ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ย้อนการแก้ไขที่ 8665838 สร้างโดย พุทธามาตย์ (พูดคุย)
ป้ายระบุ: ทำกลับ
บรรทัด 42:
'''''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ''''' เป็น[[พงศาวดาร]]ซึ่ง[[พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)|หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ ตาละลักษมณ์)]] พบต้นฉบับที่บ้านราษฎรแห่งหนึ่งและนำมาให้[[หอพระสมุดวชิรญาณ]]ใน พ.ศ. 2450 หอพระสมุดจึงตั้งชื่อว่า ''ฉบับหลวงประเสริฐ'' ให้เป็นเกียรติแก่ผู้พบ<ref name = ":11"/>
 
[[บานแผนก]]ของพงศาวดารกล่าวว่า พงศาวดารนี้เกิดจากการที่มีรับสั่งใน จ.ศ. 1042 (พ.ศ. 2223) ให้คัดจดหมายเหตุต่าง ๆ เข้าด้วยกัน<ref name = ":2"/> และนักประวัติศาสตร์เห็นว่า ผู้มีรับสั่งคือ คือ[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] เพราะปีที่ระบุไว้ตรงกับรัชสมัยของพระองค์<ref name = ":10"/><ref name = ":15"/><ref name = ":16"/><ref name = ":4"/> นอกจากนี้ พงศาวดารไม่ได้เอ่ยถึงผู้แต่ง แต่นักประวัติศาสตร์ตะวันตกบางคนเชื่อว่า เป็นผลงานของโหรหลวงที่มีบรรดาศักดิ์ว่า "โหราธิบดี"<ref name = ":12"/><ref name = ":13"/>
 
เนื้อหาของพงศาวดารว่าด้วยเหตุการณ์เกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่การสร้างพระพุทธรูป[[พระพุทธไตรรัตนนายก (วัดพนัญเชิง)|เจ้าพแนงเชีง]]ใน จ.ศ. 686 (พ.ศ. 1867) ตามด้วยการสถาปนากรุงศรีอยุธยาใน จ.ศ. 712 (พ.ศ. 1893) มาจนค้างที่รัชกาล[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]]คราวที่ทรงยกทัพไปอังวะใน จ.ศ. 966 (พ.ศ. 2147) ต้นฉบับมีเนื้อหาเท่านี้ แต่[[สมเด็จพระเจ้าพรเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]] ทรงเชื่อว่า น่าจะมีต่อ จึงทรงเพียรหา กระทั่งทรงได้ฉบับคัดลอกในสมัย[[กรุงธนบุรี]]มาเมื่อ พ.ศ. 2456 ซึ่งมีเนื้อหาเท่ากัน จึงทรงเห็นว่า เนื้อหาที่เหลือคงสูญหายมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นอย่างน้อยแล้ว<ref name = ":0"/>
 
พงศาวดารนี้เป็นที่เชื่อถือด้านความแม่นยำ<ref name = ":10"/><ref name = ":7"/><ref name = ":6"/> เหตุการณ์และวันเวลาที่ระบุไว้สอดคล้องกับเอกสารต่างประเทศ<ref name = ":14"/> ทั้งให้ข้อมูลที่ไม่ปรากฏในพงศาวดารสมัยหลัง<ref name = ":7"/> นอกจากนี้ ยังเขียนโดยใช้ศิลปะทางภาษาน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการแทรกความคิดความรู้สึกส่วนตัวของผู้แต่งลงไป<ref name = ":6"/> อย่างไรก็ดี เนื้อหาที่เขียนแบบย่อ ๆ ไม่ลงรายละเอียด และไม่พรรณนาเหตุการณ์ให้สัมพันธ์กันนั้น ถูกวิจารณ์ว่า เข้าใจยาก<ref name = ":6"/> และแทบไม่เป็นประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์ที่พยายามจำลองภาพในอดีตของไทย<ref name = ":17"/>
 
==การพบ==
[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]] ทรงเขียนใน ''[[ประชุมพงศาวดาร|ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1]]'' (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2457) ว่า ได้ต้นฉบับพงศาวดารนี้มาเมื่อ พ.ศ. 2450<ref name = ":9">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (17).</ref> และทรงเล่ารายละเอียดไว้ใน ''[[นิทานโบราณคดี]]'' เรื่องที่ 9 หนังสือหอหลวง (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2487) ว่า [[พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)|หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ ตาละลักษมณ์)]] พบหญิงชราผู้หนึ่งกำลังรวบรวม[[สมุดไทยดำ]]ใส่กระชุอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่ง หญิงนั้นบอกว่า จะเอาสมุดเหล่านี้ไปเผาไฟทำเป็น[[สมุก]]ไว้ใช้[[ลงรัก]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ขอดู พบสมุดต้นฉบับพงศาวดารนี้อยู่ในบรรดาสมุดที่จะเอาไปเผา จึงออกปากว่า อยากได้ หญิงชราก็ยกให้ไม่หวงแหน หลวงประเสริฐอักษรนิติ์นำสมุดนั้นมาให้หอพระสมุดวชิรญาณ กรรมการหอพระสมุดตรวจดูแล้วเห็นเป็นพงศาวดารเก่าแก่ ศักราชแม่นยำกว่าฉบับอื่น จึงตั้งชื่อว่า "ฉบับหลวงประเสริฐ" ให้เป็นเกียรติแก่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์<ref name = ":11">[[#ดร|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2503]], น. 170–171.</ref>
 
