ระนาด

เครื่องดนตรีไทย

ระนาด เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง จัดเป็นเครื่องดนตรีชนิดเครื่องตีมี 5 ชนิด เช่น ระนาดเอก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก และระนาดแก้ว

ศัพทมูลวิทยา

แก้

คำว่า ระนาด เป็นคำไทยที่ยืดเสียงหรือแผลงมาจากคำว่า ราด (rāt)[1][2][3] แปลว่า "วางเรียงแผ่ออกไป ทําให้กระจายออกไป" เป็นกิริยาที่เอาไม้กรับหรือลูกระนาดมาวางเรียงลดหลั่นตามขนาดกันไป[4] ทางด้านดุริยศัพท์มีคำพ้องเป็นคำกลอนว่า ปี่พาทย์ ราดตะโพน สำหรับประโคมทับ (ธรรพ) พบในเอกสารที่จารในสมุดข่อยเรื่อง คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย ในส่วนที่เกี่ยวกับงานพระเมรุ[5] โดยคำว่า ราด ในทีนี้หมายถึงระนาด[6]

ในภาษาไทยถิ่นเหนือ (ล้านนา) คำว่า พาทย์ หมายถึง ระนาด เครื่องประโคม เทียบกับคำสันสกฤตว่า วาทฺย (ขอมหมายถึง พิณพาทณ์)[7]

สงัด ภูเขาทอง ครูดนตรีไทยเสนอว่า คำว่า ระนาด อาจมาจากคำภาษามอญว่า ปาต หมายถึง ระนาด หรืออาจมาจากภาษาเขมรว่า ราส (ออกเสียงว่า เรียะส์) ไทยออกเสียงว่า ราด แปลว่า คราด[8] ส่วนภาษาเขมรสมัยใหม่เขียนว่า รนาต[9] (เขมร: រនាត, เสียงอ่านภาษาเขมร: [rɔniet], คำแปล: "xylophone, gamelan (kind of Khmer percussion instrument).")[10] ไม่ปรากฏคำจารึกที่หมายถึงระนาดสมัยเมืองพระนครและภาษาเขมรเก่า[11]

ประวัติ

แก้

สมัยทวารวดี-ขอมเมืองพระนคร

แก้

ต้นแบบระนาดโบราณพบหลักฐานปรากฏเป็นรูปลายแกะสลักสลักศิลาจารึกโบโรบูดูร์[3] สมัยราชวงศ์ไศเลนทร์ อายุคริสต์ศตวรรษที่ 8–9 เป็นวัดพุทธศาสนานิกายมหายานตั้งอยู่ที่มาเกอลัง จังหวัดชวากลาง ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน แต่ไม่ปรากฏว่าต้นแบบระนาดโบราณถูกถ่ายทอดไปยังระนาดที่ทำจากไม้หรือไม่[3] เนื่องจากไม้เป็นวัสดุไม่คงทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นจึงไม่หลงเหลือต้นแบบระนาดที่ทำจากไม้ ต่อมาเชื้อพระวงศ์ชวาของราชวงศ์ไศเลนทร์ได้แผ่อำนาจไปถึงอาณาจักรขอมเมืองพระนครหลวงจึงได้เอาฆ้องและระนาดเข้าไปเผยแพร่ด้วย[12] อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏคำจารึกขอมสมัยเมืองพระนครหลวงที่มีการกล่าวถึงระนาด[11]

ทั้งมอญ ลัวะ (ละว้า) และขอมต่างมีอำนาจผลัดกันปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ขอมเรืองอำนาจทางดินแดนตะวันออกและตอนเหนือบางส่วน ลัวะเรืองอำนาจดินแดนทางเหนือ ส่วนดินแดนตะวันตกเป็นข้างมอญ ทั้งมอญและขอมต่างก็มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ขอมทิ้งร่องรอยสถาปัตยกรรมแต่มอญไม่เห็นร่องรอยเด่นชัดนักแต่เป็นที่เชื่อกันว่าพวกมอญนี้มีดนตรีที่ก้าวหน้ามากตามที่ปรากฏหลักฐาน ปูนปั้นปัญจดุริยนารี เชื่อว่ามอญมีระนาดและฆ้องวงใช้แล้ว[13]

