ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอลับแล"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Billner2009 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบขึ้นใหม่ ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
||
บรรทัด 16:
| image_map = Amphoe 5308.svg
}}
อำเภอลับแล หรือ เมืองลับแล(ง) เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มเชิงเขาคู่ขนานระหว่างแม่น้ำน่านกับแม่น้ำยม ที่มีห้วยลำน้ำแม่พร่องเป็นสายน้ำสำคัญ อันเป็นจุดกำเนิดของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์
== ประวัติเมืองลับแล ==
[[ไฟล์:ชาวลับแล.jpg|200px|left|thumb|
[[ไฟล์:Wat-Cedi-Script.jpg .jpg|150px|thumb|ศิลาจารึกเจดีย์พิหาร ขุดได้ที่หน้าวิหาร[[วัดเจดีย์คีรีวิหาร]] มหาอำมาตย์ตรี พระยานครพระราม ส่งเข้าหอสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ เมื่อปี [[พ.ศ. 2473]] ศาสตราจารย์ ดร.[[ประเสริฐ ณ นคร]] ให้ความเห็นว่าเนื้อหาจารึกน่าจะกล่าวตั้งแต่ครั้งเมื่อ[[พระยาลิไทย]]ขึ้นเสวยราชย์ เป็นหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่าอาณาบริเวณเมืองลับแลปัจจุบัน เป็นชุมชนที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย]]
พุทธตำนานกล่าวถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่านแล้วให้พระบรมสารีริกธาตุไว้กับพญาเก้งทอง รับแล้วก็ฝังไว้ระหว่างเหลี่ยมเขาจนถึงยามเย็นพญาเก้งทองก็ตายพระพุทธเจ้าจึงทำนายไว้ว่าต่อไปอนาคตจะมีผู้คนมาอยู่แล้วได้ชื่อว่า “เมืองลับแลงไชย”<ref>'''ตำนานฉบับเกล๊า พระเจ้ายอดคำติ๊บ วัดลับแลง(หลวง).'''อุตรดิตถ์ : คณะทำงานศึกษาประวัติศาสตร์เมือง ลับแล (เมืองลับแลง), ๒๕๖๑.
'''ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี'''. เชียงใหม่ : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่
สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, ๒๕๓๘.
'''ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย'''. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ๒๕๕๓, คำให้การชาวกรุงเก่า ใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, นนทบุรี: ศรีปัญญา, หน้า ๕๓๔-๕๓๕
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี , ค้นเมื่อ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พิเศษ เจียรจันทร์พงษ์ นำเสนอ, ๒๕๔๕, ราชวงษ์พงศาวดารพม่า (นายต่อแปล), กรุงเทพ: มติชน, หน้า ๒๙๕
จดหมายขอนไม้สักส่วย เมืองลับแล จ.ศ. ๑๑๙๘ เลขที่ ๒๕.
จดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๓
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๗ หน้า ๑ - ๔๒ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓)
</ref>
เมืองลับแลงตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำจึงผู้คนเดิมชาวกะลอม(ขอม)อาศัยอยู่ ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงจึงนำคนสุโขทัยมาทำนาปลูกข้าว จึงเป็นเมืองที่อยู่ในความปกครองของรัฐสุโขทัยที่ชื่อว่าเมืองสระหนองหลวง (เมืองทุ่งยั้ง) ในสมัยพระญาลิไทได้ยกเมืองสระหนองหลวงขึ้นกับเมืองเชลียง และสร้างพระมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ที่ม่อนเชียงแก้ว โดยให้ชื่อว่า “เจติยะพิหารอารามคีรีเขต” (ศิลาจารึกเจดีย์พิหาร หลักที่ ๓๑๙)<ref name=":0" /> และเกิดเหตุน้ำท่วมดินโคลน ผู้คนในเมืองล้มตาย บ้านเมืองร้างจึงได้ชื่อว่าเมืองทราก (ซาก) ต่อมา พ.ศ. ๑๙๔๘ เจ้ายี่กุมกามจึงนำคนเชื้อสายชาวยวนจากเมืองเชียงรายมาอยู่ที่เมืองซากตามคำเชิญของพระญาไสลือไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๓)
จนกระทั่งเกิดศึกสงครามระหว่างล้านนากับกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๙๙๔ พระเจ้าติโลกราชยกทัพจากเมืองเชียงใหม่ มาตีเมืองซากแตกได้ยามเย็น จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองลับแลงไชย” แปลว่าได้ชัยชนะตอนเย็น แล้วขึ้นครองเมืองลับแลงไชย เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ของแรกของเมืองลับแลงไชย ในศึกนั้นได้สร้างพระพุทธรูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอุทิศให้กับเจ้ายี่กุมกาม แล้วยกทัพไปตีเมืองเมืองเชลียงได้ จึงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเชียงชื่น โดยให้เจ้าหมื่นด้งครอง ต่อมาไม่นานพระญาเจ้าติโลกราชสั่งประหารเจ้าหมื่นด้งนคร นางอั้วป้านคำ นางเมืองเชียงชื่นโกรธไม่พอใจจึงได้ยกเมืองเชลียงและเมืองลับแลงคืนให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ตั้งแต่นั้นเมืองลับแลงก็เป็นเมืองที่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ในสมัยอยุธยา ชาวลับแลงได้ถูกเกนคนไปช่วยทำศึกร่วมกับกรุงศรีอยุธยาอยู่เนือง ๆ จนเสร็จศึกหงสาวดีกับกรุงศรีอยุธยา เมืองลับแลงได้ขึ้นกับเมืองพิไชย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ใน พ.ศ. ๒๒๐๕ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จไปตีเชียงใหม่ได้ผ่านทัพเข้าเมืองลับแลในครานั้นได้บรูณะวิหารหลวงวัดบุปผารามสวนดอกไม้สัก (วัดดอนสัก) ด้วย
ในสมัยธนบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ พระเจ้าตากสินเสด็จไปปราบก๊กพระฝางที่เมืองฝางสวางคบุรี หลังจากนั้นได้ทรงให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม และพระมหาธาตุ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยั้งทัพเมืองศรีพนมมาศ ทุ่งยั้ง กระทำการสมโภชพระแท่นศิลาอาสน์ถึงสามวัน
ในสมัยนั้น เมืองลับแล ถูกกองทัพพม่าเชียงใหม่มาตีจนแตกในปีพ.ศ.๒๓๑๕ ซึ่งอยู่ในยุคของพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และหลังจากนั้นก็ยกไปตีเมืองพิชัยต่อแต่ไม่สามารถตีเมืองพิชัยได้จึงยกทัพกลับ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงสงครามเก้าทัพ เมืองลับแลได้ถูกเนมโยจิสูแม่ทัพพม่าตีแตก หลังจากเสร็จศึกเก้าทัพ เมืองลับแลมีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของท่าการค้าเหนือสุดของอาณาจักรสยามในหน้าที่คุมการค้าแม่น้ำน่านควบคู่กับเมืองฝางและบางโพ(อำเภอเมืองอุตรดิตถ์) ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หลังเสร็จศึกกบฏเจ้าอนุวงศ์ เชลยชาวลาวพุงขาว(ลาวพวน) ได้มาอยู่อาศัยที่เมือง ลับแลจำนวน ๕๐ คน ส่งส่วยขอนไม้สักลงพระนคร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีพื้นบริเวณตั้งของอำเภอลับแล มีเมืองที่ขึ้นต่อเมืองพิไชยถึง ๓ เมือง คือ เมืองทุ่งยั้ง,เมืองลับแล,เมืองด่านนางพูน จนปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้ยุบเมือง ๓ เมือง ตั้ง เมืองลับแล เพื่อง่ายต่อการปกครอง โดยตำแหน่งพระพิศาลคีรี เป็นผู้ว่าราชการเมือง ในสมัยนี้ยังมีคนเชื้อสายมีผู้คนเชื้อสายชาวจีนนำโดยนายจีนทองอินมาทำการค้าในเมืองลับแล และมาจัดวางรากฐานความเจริญทางเศรษฐกิจและการปกครองจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามลำดับจนถึงยศคุณพระ ในราชทินนาม “พระศรีพนมมาศ”และในสมัยในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้เปลี่ยนการเรียกเลือกเมืองเป็นอำเภอลับแล จนถึงปัจจุบัน
ฉะนั้นอำเภอลับแลจึงเป็นเมืองที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อสาย ทั้งชาวเชื้อสายพูดสำเนียงสุโขทัย เชื้อสายไท-ยวนพูดกำเมืองแบบล้านนา เชื้อสายชาวพวนพูดคล้ายกับคนเมืองและเชื้อสายจีนจนหล่อรวมจนเป็นอัตลักษณ์อำเภอลับแลมาจนถึงทุกวันนี้
== ศิลปะวัฒนธรรม ==
ชาวเมืองลับแลดั้งเดิม มีภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ คือในชุมชนรอบพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ตำบลทุ่งยั้ง ตำบลไผ่ล้อม ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ปรากฏหลักฐานในสมัยสุโขทัย และชุมชนเดิมในพื้นที่ตั้งตัวอำเภอลับแล ก่อนที่จะถูกทิ้งร้าง ปรากฏหลักฐานศิลาจารึกการสถาปนาพระธาตุเจดีย์พิหารในสมัยพระยาลิไทย สันนิษฐานว่าแถบที่ตั้งเมืองลับแลทั้งหมด เป็นชุมชนที่ใช้ภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณมาก่อนนับ ๗๐๐ ปี<ref name=":0">ศิลาจารึก . (๒๕๔๘). ประชุมจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพ : กรมศิลปากร. หน้า ๙</ref>
ก่อนที่จะมีการอพยพ[[ชาวไทยวน]]จาก[[อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน]]มาในสมัยหลัง ซึ่งปัจจุบัน[[ชาวไทยวน]]ในอำเภอลับแลส่วนใหญ่อยู่ในเขตตอนเหนือของอำเภอ และที่ตั้งตัวอำเภอ ส่วนเขตทางใต้ของอำเภอลับแล ยังคงเป็นชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณอยู่ ดังนั้นชาวลับแลจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ทั้ง 2 วัฒนธรรม คือชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ และชุมชนภาษาถิ่น[[ล้านนา]] มีภาษาพูด ภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นแบบล้านนา ที่มีใช้อยู่ในแถบล้านนาตะวันออก เช่น แพร่ น่าน เชียงราย และพะเยา เป็นต้น
|