เกี่ยวกับสถานที่พบสมุดนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนใน ''นิทานโบราณคดี'' ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติไปเห็นยายแก่กำลังเอาสมุดดำรวมใส่กระชุที่บ้านแห่งหนึ่ง"<ref>[[#ดร|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2503]], น. 170.</ref> และทรงเขียนใน ''ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1'' ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติไปพบต้นฉบับที่บ้านราษฎรแห่ง 1"<ref name = ":0"/> ส่วน[[นิธิ เอียวศรีวงศ์]] ให้ข้อมูลในการแสดงปาฐกถาที่[[มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]]เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ว่า หลวงประเสริฐอักษรนิติ์พบสมุดนี้ที่เมืองเพชรบุรี<ref>[[#นอ|นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2521]], น. 179.</ref> และนาฏวิภา ชลิตานนท์ ก็เขียนใน ''ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย'' (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2524) ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติ์...ได้ต้นฉบับมาจากราษฎรคนหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี"<ref>[[#นช|นาฎวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 222–223.</ref>
 
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนใน ''ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1'' ว่า หลวงประเสริฐอักษรนิติ์นำสมุดมามอบให้หอพระสมุดวชิรญาณเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2450<ref name = ":0"/> แต่ทะเบียนของหอสมุดแห่งชาติระบุว่า เป็นวันที่ "19/3/2450" (19 มีนาคม พ.ศ. 2450)<ref name = ":1"/>
บรรทัด 57:
สมุดที่ได้มามีเล่มเดียว ลายมืออยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื้อหาค้างอยู่ที่ จ.ศ. 966 (พ.ศ. 2147) ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร แต่บานแผนกของสมุดระบุว่า ให้เขียนถึงปัจจุบัน คือ จ.ศ. 1042 (พ.ศ. 2223) กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงเชื่อว่า น่าจะมีอีกเล่มเป็นเล่มสอง ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเพียรสืบหาเรื่อยมา แต่ก็ไม่พบ กระทั่งใน พ.ศ. 2456 ทรงได้สมุดพงศาวดารเนื้อความอย่างเดียวกันมาอีกชุด มีสองเล่มต่อกัน เขียนขึ้นในสมัย[[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] ก็ดีพระทัย แต่เมื่อทรงตรวจดู ปรากฏว่า เนื้อหามาค้างที่ จ.ศ. 966 เหมือนกันแบบคำต่อคำ จึงเข้าพระทัยว่า เป็นฉบับคัดลอกจากฉบับที่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ไปพบนั้นเอง เนื้อหาที่เหลือคงสูญหายมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีแล้ว และตรัสว่า "สิ้นหวังที่จะหาเรื่องได้อีกต่อไป"<ref name = ":0"/>
 
ต่อมาใน พ.ศ. 2511 คุณหญิงปทุมราชพินิจจัย (ปทุม บุรณศิริ) มอบสมุดพงศาวดารชุดหนึ่งให้หอสมุดแห่งชาติ<ref name = ":1"/> เนื้อหาอย่างเดียวกับสมุดที่ได้มาก่อนหน้าทั้งสองชุด ค้างอยู่ที่ จ.ศ. 966 เช่นกัน โดยอาลักษณ์หมายเหตุไว้ว่า "สิ้นฉบับแล้ว หาต่อไปเถิด"<ref name = ":3">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 233.</ref> อาลักษณ์ยังระบุว่า สมุดชุดนี้เขียนเสร็จใน จ.ศ. 1149 (พ.ศ. 2330) ตรงกับรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]]<ref name = ":1"/>
 
==สมุดไทย==
สมุดไทยที่ได้มามีอยู่สามชุด
* '''ชุดอยุธยา''' คือ ชุดที่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์มอบให้หอพระสมุดวชิรญาณเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2450 ตามที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงระบุใน ''ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1''<ref name = ":0">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 209.</ref> แต่ทะเบียนของหอสมุดแห่งชาติระบุว่า เป็นวันที่ "19/3/2450" (19 มีนาคม พ.ศ. 2450)<ref name = ":1">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (18).</ref> ชุดนี้เป็นสมุดไทยดำหนึ่งเล่ม เขียนด้วยหมึกสีเหลืองทำจาก[[หรดาล]] ลายมือสมัยกรุงศรีอยุธยา มีรอยถูกฝนชื้น และหมึกลบเลือนไปหลายแห่ง<ref name = ":0"/> หอสมุดแห่งชาติขึ้นทะเบียนว่า "พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เรื่อง ลำดับศักราช สมัยกรุงศรีอยุธยา (พงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐฯ) เลขที่ 30 มัดที่ 2 ตู้ 111 ชั้น 1/1 (ตัวหรดาล เขียนครั้งอยุธยา)"<ref name = ":2">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 211.</ref>
* '''ชุดธนบุรี''' ได้มาเมื่อปี พ.ศ. 2456 เป็นสมุดไทยดำสองเล่มต่อกัน เขียนขึ้นเมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2317 ในรัชกาลสมเด็จพระกรุงธนบุรี แต่เนื้อหาเท่ากับฉบับที่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ได้มานั้นเอง<ref name = ":0"/> สมุดชุดนี้อักษรยังสมบูรณ์ดี จึงมีประโยชน์ที่สามารถใช้สอบทานกับสมุดของหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ซึ่งตัวอักษรเลือนไปหลายแห่งแล้ว<ref name = ":0"/> ในการพิมพ์ ''[[ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก|ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1]]'' เมื่อ พ.ศ. 2542 กรมศิลปากรระบุว่า สมุดชุด พ.ศ. 2317 นี้หาไม่เจอแล้ว<ref name = ":2"/> อย่างไรก็ดี [[สำนักนายกรัฐมนตรี (ประเทศไทย)|สำนักนายกรัฐมนตรี]]เคยนำสมุดชุดนี้ออกพิมพ์ โดยคงการเขียนสะกดคำไว้ตามเดิม พิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของ ''[[ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา|ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค 1]]'' เมื่อ พ.ศ. 2510<ref>[[#ปจ|''ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค 1'', 2510]], น. 93–103.</ref>
* '''ชุดรัตนโกสินทร์''' หรือ '''ชุดรัชกาลที่ 1''' คือ ชุดที่คุณหญิงปทุมราชพินิจจัย (ปทุม บุรณศิริ) มอบให้แก่หอสมุดแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2511<ref name = ":1"/> เป็นสมุดไทยดำ เขียนด้วยดินสอขาว<ref name = ":1"/> อาลักษณ์ลงหมายเหตุไว้ว่า อาลักษณ์ชื่อ ชุม และเขียนจบ ณ วันจันทร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 1 ปีมะแม จ.ศ. 1149 ตรงกับวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2330<ref name = ":3"/> ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<ref name = ":1"/> หอสมุดแห่งชาติขึ้นทะเบียนว่า "พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ลำดับศักราชกรุงศรีอยุธยา จ.ศ. 686–966 เลขที่ 30/ก มัดที่ 2 ตู้ 111 ชั้น 1/1 (ตัวดินสอขาว คัดลอกครั้งรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)"<ref name = ":2"/>
 