สงัด ภูเขาทอง ครูดนตรีไทยอธิบายว่าวงดนตรีของมอญเรียกว่า วงปาต อาจหมายถึงวงพาทย์อย่างของไทย คำว่า ปาต ในภาษามอญหมายถึงระนาด ส่วนภาษาพม่าเรียกว่า ปัจยา หรือ ปัตตลาร์ (patala)[14] ไทยคงนำชื่อ วงปาต มาตั้งชื่อเป็นวงพาทย์ หมายถึง การตีระนาดหรือเครื่องตี เครื่องประโคม เมื่อเป็นเช่นนี้ ระนาดของไทยคงมีมาแต่สมัยสุโขทัยก็เป็นได้[8] แต่ก็มีกล่าวว่าไทยอาจรับระนาดมาจากขอมเมืองพระนครหลวงซึ่งได้ระนาดมาจากชวาอีกทอดหนึ่ง[12]

สมัยสุโขทัย-อยุธยา

แก้

ระนาดในประเทศไทยพบว่าระนาด (เอก) มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว[15] เพียงแต่ ไตรภูมิพระร่วง และในหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลักเรียก ระนาด เป็น พาทย์ เท่านั้นเอง[15] เนื่องจากคำว่า พาทย์ เข้าเค้าเพราะมีคำที่น่าสงสัยว่า พาทย์ จะหมายถึง ระนาด ได้ 2 แห่ง กล่าวคือ ไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า "บางคนตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ" และในจารึกวัดพระยืนว่า "ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง" ชวนให้น่าคิดว่า พาทย์ ในที่นี้จะหมายถึงระนาดก็ได้[16] นอกจากนี้คำว่า พาทย์ ในภาษาไทยถิ่นเหนือ (ล้านนา) ยังหมายถึงระนาด[7]

คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) และลิขิต จินดาวัฒน์อธิบายว่า คำว่า พาทย์ ในที่นี้จะหมายถึงระนาดได้หรือไม่ ไม่ทราบได้แต่เข้าใจว่าระนาดน่าจะมีใช้แล้วแต่ท่านผู้รู้ทั้งหลายเชื่อกันว่าในสมัยสุโขทัยไม่มีระนาด[17]

สมัยอยุธยาพบว่าระนาดเข้าไปประสมในวงปี่พาทย์ราวสมัยอยุธยาตอนกลาง[18] เชื่อว่าระนาดในสมัยนี้มีวิวัฒนาการมาจากกรับหรืออาจวิวัฒนากามาจากโกร่ง เดิมใช้ไผ่บงทำลูกระนาด ภายหลังจึงนำไม้แก่น เช่น ไม้มะหาด ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน มาเหลาทำลูกระนาด ส่วนหลักฐานสมัยอยุธยาตอนปลาย ปรากฏระนาดว่า ราด ความว่า:–

ดังไปด้วยเสียงฆ้อง กลอง แลปี่พาทย์ ราดตะโพน แลเสียงดุริยางค์ดนตรีทั้งปวง…[5]

— คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย (ส่วนที่เกี่ยวกับงานพระเมรุ)

ลักษณะ

แก้

ระนาดประกอบด้วย ลูกระนาด ร้อยด้วยเชือก เรียกว่า "ผืน" แขวนไว้กับ ราง ซึ่งทำหน้าที่รองรับลูกระนาด (แขวนลอย ไม่ได้วางรายกับราง) และทำหน้าที่เป็นกล่องเสียงด้วย ผู้เล่นจะใช้ ไม้ตี 1 คู่ สำหรับตีลูกระนาดให้เกิดเป็นท่วงทำนอง

ไม้ตีระนาด มีด้วยกัน 2 แบบ คือ ไม้นวม จะให้เสียงทีฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความไพเราะ นุ่มนวลที่หัวของไม้ จะใช้ผ้าพันให้เป็นนวมก่อนจากนั้นจะใช้เส้นด้ายพันทับอีกที ไม้ตีระนาดชนิดนี้นิยมใช้เล่นบรรเลงในวงมโหรี, วงปี่พาทย์ไม้นวม และ ไม้แข็ง ซึ่งจะให้เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความมีอำนาจ และแข็งแกร่ง ลักษณะของไม้จะพันเช่นเดียวกันกับไม้นวม เพียงแต่จะชุบด้วย "รัก" เป็นระยะ และที่ชั้นนอกสุด แล้วจึงพันอีกครั้งด้วยผ้าดิบบาง ๆ เป็นอันเสร็จ ทำให้ได้หัวไม้ที่แข็ง และสังเกตได้ง่าย ๆ ที่สีของหัวไม้ซึ่งจะดำสนิท

