่งใช้เพื่อสนับสนุนโครงการรายได้พื้นฐานในประเทศนามิเบียและส่วนอื่นของบราซิล[20]
ซังตูอังโตนียูดูปีญัล แก้
ในเดือนพฤศจิกายน 2552 นายกเทศมนตรีเทศบาลซังตูอังโตนียูดูปีญัลผ่านโครงการรายได้พื้นฐานเป็นกฎหมาย[21] โดยกันรายได้ภาษีร้อยละ 6 เพื่อสนับสนุนเงินปันผลอย่างไม่มีเงื่อนไขแก่ประชากรทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นาน 5 ปีเป็นต้นไป[22]
อาปียาอี แก้
ในเดือนพฤศจิกายน 2556 เทศบาลอาปียาอีเริ่มใช้กฎหมายทำนองเดียวกันกับที่ใช้ในซังตูอังโตนียูดูปีญัล แต่เงินไม่ได้มาจากภาษีของเทศบาลที่จัดสรรให้กับกองทุนโดยตรง เนื่องจากถูกยับยั้ง[23]
อ้างอิง แก้
- ↑ Lei Nº 10.835, de 8 de Janeiro de 2004. Institui a renda básica de cidadania e dá outras providências. (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ Decree nº 5.209, de 17 de setembro de 2004 – Regulates a Law-010.836-2004 – Bolsa Família Program. เก็บถาวร ตุลาคม 29, 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Nilson Brandão Junior; Marianna Aragão (20 September 2007). "Miséria no Brasil cai 27,7% no 1º mandato de Lula". O Estado de S. Paulo (ภาษาโปรตุเกส). p. B14.
- ↑ Duffy, Gary (25 May 2010). "Family friendly: Brazil's scheme to tackle poverty". BBC News.
- ↑ Provost, Claire (21 February 2011). "Social security is necessary and globally affordable, says UN". The Guardian. London.
- ↑ Osborn, Catherine (2020-08-31). "Coronavirus-Hit Brazil Considers Major Public Funds For Poor And Unemployed". NPR. สืบค้นเมื่อ 2020-09-02.
Family allowance - Brazil is renowned for its massive, nearly 2-decade-old cash-transfer program for the poor, Bolsa Família (often translated as "family allowance"). As of March, it reached 13.8 million families, paying an average of $34 per month. (The national minimum wage is about $190 per month.)
- ↑ News and Broadcast – Brazil’s Bolsa Familia Program Celebrates Progress in Lifting Families out of Poverty
- ↑ Heath, Joseph (2010). Economics without Illusions: Debunking the Myths of Modern Capitalism. New York, NY: Broadway Books. p. 270. ISBN 978-0-307-59057-2.
- ↑ "An economic policy of the power of money for money", CNBB, 1 March 2010 เก็บถาวร 11 มีนาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ "A Referendum" to divide farms?", CNBB, 27 July 2010 เก็บถาวร 11 มีนาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ BRAMATTI, Daniel. Banco Mundial vê Bolsa Família como modelo., São Paulo: Política, Terra Magazine, Sep. 17, 2007, 08h18 (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ Bolsa Família, Perguntas e Respostas เก็บถาวร 2007-10-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Veja Online (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ DUARTE, Gisléia Benini, et al. Impactos do Programa Bolsa Família Sobre Os gastos Com Alimentos De Famílias Rurais เก็บถาวร 2012-02-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ SSRN-Ex-ante Evaluation of Conditional Cash Transfer Programs: The Case of Bolsa Escola by Francois Bourguignon, Francisco Ferreira, Phillippe Leite
- ↑ "RAWLINGS, Laura B. e RUBIO, Gloria M. Evaluating the Impact of Conditional Cash Transfer Programs - Lessons from Latin America, Volume 1, World Bank Policy Research Working Paper 3119, August 2003, The World Bank, 2003". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-16. สืบค้นเมื่อ 2010-10-16.
- ↑ "– Bolsa Familia Project, The World Bank". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-07. สืบค้นเมื่อ 2012-12-08.
- ↑ Brazil’s Bolsa Familia Program Celebrates Progress in Lifting Families out of Poverty, News & Broadcast, The World Bank, Brasilia, Brazil, December 19, 2005
- ↑ untitled เก็บถาวร ตุลาคม 13, 2008 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "ReCivitas.org official website". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-03. สืบค้นเมื่อ 2013-11-28.
- ↑ BRAZIL: RECIVITAS expands its local BIG to 83 people as it charters the “BIG Social Bank" เก็บถาวร 2013-12-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน BI News 2011-06
- ↑ "Lei Número 1.090, de 12 de Novembro De 2.009 - "Institui a Renda Básica da Cidadania de Santo Antônio do Pinhal e Dá Outras Providências."" (PDF) (ภาษาโปรตุเกส). Prefeitura Municipal de Santo Antônio Do Pinhal. 12 November 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 December 2014. สืบค้นเมื่อ 21 December 2014.
- ↑ Luiz Antonio Cintra (8 October 2010). "Renda mínima para todos?" (ภาษาโปรตุเกส). CartaCapital. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2014. สืบค้นเมื่อ 21 December 2014.
- ↑ "Lei municipal nº 041 de 11 de Novembro de 2013 — Institui a Renda Básica de Cidadania no Município de Apiaí". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-02. สืบค้นเมื่อ 2021-01-20.