==การแต่ง==
บานแผนกของสมุดเองระบุว่า
 
<blockquote>"ศุภมัสดุ 1042 ศก วอกนักษัตร ณ วัน {{จันทรคติ|วัน=4|ขึ้น=12|เดือน=5}} ค่ำ ทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า ให้เอากฎหมายเหตุของพระโหรเขียนไว้แต่ก่อน แลกฎหมายเหตุซึ่งหาได้แต่หอหนังสือ แลเหตุซึ่งมีในพระราชพงษาวดารนั้นให้คัดเข้าด้วยกันเป็นแห่งเดียว ให้ระดับศักราชกันมาคุงเท่าบัดนี้"<ref name = ":2"/></blockquote>
 
แสดงว่า พงศาวดารนี้เกิดจากรับสั่งที่ให้นำเอกสารสองประเภท คือ "กฎหมายเหตุของพระโหร" และ "กฎหมายเหตุซึ่งหาได้แต่หอหนังสือ" ออกมา แล้วคัดเหตุการณ์เนื่องในพระราชพงศาวดารที่มีอยู่ในเอกสารเหล่านั้นเข้าเป็นฉบับเดียวกัน โดยเรียงลำดับตามปีเรื่อยมาจนปัจจุบัน<ref name = ":5">[[#นช|นาฎวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 224.</ref> แต่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตีความว่า รับสั่งดังกล่าวให้นำข้อความจากเอกสารสามประเภท คือ "กฎหมายเหตุของพระโหร", "กฎหมายเหตุซึ่งหาได้แต่หอหนังสือ", และ "เหตุซึ่งมีในพระราชพงษาวดาร" มาคัดเข้าเป็นฉบับเดียวกัน โดยทรงเห็นว่า "เหตุซึ่งมีในพระราชพงษาวดาร" นี้หมายถึง จดหมายเหตุที่เก็บไว้ใน[[หอศาสตราคม (อยุธยา)|หอศาสตราคม]] และทรงระบุว่า เป็นธรรมเนียมเก่าที่มหาดเล็กสองตำแหน่ง คือ นายเสน่ห์และนายสุจินดาหุ้มแพร จะบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เก็บไว้ในหอนี้<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 17.</ref> ส่วนนิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็เห็นว่า พงศาวดารนี้มาจากเอกสารสามประเภทเช่นกัน โดยประเภทที่สาม "เหตุซึ่งมีในพระราชพงษาวดาร" นั้น เขาเห็นว่า หมายถึง เรื่องราวในพระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ ที่มีอยู่ก่อนจะเขียนฉบับนี้ เช่น ''[[พระราชพงศาวดาร ฉบับปลีก]]''<ref name = ":4">[[#นอ|นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2521]], น. 178.</ref>
 
[[พิเศษ เจียจันทร์พงษ์]] ตั้งข้อสังเกตว่า พงศาวดารฉบับนี้อาจนำแหล่งข้อมูลชั้นต้นจากราชสำนักพิษณุโลกมาใช้ด้วย เพราะไม่สับสนเหตุการณ์ช่วงที่[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]ทรงย้ายราชสำนักขึ้นไปพิษณุโลก ในขณะที่พงศาวดารสมัยหลังล้วนสับสนเหตุการณ์ตอนนี้ อนึ่ง พงศาวดารฉบับนี้ยังระบุเหตุการณ์ช่วงนี้คล้ายกับที่ปรากฏใน[[จารึกวัดจุฬามณี]]พิษณุโลก<ref>[[#พจ|พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, 2549]], น. (19).</ref>
 
ตามบานแผนกข้างต้น การจัดทำพงศาวดารฉบับนี้เป็นไปตามรับสั่งที่มีขึ้นเมื่อวัน {{จันทรคติ|วัน=4|ขึ้น=12|เดือน=5}} ค่ำ (วันพุธ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5) ปีวอก จ.ศ. 1042 ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2223<ref name = ":2"/> บานแผนกมิได้ระบุว่า รับสั่งเป็นของใคร แต่วันเวลาดังกล่าวตรงกับรัชสมัยของ[[สมเด็จพระนารายณ์]]แห่งกรุงศรีอยุธยา กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงสรุปว่า "''พระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ'' เปนหนังสือเรื่องพงษาวดารกรุงเก่า ซึ่งสมเด็จพระนารายน์มหาราชมีรับสั่งให้เรียบเรียงขึ้นเมื่อปีวอก โทศก จุลศักราช 1042 พ.ศ. 2223"<ref name = ":10">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (16).</ref> ข้อสรุปนี้ดูจะเป็นที่ยอมรับ เช่น นาฏวิภา ชลิตานนท์ เขียนว่า "บานแผนกแจ้งไว้ว่า เขียนขึ้นโดยพระบรมราชโองการของสมเด็จพระนารายณ์เมื่อ พ.ศ. 2223"<ref name = ":15">[[#นช|นาฏวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 223.</ref> [[สุจิตต์ วงษ์เทศ]] เขียนว่า "สมเด็จพระนารายณ์ฯ มีรับสั่งให้เรียบเรียงพระราชพงศาวดารขึ้น ทุกวันนี้รู้จักกันในชื่อ ''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ''"<ref name = ":16">[[#สว|สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2540]], น. 29.</ref> และนิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนว่า "รับสั่งของสมเด็จพระนารายณ์ในบานแผนก...ให้รวบรวมเรื่องราวในหลักฐานต่าง ๆ และในพระราชพงศาวดาร 'คัดเข้าด้วยกันเป็นแห่งเดียว'"<ref name = ":4"/>
 
