ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดสุรินทร์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 33:
{{รีไรต์}}
=== การตั้งถิ่นฐาน ===
สมัยทวารวดี พบมีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานมาก่อนแล้วในดินแดนแถบอิสานใต้ ไปจนถึงบริเวณแถบอิสานกลางโดยชนชาติแรกๆ ที่ได้เข้าอาศัยอยู่ ชาติพันธุ์ตระกูลมอญ, ละว้า, ลั๊ว และขอม
สมัย[[อาณาจักรขอม]]รุ่งเรือง ราวพุทธศตวรรษที่ 16-18 เป็นต้นมา ซึ่งชาวขอม ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมในแถบดินแดนอิสานใต้ และแถบ สปป.ลาว, สยาม, กัมพูชา และญวน
สุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเป็นมายาวนาน จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ข้อมูลในพงศาวดาร เรื่องเล่าตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นที่อยู่ของชนหลายเผ่าพันธุ์ทั้ง เขมร, ไท, กูย ทำให้มีภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน
เมืองโบราณเขตเมืองเก่าของเมืองสุรินทร์ อยู่พื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์มีมนุษย์เข้ามาตั้งชุมชนแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ลักษณะชุมชนเป็นเนินดินมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ รูปวงรี หรือวงกลม ขนาดกว้างประมาณ 1,000 เมตร ยาวประมาณ 1,300 เมตร เป็นลักษณะเฉพาะของแผนผังเมืองโบราณตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นซึ่งพบทั่วไปในเขตภาคอีสานตอนล่าง [[กรมศิลปากร]]ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองสุรินทร์ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 95 ตอนที่ 98 ลงวันที่ 19 กันยายน 2521
จากการสำรวจของหน่วยศิลปากรที่ 6 ในปี พ.ศ. 2534 พบว่าตัวเมืองยังมีสภาพที่สมบูรณ์เห็นแนวคูน้ำ-คันดินแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ เมืองชั้นใน และเมืองชั้นนอก
เมืองชั้นใน มีลักษณะเป็นรูปวงรีแบบสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น มีขนาดกว้างประมาณ 1,000 เมตร ยาวประมาณ 1,300 เมตร สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์ มีบางส่วนเท่านั้นที่ขาดหายไป
เมืองชั้นนอก มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชุมชนขอมโบราณ มีคูน้ำ 2 ชั้น คันดิน 1 ชั้นล้อมรอบ ขนาดกว้าง 1,500 เมตร ยาว 2,500 เมตร สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์ ยกเว้นด้านทิศใต้
พื้นที่บริเวณวังเก่าของเจ้าเมืองสุรินทร์ อยู่บริเวณที่เป็น[[โรงพยาบาลสุรินทร์]], บริเวณวัดศาลาลอย และพื้นที่ใกล้เคียง, [[โรงเรียนสุรวิทยาคาร]] และ[[โรงเรียนสิรินธร]]ในปัจจุบัน แต่อาคารโบราณสถานต่างๆ ได้ถูกรื้อถอน และทำลายทิ้งหมดแล้วเหลือแต่เพียงคูน้ำไว้ให้เห็นบริเวณด้านข้างโรงเรียนสิรินธร
จะเห็นได้ว่า ตัวเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันนี้ เคยเป็นบ้านเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาหลายพันปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองสุรินทร์ในอดีต ตลอดจนถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่อย่างสำคัญที่คนสุรินทร์ในปัจจุบันจะช่วยกันรักษามรดกอันทรงคุณค่าชิ้นนี้ไว้ตราบชั่วลูกหลาน ด้วยการไม่บุกรุกทำลายคูน้ำคันดินของเมืองโบราณสุรินทร์
จากการศึกษาวิจัยการและสำรวจพบแหล่งโบราณคดีในจังหวัดสุรินทร์ กว่า 59 แห่ง ส่วนมากเป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำ-คันดินล้อมรอบรูปวงรี หรือวงกลม ได้แก่
แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสวรรค์ ตำบลนาหนองไผ่ [[อำเภอชุมพลบุรี]] หมู่บ้านเป็นเนินสูงเกือบ 3 เมตร พบโบราณวัตถุได้แก่ เศษภาชนะดินเผาแบบต่างๆ รวมทั้งภาชนะเคลือบสีน้ำตาลแบบขอม และพบภาชนะที่ใช้บรรจุมีลักษณะเป็นภาชนะก้นมนขนาดใหญ่ ที่ใช้ในการฝังศพครั้งที่สองของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีอายุอยู่ในราว 2,000-1,500 ปี มาแล้ว พบมากไปตลอดลุ่มแม่น้ำมูลตอนกลางแถบจังหวัด[[บุรีรัมย์]], สุรินทร์, [[มหาสารคาม]], [[ร้อยเอ็ด]] และ[[ขอนแก่น]] เป็นลักษณะของกลุ่มวัฒนธรรม[[ทุ่งกุลาร้องไห้]] ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์
แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ตำบลปราสาททนง [[อำเภอปราสาท]] แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของปราสาททนง เป็นโบราณสถานขอมชึ่งกรมศิลปากรมีโครงการขุดแต่ง ในปี พ.ศ. 2536 และได้ขุดตรวจชั้นดินทางด้านหลังของโบราณสถาน พบหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นถึงการอยุ่อาศัยของมนุษย์มาก่อนจะสร้างปราสาท คือ โครงกระดูกมนุษย์เพศชาย อายุประมาณ 35- 40 ปี ปัจจุบันได้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
นอกจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแหล่งนี้แล้ว ยังไม่มีการขุดค้นตามหลักวิชาการในอีกกว่า 50 แห่ง อาศัยเพียงเทียบเคียงค่าอายุกับแหล่ง
[[หม่อมอมรวงศ์วิจิตร]] กล่าวไว้ใน[[พงศาวดาร]]หัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อน[[จุลศักราช]]ได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง (เป็นการเรียกไปเองของสมัยกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ต่อมาเรียกกันว่า "กูย (กวย)" ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้, ละโว้ (ลพบุรี), ไปจนถึงในเขตภาคกลาง (สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ[[:en:Dvaravati|สมัยอาณาจักรทาวราวดี]]) และภาคเหนือตอนล่าง
จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา
ในปี[[พ.ศ. 2538]] นาย[[เจริญ ไวรวัจยกุล]] อาจารย์[[มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์]] พร้อมคณะได้ศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนโบราณบริเวณ[[ทุ่งกุลาร้องไห้]], [[ห้วยลำพลับพลา]]ด้านบน และลำน้ำมูลด้านใต้ เนื่องจากพบเนิน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบหลักฐานชุมชนสมัยทวารวดีทั้งภูมิภาค เมืองโบราณที่สำคัญ เช่น เมืองฟ้าแดดสงยาง [[อำเภอกมลาไสย]] [[จังหวัดกาฬสินธุ์]],
==== แหล่งวัฒนธรรมทวารวดีในสุรินทร์ ====
วัฒนธรรมทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-16 หรือราว 1,000-1,400 ปีมาแล้ว
ในภาคอีสานตอนล่าง ชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุเดียวกับชุมชน ในจังหวัดต่างๆ บริเวณลุ่ม[[แม่น้ำมูล]] เช่น เมืองเสมา
ลักษณะชุมชนวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในจังหวัดสุรินทร์มักจะมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีโบราณวัตถุเนื่องในพุทธศาสนา เช่น ใบเสมา, พระพุทธรูป,
ชุมชนบ้านพระพืด ตำบลบ้านแร่ [[อำเภอ
ชุมชนโบราณบ้านไพรขลา ตำบลไพรขลา [[อำเภอชุมพลบุรี]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นชุมชนที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ พบใบเสมา ที่โนนสิมมาใหญ่ และโนนสิมมาน้อย
โนนสิมมาใหญ่
อยู่ภายในหมู่บ้านทางทิศใต้ มีกลุ่มใบเสมาจำนวนมาก ปักอยู่ในตำแหน่งทิศทั้งแปด บางส่วนถูกเคลื่อนย้าย
โนนสิมมาน้อย
อยู่ทางทิศตะวันตกภายในหมู่บ้าน บริเวณนี้พบใบเสมาจำนวนเล็กน้อยอยู่รวมกันเพียงจุดเดียว ใบเสมาบางใบน่าจะปักอยู่ในตำแหน่งเดิม โดยมีการย้ายใบเสมาใบ
ใบเสมาที่พบสันนิษฐานว่าปักไว้เพื่อกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในสมัยนั้น
ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 12 – 13 ตรงกับรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมโบราณ จังหวัดสุรินทร์มีการสร้างปราสาทภูมิโพน ที่ ตำบลดม [[อำเภอสังขะ]] เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ในศาสนาฮินดูศิลปะขอมโบราณสมัยไพรกเมง (สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ,2532) ประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลง 1 หลัง พบชิ้นส่วนจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต 1 ชิ้น ซึ่งมีใช้ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ทับหลังรูปสัตว์ครึ่งสิงห์ครึ่งนก ประกอบวงโค้งที่มีวงกลมรูปไข่ ศิลปะขอมโบราณแบบไพรกเมง จำนวน 1 แผ่น
บริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากปราสาท 500 เมตร มีหนองปรือซึ่งเป็นบารายขนาดใหญ่ แบบวัฒนธรรมขอมโบราณ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 300X500 เมตร อยู่ 1 แห่ง
บรรทัด 94:
ปราสาทหมื่นชัย เป็นปราสาทองค์เดียว ก่อด้วยอิฐ มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ ปัจจุบันตัวปราสาทมีสภาพหักพังเหลือเพียงส่วนเรือนธาตุ
ปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง [[อำเภอพนมดงรัก]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ก่อด้วยหินทราย และศิลาแลง
ปราสาททนง บ้านปราสาท ตำบลปราสาททนง [[อำเภอปราสาท]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐ, หินทราย และศิลาแลง ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลับพลาและปราสาทประธาน
ปราสาทบ้านไพล บ้านปราสาท ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทอิฐ 3 องค์ มีขนาดเท่ากันตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ
บรรทัด 102:
ต่อมาในช่วงอารยธรรมขอมในประเทศกัมพูชาได้เจริญถึงขีดสุดราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 18 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย พบปราสาทหินและเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอม เป็นจำนวนมาก ได้แก่ เมืองพิมาย อันมีปราสาทพิมายเป็นศูนย์กลางของเมือง ตัวเมืองมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ เป็นต้น ช่วงระยะเวลานี้มีหลักฐานว่าเมืองสุรินทร์ได้รับอิทธิพลอารยธรรมของขอมโบราณอย่างมากเช่นกัน มีการปรับแผนผังเมืองให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอมโบราณมีคูน้ำ 2 ชั้น คันดิน 1 ชั้น ล้อมรอบ ขนาดกว้าง 1,500 เมตร ยาว 2,500 เมตร ล้อมรอบตัวเมืองเดิมรูปวงรีในสมัยก่อนหน้านั้นไว้ภายในอีกชั้นหนึ่ง ส่วนพื้นที่อำเภอต่างๆ พบปราสาทขอมโบราณอีกหลายแห่ง
[[นักมานุษยวิทยา]] และ[[นักโบราณคดี]]ลงความเห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของ[[แม่น้ำมูล]]ด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ใน[[จังหวัดบุรีรัมย์]], [[จังหวัดมหาสารคาม]], [[จังหวัดร้อยเอ็ด]], จังหวัดสุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำมูล-ชีตอนล่าง ในพื้นที่[[จังหวัดศรีสะเกษ]], [[จังหวัดยโสธร]] และ[[จังหวัดอุบลราชธานี]] คือ แหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุค
=== ประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ ===
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่ [[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต|จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวาย[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]] ในการรายงานตรวจราชการ[[มณฑลอีสาน]] และ[[นครราชสีมา]] ลงวันที่ [[9 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2469]] ดังนี้
