ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อุปลักษณ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Theo.phonchana (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 5:
คำว่า "อุปลักษณ์" ในทาง[[อรรถศาสตร์ปริชาน]] ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาเชิงวรรณกรรม หรือเป็นเพียงแค่ลีลาการใช้ภาษา เพราะอุปลักษณ์ในที่นี้ถือเป็นกระบวนการทางปริชานที่ทำให้มนุษย์เราสามารถจัดการกับระบบความคิด และยังถือเป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการสร้างระบบภาษา
 
[[จอร์จ เลคอฟ]] (George Lakoff) และ [[มาร์ค จอห์นสัน]] (Mark Johnson) ผู้ริเริ่มทฤษฎีอุปลักษณ์มโนทัศนี้ทำให้การศึกษาอุปลักษณ์เชิงปริชานกลายเป็นการศึกษาที่มีความสำคัญ ไม่เฉพาะต่อการศึกษาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ แต่ยังรวมถึงการศึกษาด้านปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เลคอฟอธิบายเกี่ยวกับอุปลักษณ์ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน และไม่ใช่อยู่แค่ในภาษา แต่ยังอยู่ในทั้งความคิดและการกระทำ [[ระบบมโนทัศน์]] (conceptual system) ที่ทำให้มนุษย์เราสามารถคิดและทำสิ่งต่างๆ ได้ล้วนมีพื้นฐานมาจากอุปลักษณ์ทั้งสิ้น มโนทัศน์ (concepts) ที่มีผลต่อความคิดของมนุษย์ เรานั้นแท้จริงแล้วมิได้เป็นระบบที่ปราดเปรื่องแต่อย่างใด มโนทัศน์เพียงทำหน้าที่รวบรวมรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจกรรมที่เราทำทุกๆ วัน และประกอบโครงสร้างของสิ่งที่เรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัส วิธีปฏิบัติของเราที่มีต่อสิ่งรอบตัว รวมทั้งการที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้งหมดนี้คือบทบาทของระบบการสร้างมโนทัศน์ของมนุษย์เรา
 
แท้จริงแล้วเลคอฟและจอห์นสันไม่ได้มองอุปลักษณ์ในแนวปริชานว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นทางภาษาศาสตร์ แต่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ทางปริชานที่ประกอบทั้งระบบภาษาและระบบความคิดเข้าด้วยกัน หลักการนี้มีอยู่ในวิธีการที่มนุษย์สร้างระบบความรู้ต่างๆ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขตของมโนทัศน์ (conceptual domain) หนึ่งโดยใช้อีกมโนทัศน์เป็นตัวช่วย ความสามารถนี้เป็นผลมาจากการที่ระบบการสร้างมโนทัศน์ทำการสร้างและกำหนดขอบเขตทางความคิดด้วยการใช้อุปลักษณ์ จุดนี้เองที่ถือเป็นความคิดที่ได้รับการกลั่นกรองโดยระบบการรับรู้ความหมายซึ่งนำไปสู่การให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องอุปลักษณ์