แม้ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งเลยในตัวพงศาวดารเองหรือในที่อื่น แต่นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกบางคนเชื่อว่า พงศาวดารนี้เป็นผลงานของโหรหลวงที่มีบรรดาศักดิ์ว่า "โหราธิบดี" เช่น [[เดวิด เค. วัยอาจ]] (David K. Wyatt) เขียนว่า พงศาวดารนี้ "เชื่อกันว่า เขียนขึ้นโดยอาลักษณ์หรือโหรหลวงชื่อ หลวงโหราธิบดี ในราว ค.ศ. 1680"<ref name = ":12">Wyatt ([[#rdc|Cushman, 2006]], p. xviii): "One of those versions is very short – the so-called Luang Prasœt version, which is thought to have been written by a court scribe or astrologer named ''Luang'' Horathibòdi around 1680."</ref> และเอียน ฮอดส์ (Ian Hodges) เขียนว่า "''พงศาวดารหลวงประเสริฐ'' (พลป.) ดังที่รู้จักกันในสมัยนี้ เขียนขึ้นเมื่อ 226 ปีก่อน ใน ค.ศ. 1681 โดยหัวหน้าโหรหลวงของสยาม (พระโหราธิบดี) ตามรับสั่งของพระนารายณ์ (ครองราชย์ ค.ศ. 1656–1688)"<ref name = ":13">[[#ih|Hodges (1999]], p. 3): "The ''Luang Prasoet Chronicle'' (LPC), as it is now known, was written 226 years before, in 1681, by Siam's Chief Royal Astrologer (the ''Phra Horathibodi'') at the behest of King Narai (r. 1656–1688)."</ref>
เส้น 85 ⟶ 84:
เนื่องจากพงศาวดารนี้เป็นการคัดข้อความจากเอกสารอื่นมารวมไว้ และเอกสารหลักเป็นประเภท "กฎหมายเหตุ" (จดหมายเหตุ) เนื้อหาที่ปรากฏจึงมีรูปแบบเหมือนจดหมายเหตุ คือ เป็นข้อความย่อ ๆ ไม่มีคำอธิบายหรือรายละเอียดใด ๆ<ref name = ":5"/> เช่น
 
<blockquote>"ศักราช 834 มะโรงศก พระราชสมภพระราชโอรสท่าน ศักราช 835 มะเส็งศก หมื่นณครรให้ลอกเอาทองพระเจ้าลงมาหุ้มดาบ ศักราช 836 มะเมียศก เสด็จไปเอาเมืองชเลยิง ศักราช 837 มะแมศก มหาราชขอมาเป็นไมตรี ศักราช 839 ระกาศก แรกตั้งเมืองณครรไทย ศักราช 841 กุนศก พระศรีราชเดโชถึงแก่กรรม"<ref>[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 217.</ref></blockquote>
 
==คุณค่า==
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า พงศาวดารฉบับนี้น่าเชื่อถือกว่าฉบับอื่น ๆ<ref name = ":7">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 210: "พระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ แม้ความที่กล่าวเปนอย่างย่อ ๆ มีเนื้อเรื่องที่ไม่ปรากฏในพระราชพงษาวดารฉบับอื่นออกไปอิกมาก แลที่สำคัญนั้น ศักราชในฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติแม่นยำ กระบวนศักราชเชื่อได้แน่กว่าพระราชพงษาวดารฉบับอื่น ๆ หนังสือพระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ จึงเปนหลักแก่การสอบหนังสือพงษาวดารได้เรื่องหนึ่ง".</ref> ทั้งเนื้อหาก็ตรงกับเอกสารต่างประเทศ<ref name = ":14">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (17): "หนังสือพระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ นี้ ทั้งเนื้อเรื่องแลศักราชผิดกับพระราชพงษาวดาร ฉบับพิมพ์ 2 เล่ม แลฉบับพระราชหัดถเลขา อยู่หลายแห่ง ข้าพเจ้าได้สอบสวนกับหนังสือพงษาวดารประเทศอื่น เห็นเนื้อความแลศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐแม่นยำมาก ข้าพเจ้าเชื่อว่า ศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐเปนถูกต้องตามจริง".</ref> สอดคล้องกับที่[[กรมศิลปากร]]ระบุว่า พงศาวดารฉบับนี้ "ได้รับความเชื่อถือว่า แม่นยำ ทั้งในเชิงเนื้อหาและศักราช"<ref name = ":10"/> และพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ว่า "สาระโดยทั่วไปของหนังสือพงศาวดารเล่มนี้จึงได้รับการเชื่อถือมากที่สุด"<ref name = ":6">[[#พจ|พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, 2546]], น. (8).</ref> ในขณะที่พงศาวดารฉบับอื่น ๆ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยหลัง คือ สมัยรัตนโกสินทร์นั้น ลงวันเวลาไว้คลาดเคลื่อนไปราว 4–20 ปี<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 8.</ref><ref>[[#นช|นาฎวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 230.</ref> และเพราะสับสนวันเวลา พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์จึงลงเหตุการณ์ไว้สับสนตามไปด้วย เช่น ระบุว่า [[สมเด็จพระราเมศวร]]ขึ้นครองราชย์แล้วทรงยกทัพไปล้อมเชียงใหม่ เอาปืนใหญ่ถล่มกำแพงเมือง ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งข้อสงสัย เพราะปืนใหญ่เพิ่งมีใช้ในยุโรปราวเก้าปีก่อนเหตุการณ์นั้น<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 210.</ref> และ[[ศานติ ภักดีคำ]] เห็นว่า เป็นการนำเหตุการณ์ของพระราเมศวรอีกพระองค์ คือ [[สมเด็จพระเอกาทศรถ]] มาลงไว้ที่พระราเมศวรพระองค์นี้<ref>[[#พนร|สมเด็จพระพนรัตน์, 2558]], น. 14.</ref>
 