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน มีคูถึง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์ส่วนมากเป็นเขมร ซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง เช่น [[บุรีรัมย์บางส่วน|บุรีรัมย์]] [[อำเภอนางรอง|นางรอง]] มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย และชาวกูยซึ่งพูดภาษาของตนต่างหาก ส่วนเขมรซึ่งเป็นพลเมืองกลุ่มใหญ่ของเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่าม
ในอดีตการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 - 100 คน โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
จังหวัดสุรินทร์ มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง, สังคม, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์
=== ก่อนสมัย[[กรุงศรีอยุธยา]] ===
[[พระยาประชากรกิจกรจักร]]เชื่อว่า ชนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในพื้นที่ของอีสานล่าง คือ สุรินทร์, นครราชสีมา หรือ
[[อีริค ไซเดนฟาเดน]] นักชาติพันธุ์วิทยาชาวเดนมาร์ก สันนิษฐานว่าพวกกูย(กวย) เคลื่อนย้ายจาก[[ประเทศจีน]]เข้าสู่[[ประเทศพม่า]] และมาถึง[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]]ของ[[ประเทศไทย]] เมื่อประมาณ 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 3,000 ปีเศษมาแล้ว ชาวกูย(กวย)เหล่านี้อาศัยอยู่เป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่ภาคใต้ของ[[ลาว]], ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ[[กัมพูชา]] และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พวกที่อพยพเข้ามาเป็นระรอกที่ 2 และที่ 3 คือ เขมร และลาว
[[หม่อมอมรวงศ์วิจิตร]] กล่าวไว้ใน[[พงศาวดาร]]หัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อน[[จุลศักราช]]ได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้ ละโว้ (ลพบุรี) ไปจนถึงในเขตภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง
=== สมัยกรุงศรีอยุธยา ===
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้แพร่ขยายอิทธิพลทางการเมืองทำให้[[กัมพูชา]]ตกอยู่ในฐานะประเทศราชและในระหว่างปี[[พ.ศ. 2103]] [[อาณาจักรลาว]]มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[นครเวียงจันทน์]] [[พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช]] ([[พ.ศ. 2091]]-[[พ.ศ. 2111]]) กษัตริย์ของลาวได้สร้าง[[เวียงจันทน์|นครเวียงจันทน์]]เป็นเมืองหลวงของ[[ล้านช้าง]]
ในปี[[พ.ศ. 2257]] ลาวแตกออกเป็น 3 รัฐอิสระ คือ [[หลวงพระบาง]], [[เวียงจันทน์]] และ[[จำปาศักดิ์]] มีชาวกูย - ลาวกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยเจ้าราชครูหลวงแห่ง[[วัดป่าโพนสะเม็ด]]พร้อมด้วยนักศึกษาวัด ทั้งที่กำลังศึกษา เป็นพระภิกษุสามเณรอยู่และที่จบการศึกษาแล้วเป็นอ้ายเชียง, อ้ายทิด (บันฑิต), อ้ายจารย์ (อาจารย์) กับพวกข้าทางใต้ไปบูรณะ[[พระธาตุพนม]] และไปจนถึงเขมร แล้วกลับมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมือง[[จำปาศักดิ์]]
เมืองจำปาศักดิ์นั้นเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับเมือง[[อัตตะปือ]]แสนแปง (แสนแปง) ซึ่งต่างเป็นเมืองของพวกลัวะ, ละว้า, ขอม, กูย ขณะนั้นเมืองจำปาศักดิ์ปกครองโดยนางแพง เจ้าหญิงข่า-ลัวะ (กูย กวย ขอม) ธิดาของนางเพากับเจ้าคำช้าง หรือบ้างคำ ด้วยคุณงามความดีของเจ้าราชครูหลวงแห่งวัดป่าโพนสะเม็ด นางแพงจึงมอบอำนาจการปกครองเมืองจำปาศักดิ์ให้ เจ้าราชครูหลวงจึงได้อัณเชิญ[[เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร]]จากนคร[[เวียงจันทน์]]ไปปกครองนครจำปาศักดิ์นับตั้งแต่[[พ.ศ. 2261]]-[[พ.ศ. 2281]] เป็นต้นมา เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้ปกครองจำปาศักดิ์แล้ว เจ้าราชครูแห่งวัดป่าโพนสะเม็ดจึงขยายอำนาจ โดยตั้งผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ออกไปปกครองเมืองของลัวะ ละว้า ข่า
การแยกเป็นรัฐอิสระของอาณาจักรลาว ทำให้ทั้ง 3 รัฐ เกิดการแข็งต่อเมืองกันและต่างสะสมแสนยานุภาพไว้ต่อสู้ ป้องกันการรุกราน เมืองจำปาศักดิ์จึงบังคับให้อัตตะปือ แสนปางส่งช้างป้อนกองทัพให้แก่จำปาศักดิ์ตามที่ต้องการ ทำให้ชาวอัตตะปือแสนปางทนต่อสภาพถูกบีบบังคับไม่ได้ ส่วนหนึ่งจึงข้ามลำน้ำโขงเข้ามาอาศัยกับพวกกูย (กวย) ดั้งเดิมบริเวณป่าดงดิบแถบอีสานล่าง คือ [[อุบลราชธานี]], [[ศรีสะเกษ]], [[สุรินทร์]], [[บุรีรัมย์]], [[มหาสารคาม]] และบางส่วนของ[[นครราชสีมา]], [[ขอนแก่น]], [[ชัยภูมิ]]
ชาวกูยหลายกลุ่มพากันข้ามมาตั้งหลักแหล่งทางฝั่งขวาของ[[แม่น้ำโขง]] เพิ่มเติม (ซึ่งแต่เดิมมีการตั้งถิ่นฐานในบริเวณภูมิภาคนี้มานานเป็นพันปีแล้ว) เมื่อ[[พ.ศ. 2260]] แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนและมีหัวหน้าปกครองตามที่
* กลุ่มที่ 1 มาอยูที่บ้านเมืองที (ปัจจุบันอยู่ในเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงปุม
* กลุ่มที่ 2 มาอยูที่บ้านกุดหวายหรือเมืองเตา (ปัจจุบันอยู่ในเขต[[อำเภอรัตนบุรี]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงลี
บรรทัด 139:
* กลุ่มที่ 6 มาอยูที่บ้านกุดปะไท (ปัจจุบันคือบ้านจารพัต [[อำเภอศีขรภูมิ]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงไชย
ชาวกูย(กวย)เหล่านี้มีความชำนาญในการคล้องช้าง ด้านการเมืองการปกครอง, ด้านการทหาร, ด้านวิศวกรรม, ด้านการแพทย์, ทำการเกษตร, หาของป่า ป่าดงแถบนี้เดิมมีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ เช่น โขลงช้างพัง, ช้างพลาย, ฝูงเก้ง, กวาง, ละมั่ง และโคแดง ในอดีตแต่ละชุมชนชาวกูยมีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ซึ่งไม่ได้มีเส้นเขตแดนีดแบ่งกันในแบบสมัยปัจจุบัน
สมัย[[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]] (เจ้าฟ้าเอกทัศ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่ง[[กรุงศรีอยุธยา]] [[ช้างเผือก]]เขตกรุงหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เขตพิมาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง (เข้าใจว่า คือ [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] และ[[สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท]]) กับไพร่พล 30 คน ออกติดตามช้างเผือกมาทางแขวงเมือง[[อำเภอพิมาย|พิมาย]] ได้มาสืบถามร่องรอยช้างจากชาวเมืองพิมายซึ่งเป็นผู้ชำนาญภูมิประเทศในแถบนั้น ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปสืบถามพวกกูย (กวย), มอญ, แซก โพนช้างอยู่ริมเขาดงใหญ่เชิงเขา[[พนมดงรัก]] เมื่อได้รับคำแนะนำจากชาวเมืองพิมายว่าช้างเผือกหนีไปทางไหนแล้ว ขุนนางสองพี่น้องพร้อมด้วยไพร่พลออกติดตามต่อมาตามลำน้ำมูลมาพบเชียงสีหรือตากะอาม หัวหน้าบ้านกุดหวาย เชียงสีได้พาขุนนางสองพี่น้องไปพบหัวหน้าหมู่บ้าน
เชียงฆะก็พาขุนนางสองพี่น้องและพวกไปยังหนองโชก พากันขึ้นต้นไม้ที่ริมหนองโชกเพื่อดูช้างโขลงนั้น ครั้นเวลาบ่ายช้างโขลงนั้นก็ออกจากชายป่ามาเล่นน้ำตามเคย ปรากฏว่าช้างเผือกที่หายมานั้นอยู่กลางฝูงพากันลงเล่นน้ำที่หนองโชก ขุนนางทั้งสองจึงเอาก้อนอิฐแปดก้อนที่นำมาจากบ้านเมืองทีขึ้นเสกเวทมนตร์ตามพิธีกรรมคชศาสตร์ อธิษฐานแล้วขว้างไปยังโขลงช้างทั้งแปดทิศ ฝ่ายช้างป่าก็แตกตื่นหนีเข้าป่าหมด คงเหลืออยู่แต่ช้างเผือกเชือกเดียวขุนนางสองพี่น้องก็ลงจากต้นไม้พากันขึ้นขี่หลังช้างโดยง่าย เมื่อจับช้างได้แล้ว ขุนนางสองพี่น้องและบริวารพากันเดินทางกลับ หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายที่มาช่วยเหลือในการติดตามช้าง ก็ได้อำนวยความสะดวกในการควบคุมช้างเผือกมาส่งที่กรุงศรีอยุธยาด้วย เมื่อมาถึงพระนครแล้ว ขุนนางสองพี่น้องจึงได้นำหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายเข้าเฝ้าสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ และกราบบังคมทูลเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทรงทราบ [[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]]จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าชาวกูย (กวย) ให้มีฐานันดรศักดิ์ คือ
บรรทัด 153:
กลับไปปกครองคนในหมู่บ้านของตน โดยอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยาขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย <ref>ยุพดี จรัณยานนท์ 2522 : 34 - 35</ref>
[[พ.ศ. 2306]] [[หลวงสุรินทร์ภักดี]] (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีซึ่งคับแคบและไม่สะดวกในการทำมาหากินไปตั้งที่บ้านคูประทายหรือบ้านคูประทายสมันต์ คือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบถึง 2 ชั้น เป็นชัยภูมิเหมาะสมที่จะป้องกันและต่อต้านศัตรูที่มารุกรานได้เป็นอย่างดี เมื่อได้รับอนุญาตแล้วหลวงสุรินทร์ภักดีจึงได้อพยพราษฎรบางส่วนไปอยู่ที่บ้านคูประทาย ส่วนญาติพี่น้อง ชื่อเชียงบิด, เชียงเกตุ, เชียงพัน, นางสะตา, นางแล และราษฎรส่วนหนึ่งคงอยู่ ณ หมู่บ้านเมืองทีตามเดิม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุม) กับญาติร่วมกันสร้างเจดีย์ 3 ยอด สูง 18 ศอก และสร้างโบสถ์พร้อมพระปฏิมา หน้าตักกว้าง 4 ศอก ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดเมืองทีมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อย้ายถิ่นฐานจากบ้านเมืองทีไปอยู่ที่บ้านคูประทายแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านทั้ง 5 จึงได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ [[กรุงศรีอยุธยา]] นำสิ่งของไปทูลเกล้าถวาย คือ ช้าง, ม้า, แก่นสน, ยางสน, ปีกนก, นอระมาด (นอแรด), งาช้าง, ขี้ผึ้ง, น้ำผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณี เพราะว่าขณะนั้นบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์จะได้อพยพมาตั้งฐิ่นฐานอยู่ในดินแดนอันเป็นป่าดงทึบส่วนนี้ โดยตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่อย่างมั่นคงก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของกรุงศรีอยุธยา ยังคงถือว่าเป็นกลุ่มชนที่อยู่ในป่าดงในราชอาณาเขตเท่านั้น ซึ่งกรุงศรีอยุธยาเริ่มรู้จักก็โดยหัวหน้าหมู่บ้านได้ช่วยเหลือจับช้างเผือกคืนกรุงศรีอยุธยา และเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้นำของไปทูลเกล้าถวายแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้น ดังนี้
# หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เป็น [[พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง]] ยกบ้านคูประทาย เป็น เมืองประทายสมันต์ ให้พระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง เป็นเจ้าเมืองปกครอง ต้นตระกูล "อินทนูจิตร'
# หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็น [[พระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ]] ยกบ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านดงยาง เป็น เมืองสังฆะ ให้พระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ เป็นเจ้าเมืองปกครอง
บรรทัด 163:
การปกครองบังคับบัญชาแบ่งเป็นหมวดหมู่ เป็นกอง มีนายกอง, นายหมวด, นายหมู่ บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหมดก็เดินทางกลับและปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขตลอดมา
=== สมัย[[กรุงธนบุรี]] ===
เมื่อ[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า]]ในปี[[พ.ศ. 2310]] แล้ว [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] ทรงกอบกู้อิสรภาพ และตั้ง[[กรุงธนบุรี]]เป็นราชธานี เมืองสุรินทร์ก็ขึ้นต่อกรุงธนบุรี
เมื่อ[[พ.ศ. 2318]] [[พญาโพธิสาร]] จากนครจำปาศักดิ์ยกทัพมากวาดต้อนครัวบ้านครัวเมือง [[อำเภอสุวรรณภูมิ|เมืองสุวรรณภูมิ]], [[อำเภอราษีไศล|เมืองตักศิลา]] (อำเภอราษีไศล) และ[[จังหวัดศรีสะเกษ|เมืองศรีนครเขต]] (ศรีสะเกษ) ทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
ครั้นเมื่อปี[[พ.ศ. 2321]] [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] (สมเด็จพระเจ้าตากสิน) จึงโปรดเกล้าให้[[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]เป็นแม่ทัพไปสมทบกำลังเกณฑ์[[จังหวัดขุขันธ์|เมืองขุขันธ์]] [[อำเภอสังขละบุรี|เมืองสังขะบุรี]] และกองทัพช้างคูประทายสมันต์ ขึ้นไปตี[[จำปาศักดิ์|เมืองจำปาศักดิ์]], [[นครพนม|เมืองนครพนม]], บ้านหนองคาย, [[เวียงจันทน์]] เป็นกำลังสำคัญในการขยายอิทธิพลสู่[[เขมร]]
ในปี[[พ.ศ. 2324]] ทางฝ่ายเขมรเกิดการ[[จลาจล]] โดยเจ้าทะละหะ (มู) กับ[[พระยาวิมลราช]] (ฮู) ฝักใฝ่ในทาง[[ญวน]] [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]]โปรดเกล้า ให้[[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]] กับ[[พระยาสุรสีห์]] ยกกองทัพไปปราบปราม โดยเกณฑ์กำลังทางขุขันธ์, [[ประทายสมันต์]] (เมืองสุรินทร์), สังขะ ไปช่วยปราบปรามเมืองประทายเพชร, ประทายมาศ, เมืองรูงตำแรย์, กำปงสวายและ[[เสียมราฐ]] การปราบปรามยังไม่ราบคาบ เกิดความไม่สงบขึ้นใน[[กรุงธนบุรี]] [[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ทราบข่าวจึงเลิกทัพกลับคืนมายัง[[กรุงธนบุรี]]
ในระหว่างสงครามครั้งนี้ได้มีพวก[[เขมร]]หลบหนีสงครามจากเมือง[[เสียมราฐ]], กำปงสวาย, ประทายเพชร และเมือง
เมื่อเสร็จศึกสงครามเมืองเวียงจันทน์และเมืองเขมรแล้ว เจ้าเมืองประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น [[พระยา|"พระยา"]] ทั้ง 3 เมือง
บรรทัด 182:
[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในปี[[พ.ศ. 2325]] และตั้ง[[กรุงเทพมหานคร]]เป็นราชธานี
พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีที่คับแคบไปตั้งที่บ้านคูประทายคือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่ มีกำแพงค่ายคูล้อมถึงสองชั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้สร้างเจดีย์สามยอด สูง 18 ศอก สร้างโบสถ์พร้อมพระปฏิมา หน้าตักกว้าง 4 ศอก ยังปรากฏอยู่ที่วัดเมืองทีมาถึงปัจจุบัน ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านชาวกูยทั้งห้าคนได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา และได้นำสิ่งของไปถวาย คือ ช้าง, ม้า, แกนสม, ยางสน, นอระมาด, งาช้าง, ปีกนก, ขี้ผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณีมาแต่โบราณ และประกอบกับเป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้ง มีความชอบเป็นอันมากมาก จึงโปรดเกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น "พระยาสุรินทรภักดีศรีจางวาง (เชียงปุม)" (1) บรรดาศักดิ์ "พระยา" เป็นบรรดาศักดิ์ สำหรับขุนนางระดับสูง หัวหน้ากรมต่างๆ เจ้าเมืองชั้นโท และแม่ทัพสำคัญ ในพระไอยการฯ มีเพียง 33 ตำแหน่ง ดังนั้น จึงมีประเพณี พระราชทานเครื่องยศ (โปรดดูเรื่อง [[เครื่องราชอิสริยยศไทย]]) ประกอบกับบรรดาศักดิ์ด้วย โดย พระยาที่มีศักดินามากกว่า 5,000 จะได้รับพระราชทานพานทอง ประกอบเป็นเครื่องยศ จึงเรียกกันว่า '''พระยาพานทอง''' ซึ่งถือเป็นขุนนางระดับสูง ส่วนพระยาที่มีศักดินาต่ำกว่านี้ จะไม่ได้รับพระราชทานพานทอง 2)บรรดาศักดิ์ จางวาง เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในกรมมหาดเล็ก, ตำแหน่งผู้กำกับการ)
[[พ.ศ. 2329]] ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เปลี่ยนชื่อ เมืองประทายสมันต์ เป็น [[สุรินทร์|เมืองสุรินทร์]] ตามสร้อยบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในการเปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์ เป็นเมืองสุรินทร์ครั้งนี้ได้โปรดเกล้า ให้เจ้าเมืองพิมาย แบ่งปันอาณาเขตให้เมืองสุรินทร์ ดังนี้
บรรทัด 188:
* ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดต่อกับแขวงเมือง{{อำ|รัตนบุรี}} ตั้งแต่[[แม่น้ำมูล]] ถึงหลักหินตะวันออกบ้านโพนงอยถึงบ้านโคกหัวลาว และต่อไปยังบ้านโนนเปือย และตามคลองห้วยถึงบ้านนาดี บ้านสัจจังบรรจง ไปทางตะวันออกถึง{{อำ|ห้วยทับทัน}}
* ทิศตะวันออก จดห้วยทับทัน
* ทิศตะวันตก ถึงลำห้วยตะโคง หรือชะโกง มีบ้านกก, บ้านโคกสูง, แนงทม, สองขั้น และ{{อำ|ห้วยราช}}
ส่วนทางทิศใต้ไม่ได้บอกไว้ เพราะขณะนั้นเมืองเขมรบางส่วนอยู่ในความปกครองของไทย เช่นบ้านจงกัลในเขตเขมรปัจจุบัน เคยเป็น[[อำเภอจงกัล]]ของไทย ขึ้นกับเมืองสังขะ
บรรทัด 198:
[[พ.ศ. 2342]] มีตราโปรดเกล้า ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เมืองละ 100 รวม 300 เข้ากองทัพยกไปตีกองทัพพม่า ซึ่งยกมาตั้งอยู่ในเขตแขวง เมืองนครเชียงใหม่ แต่กองทัพไทยมิทันไปถึงได้ข่าวว่ากองทัพพม่าถอยไปแล้ว ก็โปรดเกล้าให้ยกกองทัพกลับ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เปลี่ยนนามพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง (ตี) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์