ระนาดของไทยนั้น มีด้วยกัน 5 ชนิด ดังนี้

อ้างอิง

แก้
  1. ธนิต อยู่โพธิ์. (2533). เครื่องดนตรีไทยและตำนานการประสมวงมโหรี ปี่พาทย์ และเครื่องสาย. (พิมพ์ครั้งที่ 7). พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศก นางลออ มโนพัฒนะ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พุทธศักราช 2533. กรุงเทพฯ: อักษรธเนศวร. น. 17. ISBN 9744170867
  2. พงษ์ศิลป์ อรุณรัตน์. (2550). ปฐมบทดนตรีไทย. นครปฐม: โครงการตำราและหนังสือ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. น. 70. ISBN 9789746411851 "คำว่าระนาดนั้นมีการสันนิษฐานว่าเป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า "ราด" เพราะมีคำที่พูดกันติดปาก..."
  3. 3.0 3.1 3.2 Morton, David (1976). The Traditional Music of Thailand. Berkeley, CA: University of California Press. p. 54. ISBN 9780520018761, 0520018761 LCCN 70-142048
  4. ธนิต อยู่โพธิ์. (2544). เครื่องดนตรีไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. น. 15. ISBN 9789744194145
  5. 5.0 5.1 เกรียงไกร เกิดศิริ. (2560). "อันเนื่องมาแต่ คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย (คัดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับงานพระเมรุ)," งานพระเมรุ: ศิลปสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มติชน. น. 138. ISBN 9789740215769 "ดังไปด้วยเสียงฆ้อง กลอง แลปี่พาทย์ ราดตะโพน แลเสียงดุริยางค์ดนตรีทั้งปวง..."
  6. วิทย์ พิณคันเงิน. (2515). "ปริทัศน์วัฒนธรรมไทย (ตอนสาม)," วารสารวัฒนธรรมไทย, 12(2)(เมษายน 2515): 41. "... "ปี่พาทย์ ราด ตะโพน" ราดคือ ระนาดนั่นเอง"
  7. 7.0 7.1 อุดม รุ่งเรืองศรี. (2547). พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1). เชียงใหม่: ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. น. 474. ISBN 9789746851756
  8. 8.0 8.1 สงัด ภูเขาทอง. (2532). การดนตรีไทยและทางเข้าสู่ดนตรีไทย. กรุงเทพฯ: Dr. Sax. น. 229. ISBN 9789747443653
  9. กาญจนา นาคสกุล. (2548). พจนานุกรมไทย-เขมร. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. น. 767. ISBN 9789741316229. "ระนาด /ra-nâat/ น. រនាត รนาต /rɔ̱-niət/ "
  10. Headley, Richard K. (1977). Cambodian English Dictionary: Volume II ម អ. Washington, D.C.: Catholic University of American Press. p. 817. ISBN 9780813205090 "រនាត /rɔniet/ n. xylophone, gamelan (kind of Khmer percussion instrument)."
  11. 11.0 11.1 Nicolas, Arsenio. "Musical nomenclature for the Sanskrit term kangsa in Southeast Asia" in Ray, Himanshu Prabha (2021). The Archaeology of Knowledge Traditions of the Indian Ocean World. Oxon; New York, NY: Routledge. p. 219. ISBN 9780367335465
  12. 12.0 12.1 วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช และกรมศิลปากร. (2531). รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ 4 เรื่อง ศิลปวัฒนธรรมนครศรีธรรมราชกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช ณ โรงแรมไทยโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 14-17 สิงหาคม พุทธศักราช 2529. นครศรีธรรมราช: วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช. น. 152.
  13. ปัญญา รุ่งเรือง. (2546). ประวัติการดนตรีไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. น. 24. ISBN 9789740855361
  14. Lu, Sylvia Fraser (2000). Burmese Lacquerware. (Revised ed). Bangkok: Orchid Press. p. 117. ISBN 9789748304823
  15. 15.0 15.1 ราชบัณฑิตยสถาน. (2498). "ปี่พาทย์," สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 19: ปิงคละ-ฝ้าย. พระนคร: ราชบัณฑิตยสถาน. น. 11,924. ISBN 9748120392
  16. ธนิต อยู่โพธิ์. (2507). คำบรรยายสัมนาโบราณคดีสมัยสุโขทัย พ.ศ. 2503. กรมศิลปากรรรวบรวมจัดพิมพ์เนื่องในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2507. พระนคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร. น. 41–42.
  17. ชิ้น ศิลปบรรเลง, คุณหญิง และลิขิต จินดาวัฒน์. (2521). ดนตรีไทยศึกษา. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. น. 44. OCLC 857989777
  18. บุญยงค์ เกศเทศ. (2520). เอกสารประกอบคำบรรยายวรรณคดีไทยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (Thai 322: Historical literaturs) ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เรื่อง ประวัติศาสตร์วรรณกรรม. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัดอักษรบัณฑิต. น. 83. OCLC 683089865

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้