พงศาวดารฉบับนี้ยังให้ข้อมูลซึ่งไม่ปรากฏในพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์<ref name = ":7"/> เช่น กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งข้อสังเกตว่า พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า พระมหากษัตริย์พม่าที่ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาสองครั้งในสมัย[[สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ]] คือ "พระเจ้าลิ้นดำ" ([[พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้]]) พระองค์เดียว แต่พงศาวดารฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า เป็นพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กับ[[พระเจ้าบุเรงนอง]] ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารพม่า<ref name = ":8">[[#ดร2|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2515]], น. 442.</ref> หรือกรณีที่พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า [[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]เสวยราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาแล้วทรงสร้างวัดจุฬามณี ทำให้เชื่อกันมาแต่เดิมว่า วัดนี้อยู่ที่อยุธยา ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]เคยพากันตามหาวัดนี้ที่อยุธยาก็ไม่พบ กระทั่งมาได้พงศาวดารฉบับนี้ที่ระบุว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายขึ้นไปครองราชย์ที่พิษณุโลกแล้วทรงสร้างวัดจุฬามณี จึงรู้ว่า เป็น[[วัดจุฬามณี (พิษณุโลก)|วัดจุฬามณี]]ที่พิษณุโลก<ref>[[#ดร2|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2515]], น. 441.</ref><ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 229.</ref>
 
พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ยังให้ข้อมูลขัดแย้งกันเอง เช่น บางฉบับว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต พระราชโอรส คือ [[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3|พระบรมราชา]] ครองราชย์ต่อเป็น[[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2]] และบางฉบับว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต พระราชโอรส คือ [[สมเด็จพระอินทราชาที่ 2|พระอินทราชา]] จึงครองราชย์ต่อจนสวรรคต แล้วพระราชโอรสของพระอินทราชาครองราชย์ต่อเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 235.</ref> มาได้ความกระจ่างในพงศาวดารฉบับนี้ ดังที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนว่า "เนื้อความที่มัวมนสนเท่ห์ในตอนแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ความแจ่มแจ้งชัดเจนใน ''พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ'' สามารถจะตัดสินได้ว่า เรื่องจริงเป็นอย่างไร"<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 236.</ref>
 