[[พ.ศ. 2350]] ทรงพระราชดำริว่า เมืองสุรินทร์, เมืองสังขะ, เมืองขุขันธ์ เป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้ง มีความชอบมาก จึงโปรดเกล้า ให้ทั้ง 3 เมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร เลยทีเดียว มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นต่อเมืองพิมายเหมือนแต่ก่อน <ref> (พงศาวดารเมืองประทายสมันต์เลขที่ 001: 3/10) </ref>
[[พ.ศ. 2351]] [[พระสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์]] (ตี) เจ้าเมืองกูยสุรินทร์ถึงแก่กรรม จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ตั้งหลวงวิเศษราชา (มี) ผู้เป็นน้องชาย เป็น[[พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์]] เจ้าเมืองสุรินทร์สืบต่อไป
บรรทัด 214:
* ''ประเด็นที่ 1'' การสักเลก (การสักข้อมือคนในบังคับ) ในหัวเมืองอีสาน สำหรับการสักเลกนี้ไม่มีหลักฐาน่วาเริ่มเมื่อใดแต่อย่างน้อยที่สุดประมาณปี[[พ.ศ. 2317]] ช่วงสมัยธนบุรี จนเกิด[[กบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์]]ในปี[[พ.ศ. 2369]] <ref> (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ [[จ.ศ. 1205]] เลขที่ 86) </ref> การส่งข้าหลวงมาสักเลกสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในหัวเมืองเขมรป่าดงอย่างมาก ทั้งนี้เพราะนอกจากจะเจ็บตัวจากการสักเลกแล้วยังต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสักเลกอีก คนละ 1 บาท 1 เฟื้อง
* ''ประเด็นที่ 2'' ความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมือง[[นครราชสีมา]]กับเมืองขุขันธ์ เอกสารพื้นเวียงกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมืองขุขันธ์ กับ[[พระยาพรหมภักดี]]เจ้าเมืองนครราชสีมา จากการศึกษาของ[[พรรษา สินสวัสดิ์]] กล่าวไว้ว่า[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
* ''ประเด็นที่ 3'' ความขัดแย้งระหว่าง[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]]กับเจ้านครจำปาศักดิ์ (เมืองของชาวกูย กวย) ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ปรากฏในพงศาวดารไทย แต่ในเอกสารพื้นเวียงกล่าวว่าเป็นฉนวนสำคัญที่สุดที่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏ <ref> (ธวัช ปุณโณทก 2526 : 82) </ref> กล่าวคือ พระยาพรหมภักดีครองเมืองโคราชได้ 2 ปี มีความขัดข้องใจที่ไม่ได้ครองเมืองจำปาศักดิ์ จึงจัดสร้างด่านใกล้เมืองพระยาไกรภักดี เจ้าเมืองขุขันธ์จนเกิดเรื่องกับพระยาไกรภักดี ดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังพระยาพรหมภักดีเจ้าเมืองนครราชสีมามีหนังสือสารตรา ไปยังเมืองจำปาศักดิ์ (เจ้าราชบุตรโย่) เจ้าเมืองจำปาศักดิ์โกรธจึงไปทูลเจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์โกรธแค้นมาก
จาก 3 ประเด็นที่กล่าวทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์กับ[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]] (ทองอิน) และนำไปสู่กบฏเจ้าอนุวงศ์ในปี[[พ.ศ. 2369]] เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทรน์ คุมกองทัพบกเข้าตีเมืองรายทางเข้ามาจนถึง[[เมืองนครราชสีมา]] ฝ่ายทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (เจ้าโย่) เกณฑ์กำลังยกทัพมาตีเมืองขุขันธจับพระไกรภักดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ กับพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ) ปลัดเมืองกับพระแก้วมนตรี (ทศ) ยกกระบัตรกับกรมการได้ ฆ่าตายทั้งหมด เจ้าเมืองสังฆะ และเมืองสุรินทร์หนีได้ทัน กองทัพจำปาศักดิ์ ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ค่ายหนึ่ง และค่าย
เมื่อข่าวเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏได้ททราบถึงกรุงเทพ [[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นทัพหน้าพร้อมด้วย พระยาราชนิกุล, พระยากำแหง, พระยารองเมือง, พระยาจันทบุรี คุมไพร่พลไปทางเมืองพระตะบองขึ้นไปเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ เกณฑ์เขมรป่าดงไปเป็นทัพขนาบกองทัพกรุงเทพ ได้ตามตีกองทัพลาวเรื่อยไปจนถึงเวียงจันทน์และตีเมืองเวียงจันทน์แตกเมื่อ[[พ.ศ. 2370]]
เมื่อ[[พ.ศ. 2371]] ทรงพระโปรดเกล้า ให้เลื่อนพระยาสุรินทร์ภักดีศรีประทาย-สมันต์ (สุ่น) เจ้าเมืองสุรินทร์เป็นเจ้าพระยาสุรินทร์ภักดีศรีประทายสมันต์
บรรทัด 226:
ส่วนทางเมืองสังขะ โปรดให้พระยาสังขะเป็นพระยาภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมือง ให้บุตรพระยาสังขะ เป็นพระยาสังขะบุรีศรีนครอัจจะปะนึง
ในปี[[พ.ศ. 2372]] หัวเมืองฝ่ายตะวันออกไม่เรียบร้อยดี เนื่องมาจากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์เพราะราษฏรพากันหนีหลบภัยสงครามไปต่างเมือง เช่น หัวเมืองเขมรป่าดง ราษฎรพากันหลบหนีไปยังแถบเขมร ราษฎรเมืองนครราชสีมาก็พากันหลบหนีไปทางเมือง [[ลพบุรี]], [[เพชรบุรี]], [[ปราจีนบุรี]] เป็นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาขณะดำรงตำแหน่งพระยาราชสุภาวดีเป็นแม่กองออกไปจัดการหัวเมืองอีสาน-ลาว ทั้งหมด <ref> (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1856 เลขที่ 86) </ref> และได้ไปจัดตั้งราชการสำมะโนครัว แต่งตั้งกองสักเลกอยู่ ณ กุดผไท ([[อำเภอศรีขรภูมิ]] จังหวัดสุรินทร์)