นอกจากนี้ พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะผ่านการชำระตามพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ เพื่อวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์ใด ๆ ก็ตาม ซึ่งทำให้เนื้อหาไม่บริสุทธิ์แท้ ตามความเห็นของนาฏวิภา ชลิตานนท์<ref>[[#นช|นาฏวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 220: "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่มีอยู่ปัจจุบันจึงไม่บริสุทธิ์แท้ คือ มักจะผ่านการชำระจากสมัยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นสมัยปลายอยุธยาเอง สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความถูกต้องแม่นยำของพระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นปัญหาอยู่เสมอ เนื่องเพราะความผิดพลาดต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้โดยเจตนาและไม่เจตนา เช่น การคัดลอกตัวอักษรผิดพลาดหรือตกไป การใช้เอกสารซึ่งไม่มีน้ำหนักเพียงพอ หรือการได้ข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งการจงใจเพิ่มเติมเรื่องราวและรายละเอียดในบางตอน หรือตัดตอนเรื่องบางส่วน ด้วยจุดมุ่งหมายหรือผลประโยชน์ใด ๆ ก็ตามโดยเฉพาะ จากหลักฐานการชำระพระราชพงศาวดารสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นทำให้เข้าใจได้ว่า เกิดจากความต้องการหรือคำสั่งของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ภายใต้เวลาและสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและการเมืองที่แตกต่างกัน ทรรศนะที่มีต่ออดีตย่อมแตกต่างไปด้วย และพงศาวดารอยุธยาได้บันทึกทัศนคติเหล่านี้ลงไว้ด้วยอย่างไม่เป็นทางการ การนำพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามาใช้จึงต้องคำนึงถึง 'ความจริง' ซึ่งแทรกซ้อนอยู่ในอีกระดับหนึ่งด้วย"</ref> และ[[นิธิ เอียวศรีวงศ์]] ตั้งข้อสังเกตว่า พงศาวดารที่เขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์เกิดจากแรงผลักดันของชนชั้นนำที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันน่าตระหนก คือ ความล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา และเหลียวกลับไปมองอดีตเพื่อหาสาเหตุของเหตุการณ์นั้น พงศาวดารยุครัตนโกสินทร์จึงแฝงอคติ<ref>[[#นอ|นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2521]], น. 176: "ชนชั้นนำในยุคนั้นเพิ่งผ่านความตระหนกอย่างใหญ่หลวงมาจากความพินาศของอยุธยา 'เมืองอันไม่อาจต่อรบได้' จึงเป็นยุคสมัยที่คนชั้นนำหันกลับไปมองอดีตเพื่อสำรวจตนเอง มีการวิจารณ์ตนเองที่เราไม่ค่อยได้พบในวรรณคดีไทยบ่อยนัก เช่น กลอนเพลงยาวของกรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่หนึ่ง วิเคราะห์สาเหตุของความล่มจมของอยุธยา ความใฝ่ฝันที่จะจำลองอุดมคติของอดีตกลับมาใหม่ใน นิราศนรินทร์ ฯลฯ เป็นต้น พระราชพงศาวดารที่ถูก 'ชำระ' ในยุคนี้จึงเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน ความรังเกียจ ความชัง ความรัก ความภูมิใจ ความอัปยศ และอคติของชนชั้นนำในยุคนี้อย่างมาก".</ref> เช่น มีการใส่เนื้อหาโจมตี[[ราชวงศ์บ้านพลูหลวง]] ราชวงศ์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา และตัดเนื้อหายกย่องราชวงศ์นี้ออกไป<ref>[[#นอ|นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2521]], น. 181: "[ในฉบับจักรพรรดิพงศ์] กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ [ราชวงศ์บ้านพลูหลวง] ซึ่งถูกพงศาวดารฉบับอื่นโจมตีอย่างมาก รอดพ้นการประณามมาได้อย่างงดงาม การรับคำท้าขี่ช้างไล่ม้าล่อแพนของพระเพทราชา (จพ: 170–171) ซึ่งพงศาวดารฉบับอื่นตัดออกไป เป็นการยกย่องความสามารถของพระเพทราชาอยู่ในตัว พระเพทราชาปฏิเสธที่จะเป็นกษัตริย์ในทันที่พระนารายณ์เสด็จสวรรคต...ข้อความนี้พระราชพงศาวดารฉบับอื่นก็ยกออกไปเสียเช่นกัน ทั้งยังไม่ได้ทรงทำพิธีราชาภิเษกทันทีเหมือนพระราชพงศาวดารฉบับอื่น...ข้อความอีกตอนหนึ่งซึ่งไม่พบในพระราชพงศาวดารฉบับอื่นเลย ก็คือ...มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จปาฏิหาริย์ผ่านหน้าเรือพระที่นั่ง อันเป็นข้อความที่พิสูจน์ถึงความมีบุญญาบารมีของพระเพทราชาในฐานะกษัตริย์...พระเพทราชาในฉบับจักรพรรดิพงศ์ทรงรับเอาเชื้อสายฝ่ายในของพระนารายณ์มารับราชการโดยไม่ต้องใช้เสน่ห์เวทมนตร์ดังเช่นพระราชพงศาวดารฉบับอื่น พระเจ้าเสือในฉบับนี้ก็ทรงแสดงความกล้าหาญ...ซึ่งไม่มีกล่าวในฉบับอื่นเลย".</ref> ในขณะที่พงศาวดารฉบับนี้เขียนขึ้นแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และกรมพระราชดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า "ทั้งลายมือที่เขียนและโวหารที่แต่ง เห็นว่า เป็นหนังสือเก่า ไม่มีเหตุอย่างใดจะควรสงสัยว่า ได้มีผู้แก้ไขแทรกแซงให้วิปลาศในชั้นหลังนี้"<ref name = ":8"/> ส่วนพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ เห็นว่า "มีการใช้ศิลปะทางภาษาน้อยที่สุด จึงหลีกเลี่ยงการเพิ่มเติมอารมณ์ความรู้สึกหรือความคิดเห็นของผู้เรียบเรียงไปได้เป็นส่วนมาก"<ref name = ":6"/>
 
อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์มองว่า ความที่พงศาวดารนี้มีเนื้อหาย่อ ๆ เป็นปัญหาต่อการใช้งาน เช่น พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ วิจารณ์ว่า "มีข้อจำกัดที่มีการย่อให้สั้น บางครั้งอาจทำความเข้าใจความหมายได้ไม่ถูกต้อง และมีขอบเขตในการนำมาใช้เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ค่อนข้างน้อย"<ref name = ":6"/> และเอียน ฮอดส์ วิจารณ์ว่า เนื้อหาที่ไม่ได้เขียนพรรณานาให้ต่อเนื่องกัน ทำให้พงศาวดารนี้มีคุณค่าน้อยในการใช้งานสำหรับนักประวัติศาสตร์ที่พยายามจะกำหนดภาพในอดีตของไทย<ref name = ":17">[[#ih|Hodges (1999]], p. 33): "Its lack of narrative continuity, however, means that the LPC is of little practical value for a historian trying to develop a picture of the Thai past."</ref>
 
==การพิมพ์==
หอพระสมุดวชิรญาณให้พิมพ์พงศาวดารนี้เผยแพร่เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2450 อันเป็นปีที่ได้รับสมุดไทยชุดแรก (ชุดอยุธยา) มานั้นเอง<ref name = ":9"/> แต่เนื้อหาบกพร่อง เพราะอักษรในสมุดลบเลือน เมื่อได้สมุดชุดที่สอง (ชุดธนบุรี) มาใน พ.ศ. 2456 จึงตรวจสอบจุดที่บกพร่องกับสมุดชุดนี้ แล้วพิมพ์ใหม่เป็นส่วนหนึ่งของ ''ประชุมพงศาวดาร ภาค 1'' เมื่อ พ.ศ. 2457<ref>''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542, น. (16)–(17).</ref> หลังจากนั้น พงศาวดารนี้ก็ได้รับการพิมพ์อีกหลายครั้ง ทั้งพิมพ์รวมกับเอกสารอื่น และพิมพ์ต่างหาก นับตั้งแต่ครั้งแรกจนถึง พ.ศ. 2542 แล้ว พิมพ์ทั้งหมด 17 ครั้ง ถือเป็นพงศาวดารที่พิมพ์บ่อยที่สุด ตามข้อมูลของกรมศิลปากร<ref name = ":10"/>
 