ในปี[[พ.ศ. 2385]] เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ได้เกณฑ์คน หัวเมืองในแถบอิสานใต้ หัวเมืองขุขันธ์ 2,000 คน เมืองสุรินทร์ 1,000 คน เมืองสังขะ 300 คน เมืองศรีสะเกษ 2,000 คน เมืองเดชอุดม 400 คน รวม 6,200 คน <ref> (หอสมุดแห่งชาติ เลขที่ 4/1 จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1205) </ref> และในปี[[พ.ศ. 2381]] เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้กำลังจากเมืองลาว หัวเมืองชาวกูย เมืองนครราชสีมา 12,000 คน เกณฑ์กำลังขึ้นไปสมทบทัพกรุงเทพ ที่เมืองอุดมมีชัยไปรบในกัมพูชา <ref> (หอสมุดแห่งชาติ เลขที่ 3 จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1201) </ref>
บรรทัด 244:
[[พ.ศ. 2416]] พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ เจ้าเมืองก็ถึงแก่กรรม พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) เห็นว่าหลวงงพิทักษ์สุนทรบุตรพระปลัดกรมการเมืองสังฆะ ซึ่งสมัครมาอยู่เมืองสุรพินทนิคมเป็นผู้มีหลักฐานมั่นคงดี จึงได้ให้หลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคมหลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคมได้สามปีก็ถึงแก่กรรมแต่นั้นมาเจ้าเมืองสุรพินทนิคมจึงว่างตลอดมา
[[พ.ศ. 2419]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระศักดิ์เสนีย์ เป็นข้าหลวงออกไปตั้งสืบสวนจับโจรผู้ร้ายหัวเมืองตะวันออก เนื่องจากพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) และพระยาสังขะได้บอกมายังกรงเทพ ว่าเกิดโจรผู้ร้ายปล้นลักทรัพย์สิ่งของราษฎรในเขตของเมืองทั้งสองแล้วหนีเข้าไปแขวงเมืองบุรีรัมย์, เมืองนางรอง, เมืองประโคนชัย ราษฎรได้รับความเดือดร้อนมาก ข้าหลวงที่ส่งไปเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อปราบโจรผู้ร้ายเสร็จแล้วก็กลับกรุงเทพ ข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งลักษณะนี้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดได้ทุกเมือง
[[พ.ศ. 2424]] ฝ่ายทางเมืองจงกัล ตั้งแต่โปรดเกล้า ให้หลวงสัสดี (ลิน) เป็นพระวิไชย เจ้าเมืองจงกัล พระวิไชยรับราชการได้ 7 ปี ก็ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองสังฆะจึงได้ให้พระสุนทรนุรักษ์ผู้หลานนำใบบอกไปกรุงเทพ ขอให้พระสุนทรนุรักษ์เป็น พระทิพชลสินธุ์อินทรนฤมิตร
บรรทัด 256:
[[พ.ศ. 2432]] พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งมีอำนาจเต็มในภาคอีสานทั้งหมด ได้แต่งตั้งใบประทวนให้ ยานเยียบ เป็นพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ต่อไป แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ถึงแก่กรรมเมื่อ [[พ.ศ. 2433]] พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) จึงต้องกลับมาเป็นเจ้าเมือง อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ถึงแก่กรรมในปีเดียวกันนั้นเอง
[[พ.ศ. 2434]] จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรเป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ กองหนึ่งให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว ให้เมืองนครจำปาศักดิ์, เมืองเชียงแตง, เมืองแสนปาง, เมืองสีทันดร, เมืองสาลวัน, เมืองอัตตะปือ, เมืองคำทองใหญ่, เมืองสุรินทร์, เมือง
[[พ.ศ. 2435]] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ซึ่งย้ายมาแทนพระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ได้ทรงแต่งตั้งให้พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) น้องชาย พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ (เปลี่ยนจากเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง)
บรรทัด 262:
ในสมัยที่พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์นี้ เป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังปรับปรุงระบบบริหารใหม่ ข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์มณฑลอีสานได้ทรงวางระเบียบให้มีข้าราชการจากส่วนกลาง มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการทุกหัวเมือง สำหรับเมืองสุรินทร์ หลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงกำกับราชการ มีอำนาจเด็ดขาด ทัดเทียมผู้ว่าราชการเมือง นับเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่เชื้อสายบรรพบุรุษชาวสุรินทร์ ด้วยความไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและความเป็นอยู่ของชาวเมืองได้ดีพอจึงทำให้ดำเนินการบางอย่างผิดพลาด มิชอบโดยหลักการ แต่พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) เจ้าเมืองไม่อาจขัดขวางได้เพราะเห็นว่า ถ้าเข้าขัดขวางแล้วก็จะมีแต่ความร้าวฉาน ขาดความสามัคคีในชนชั้นปกครอง
[[พ.ศ. 2436]] ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นทางเมืองเชียงแตง, เมืองสีทันดร และเมืองสมโบก ซึ่งสมันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรในฐานะผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการป้องกันราชอาณาจักร ให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์, เมืองศรีสะเกษ, เมืองขุขันธ์, เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 800 เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองยโสธร เมืองละ 500 ฝึกการรบแล้วส่งกำลังรบเหล่านี้เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด สถานการณ์สงครามสงบลงในเดือนตุลาคม [[พ.ศ. 2436]] ต่างฝ่ายต่างถอนกำลังรบ กำลังรบของเมืองสุรินทร์จึงได้กลับคืนบ้านเมือง อาจกล่าวได้ว่านับแต่ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเกิดศึกสงครามจากข้าศึกนอกราชอาณาจักร ชาวสุรินทร์จะมีบทบาทในการป้องกันบ้านเมืองด้วยเสมอ