หอพระสมุดวชิรญาณให้พิมพ์พงศาวดารนี้เผยแพร่เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2450 อันเป็นปีที่ได้รับสมุดไทยชุดแรก (ชุดอยุธยา) มานั้นเอง<ref name = ":9"/> แต่เนื้อหาบกพร่อง เพราะอักษรในสมุดลบเลือน เมื่อได้สมุดชุดที่สอง (ชุดธนบุรี) มาใน พ.ศ. 2456 จึงตรวจสอบจุดที่บกพร่องกับสมุดชุดนี้ แล้วพิมพ์ใหม่เป็นส่วนหนึ่งของ ''ประชุมพงศาวดาร ภาค 1'' เมื่อ พ.ศ. 2457<ref>[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (16)–(17).</ref> หลังจากนั้น พงศาวดารนี้ก็ได้รับการพิมพ์อีกหลายครั้ง ทั้งพิมพ์รวมกับเอกสารอื่น และพิมพ์ต่างหาก นับตั้งแต่ครั้งแรกจนถึง พ.ศ. 2542 แล้ว พิมพ์ทั้งหมด 17 ครั้ง ถือเป็นพงศาวดารที่พิมพ์บ่อยที่สุด ตามข้อมูลของกรมศิลปากร<ref name = ":10"/>
ในการพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของ ''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'' เมื่อ พ.ศ. 2542 กรมศิลปากรนำฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2457 มาตรวจสอบใหม่กับสมุดชุดอยุธยา สมุดชุดนี้ลบเลือนที่ใด ก็ตรวจกับสมุดชุดที่สาม (ชุดรัชกาลที่ 1) แทน เพราะสมุดชุดที่สองหาไม่พบ แล้วจึงจัดพิมพ์ แต่แก้ไขการสะกดคำให้เป็นแบบปัจจุบัน ยกเว้นวิสามานยนามที่ยังคงไว้ตามเดิม นอกจากนี้ ยังคำนวณวันเดือนปีแบบจันทรคติให้เป็นสุริยคติแล้วใส่ไว้ในเชิงอรรถ<ref name = ":1"/> การคำนวณดังกล่าวใช้วิธีของ[[รอเฌ บียาร์]] (Roger Billard) แต่เป็นไปได้ที่โหรวาง[[อธิกวาร]]หรือ[[อธิกมาส]]ไม่ตรงกัน ซึ่งอาจทำให้คำนวณคลาดเคลื่อน การคำนวณอธิกวารและอธิกมาสจึงใช้วิธีของ[[ทองเจือ อ่างแก้ว]] โดยมี[[ประเสริฐ ณ นคร]] คอยตรวจแก้<ref>''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542, น. (12).</ref>
 
ในการพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของ ''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'' เมื่อ พ.ศ. 2542 กรมศิลปากรนำฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2457 มาตรวจสอบใหม่กับสมุดชุดอยุธยา สมุดชุดนี้ลบเลือนที่ใด ก็ตรวจกับสมุดชุดที่สาม (ชุดรัชกาลที่ 1) แทน เพราะสมุดชุดที่สองหาไม่พบ แล้วจึงจัดพิมพ์ แต่แก้ไขการสะกดคำให้เป็นแบบปัจจุบัน ยกเว้นวิสามานยนามที่ยังคงไว้ตามเดิม นอกจากนี้ ยังคำนวณวันเดือนปีแบบจันทรคติให้เป็นสุริยคติแล้วใส่ไว้ในเชิงอรรถ<ref name = ":1"/> การคำนวณดังกล่าวใช้วิธีของ[[รอเฌ บียาร์]] (Roger Billard) แต่เป็นไปได้ที่โหรวาง[[อธิกวาร]]หรือ[[อธิกมาส]]ไม่ตรงกัน ซึ่งอาจทำให้คำนวณคลาดเคลื่อน การคำนวณอธิกวารและอธิกมาสจึงใช้วิธีของ[[ทองเจือ อ่างแก้ว]] โดยมี[[ประเสริฐ ณ นคร]] คอยตรวจแก้<ref>[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (12).</ref>
 
การพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2450 ลงชื่อเรื่องไว้ว่า ''พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์'' การพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2457 ใช้ชื่อเรื่องว่า ''พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ'' โดยมีคำชี้แจงของกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า หอพระสมุดวชิรญาณตั้งชื่อว่า ''พระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ'' เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ทั้งขึ้นหัวเรื่องว่า ''พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ'' การพิมพ์ของกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2542 จึงใช้ชื่อตามฉบับ พ.ศ. 2457 โดยปริวรรตคำว่า "พงษาวดาร" เป็น "พงศาวดาร"<ref name = ":9"/>
บรรทัด 116:
 
==หมายเหตุ==
 
{{refbegin}}
# {{note|Note 1}} เช่น มีผู้วิจารณ์ว่า แฟรงก์เฟอร์เทอร์แปล "มหาธรรมราชา" ว่า "Mahādharmarājā [of Chiengmai]" ("มหาธรรมราชา [แห่งเชียงใหม่]")<ref>[[#of|Frankfurter, 1909]], p. 5.</ref> แต่ที่จริงแล้วเป็นกษัตริย์สุโขทัย คือ [[พระมหาธรรมราชาที่ 2]],<ref>[[#ปณ|ประเสริฐ ณ นคร, 2549]], น. 203–207.</ref> ข้อความ "หมื่นณครรให้ลอกเอาทองพระเจ้าลงมาหุ้มดาบ" แฟรงก์เฟอร์เทอร์แปลว่า "Hmün Nakhon presented gold threads to cover the sword" ("หมื่นนครถวายดิ้นทองไว้หุ้มดาบ"),<ref>[[#of|Frankfurter, 1909]], p. 13.</ref> ข้อความ "มหาราชท้าวลูก" แฟรงก์เฟอร์เทอร์แปลว่า "Maharaj [of Chiengmai] sent his son" ("มหาราช [แห่งเชียงใหม่] ส่งลูกชาย")<ref>[[#of|Frankfurter, 1909]], pp. 12–13.</ref> แต่ที่จริงแล้ว "[[พระเจ้าติโลกราช|ท้าวลูก]]" เป็นชื่อของมหาราช,<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 225.</ref> หรือคำว่า "เมืองหลวง" แฟรงก์เฟอร์เทอร์แปลว่า "capital city"<ref>[[#of|Frankfurter, 1909,]] p. 25.</ref> แต่ที่จริงแล้วหมายถึง เมืองที่ชื่อว่า "หลวง" หรือ "ห้างหลวง"<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 334.</ref>
# {{note|Note 2}} เช่น แจน อาร์. เดรสส์เลอร์ (Jan R. Dressler) เห็นว่า มีหลายจุดที่แปลผิดอย่างประหลาด<ref>[[#jrd|Dressler, 2013]], p. 227: "When the Siam Society published a synoptic translation of all major chronicles of Ayutthaya in the year 2000 there was no doubt that this hefty volume, despite the numerous and odd mistranslations contained therein, was to become a classic book of reference for everyone interested in traditional Southeast Asian historiography."</ref> ส่วนแบเรนด์ แจน เทอร์วีล (Barend Jan Terwiel) เห็นว่า การเลือกใช้คำบางคำในการแปลของคัชแมนชวนให้ต้องเลิกคิ้ว เช่น การแปล "เมือง (ฝรั่งเศส)" ว่า "Municipality (of Farangset)" อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า คนไทยมองฝรั่งเศสเป็น "municipality" เพราะขาดความรู้เกี่ยวกับอาณาเขตและความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส แต่ในความเป็นจริงแล้วราชสำนักอยุธยารับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับยุโรปเป็นอย่างดียิ่งกว่าราชสำนักแห่งอื่น ๆ ในเอเชียอาคเนย์ หรือการที่คัชแมนมักแปลราชาศัพท์แบบตรงตัว เช่น แปล "พระประชวร" ว่า "holy illness" ก็ไม่สามารถใช้การได้ดีทุกกรณี<ref>[[#bjt|Terwiel, 2001]], p. 221: "In general, Cushman appears to have been an inspired translator. Only occasionally his choice of words will raise a few eyebrows. His attempt to transmit the Thai royal language by the frequent adding of the word ''holy'', is not always effective (note a sentence like: "His Majesty came down with a holy illness"). When the expression ''müang farangset'' is transmitted to us as the "Municipality of Farangset" (p. 269 ff.), this leaves the impression that the Thais did not understand the size and might of France, whilst actually the court of Ayutthaya was better informed on matters concerning Europe than all other Southeast Asian courts."</ref>
{{refend}}
 
==อ้างอิง==
{{reflist}}
; เชิงอรรถ
 
{{รายการอ้างอิง}}
; ==บรรณานุกรม==
 
:'''; ภาษาไทย'''
{{เริ่มอ้างอิง}}
 
* <div id="ณอ">ณัฐพล อยู่รุ่งเรืองศักดิ์, ตรงใจ หุตางกูร, วินัย พงศ์ศรีเพียร, และเสมอ บุญมา. (2560) ''[http://www.sac.or.th/databases/sac-research/research-item.php?ob_id=91 รายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากเอกสารโบราณและจารึก ปีที่ 4 การศึกษาวิจัยพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ]''.</div>
* <div id="ดร">ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. (2503). ''นิทานโบราณคดี''. (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: เขษมบรรณกิจ.</div>
เส้น 139 ⟶ 141:
* <div id="พนร">สมเด็จพระพนรัตน์. (2558). ''พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน''. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า" ในพระบรมราชูปถัมภ์. {{isbn|9786169235101}}.</div>
* <div id="สว">สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2540). ''ท้าวศรีสุดาจันทร์ "แม่หยัวเมือง" ใครว่าหล่อนชั่ว?''. กรุงเทพฯ: มติชน. {{isbn|9747311704}}.</div>
 
:; '''ภาษาต่างประเทศ'''
 
* <div id="asean">ASEAN. (1999). ''Anthology of ASEAN Literatures of Thailand Vol. II a: Thai Literary Works of the Ayutthaya Period (Translated Version)''. Bangkok: Amarin Printing and Publishing. {{isbn|9742720428}}</div>
* <div id="rdc">Cushman, R. D. (2006). ''The Royal Chronicles of Ayutthaya''. (2nd ed.). Bangkok: Siam Society. {{isbn|9748298485}}.</div>
เส้น 146 ⟶ 150:
* <div id="ih">Hodges, I. (1999). "[http://www.siamese-heritage.org/jsspdf/1991/JSS_087_0f_Hodges_TimeInTransitionKingNaraiLuangPrasoetChronicle.pdf Time in Transition: King Narai and the Luang Prasoet Chronicle of Ayutthaya]". ''Journal of the Siam Society, 87''(1&2), 33–44.</div>
* <div id="bjt">Terweil, B. J. (2001). "Trans. Richard D. Cushman, The Royal Chronicles of Ayutthaya edited by David K. Wyatt. [compte-rendu]". ''Aséanie, Sciences humaines en Asie du Sud-Est, 7'', 220–221.</div>
{{จบอ้างอิง}}
 
==แหล่งข้อมูลอื่น==
 
* {{วิกิซอร์ซบนบรรทัด}}