กรณีพิพาทกับฝรั่งเศสสงบลงไม่นานนัก ในปีเดียวกันนี้ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) ผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ ได้ถึงแก่อนิจกรรม โดยที่ยังไม่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็นที่ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ตามตำแหน่ง ในช่วงระยะนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสาน ได้สั่งย้ายหลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) และแต่งตั้งหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์ (ล้อม) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองสุรินทร์แทน
บรรทัด 279:
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้ง ===
จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ทางตอนล่างของ[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]] ระหว่าง[[ลองติจูด]] 103 และ 105[[องศา]]ตะวันออก [[ละติจูด]] 15 และ 16 [[องศา]]เหนือ ระยะทางห่างจาก[[กรุงเทพมหานคร]]ประมาณ 420 [[กิโลเมตร]] [[อาณาเขต]]ทิศเหนือ ติดต่อกับ[[จังหวัดร้อยเอ็ด]] และ[[จังหวัดมหาสารคาม]] [[ทิศใต้]] ติดต่อกับ[[ประเทศกัมพูชา]] ทิศตะวันออก ติดต่อกับ[[จังหวัดศรีสะเกษ]] และทิศตะวันตก ติดต่อกับ[[จังหวัดบุรีรัมย์]]
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบสูงมีลักษณะพื้นที่ดังนี้
# ทางตอนใต้ของจังหวัด เป็นพื้นที่ราบสูง มี[[ภูเขา]]สลับซับซ้อนหลายลูก มีป่าทึบสลับ[[ป่าเบญจพรรณ]]ตามบริเวณแนวเขตชายแดน ([[อำเภอบัวเชด]], [[อำเภอสังขะ]], [[อำเภอกาบเชิง]] และ[[อำเภอพนมดงรัก]]) ที่ติดต่อกับ[[ราชอาณาจักรกัมพูชา]] ต่อจากบริเวณ[[ภูเขา]]ลงมาเป็นที่ราบสูง
# ทางตอนกลางของจังหวัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม แต่มีพื้นที่บางส่วนเป็นที่ดอน สลับที่ลุ่มลอนลาดเช่นเดียวกัน แต่ไม่มากเท่าทางตอนใต้ของจังหวัด (อำเภอเมืองสุรินทร์, อำเภอเขวาสินรินทร์, อำเภอศรีขรภูมิ, อำเภอสำโรงทาบ, อำเภอลำดวน และอำเภอศรีณรงค์)
# ทางตอนเหนือของจังหวัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ([[อำเภอจอมพระ]] และ[[อำเภอสนม]]) และที่ราบลุ่ม ([[อำเภอชุมพลบุรี]], [[อำเภอท่าตูม]], [[อำเภอรัตนบุรี]], และ[[อำเภอโนนนารายณ์]]) โดยเฉพาะ[[อำเภอชุมพลบุรี]] และ[[อำเภอท่าตูม]] อยู่ในที่ราบลุ่ม[[แม่น้ำมูล]] ในเขตของ
;ภูเขา
จังหวัดสุรินทร์ มีเทือกเขา[[พนมดงรัก]]ทอดยาวตามแนวเขตแดน[[ไทย]]-[[กัมพูชา]] ทางด้านตอนใต้ของจังหวัด มีเขาสวายหรือ[[พนมสวาย]]ในเขต[[ตำบลนาบัว]] [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เป็น[[ภูเขาไฟ]]ที่ดับแล้ว มียอด
;แหล่งน้ำ
[[แหล่งน้ำ]]ที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่
* [[แม่น้ำมูล]] ต้นน้ำเกิดจากภูเขา[[ดงพญาเย็น]] เขต[[อำเภอครบุรี]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] ไหลผ่านจังหวัดสุรินทร์ ทางเขต[[อำเภอชุมพลบุรี]], [[อำเภอท่าตูม]] และ[[อำเภอรัตนบุรี]] ไหลลงสู่[[แม่น้ำโขง]]ที่[[จังหวัดอุบลราชธานี]] เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเพาะปลูก]], [[การคมนาคม]] นอกจากนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วย[[สัตว์น้ำ]]
* [[ลำน้ำชี]] ต้นน้ำเกิดจาก[[เขาพนมดงรัก]] เป็นลำน้ำที่แบ่งเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดบุรีรัมย์]] เป็นลำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 90 กิโลเมตร ไหลผ่านจังหวัดสุรินทร์ ในเขต[[อำเภอปราสาท]], [[อำเภอเมืองสุรินทร์]], [[อำเภอจอมพระ]] และไปบรรจบ[[แม่น้ำมูล]]ที่[[บ้านตากลาง]] [[ตำบลกระโพ]] [[อำเภอท่าตูม]] จังหวัดสุรินทร์
* [[ลำน้ำพลับพลา]] ต้นน้ำเกิดจาก[[อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย]] [[จังหวัดมหาสารคาม]] ไหลผ่าน[[ทุ่งกุลาร้องไห้]] ลงสู่[[แม่น้ำมูล]]ที่[[อำเภอราษีไศล|อำเภอรัตนบุรี]] [[จังหวัดศรีสะเกษ|จังหวัดสุรินทร์]] เป็น[[ลำห้วย]]ที่แบ่งอาณาเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดมหาสารคาม]] และ[[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
* [[ลำห้วยทับทัน]] ต้นน้ำเกิดจากเทือก[[เขาพนมดงรัก]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอสังขะ]], [[อำเภอศรีณรงค์]], [[อำเภอสำโรงทาบ]], [[อำเภอโนนนารายณ์]], [[อำเภอรัตนบุรี]] และไหลลงสู่[[แม่น้ำมูล]]
* [[ลำห้วยระวี]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]], [[อำเภอเขวาสินรินทร์]], [[อำเภอจอมพระ]] และ[[อำเภอท่าตูม]] ทางจังหวัดได้ทำการขุดลอก และสร้างฝายน้ำล้นกั้นเป็น
* [[ลำห้วยเสน]] ต้นน้ำเกิดจากเขา[[พนมดงรัก]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอสังขะ]] และ[[อำเภอศรีณรงค์]]เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเลี้ยงสัตว์]] ในฤดูแล้งน้ำแห้งเป็นบางช่วงของลำห้วย
* [[ลำห้วยระหาร]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]] ใน[[ฤดูฝน]]น้ำจะท่วมหลาก แต่ใน[[ฤดูแล้ง]]น้ำจะแห้งขอด ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้
* [[ลำห้วยแก้ว]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอรัตนบุรี]] และไหลลงสู่[[แม่น้ำมูล]] ฤดูแล้งบางช่วงของลำห้วยน้ำตื้นเขิน ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน
* [[ลำห้วยสำราญ]] เป็นลำห้วยที่แบ่งอาณาเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดศรีสะเกษ]] ต้นน้ำเกิดจากเขาพนมดัจ (เขาขาด) และพนมซแร็ยซระน็อฮ (เขานางโศก) ไหลผ่านเขต[[อำเภอบัวเชด]] และ[[อำเภอสังขะ]]
* [[ลำห้วยจริง]] เป็นลำห้วยที่แบ่งอาณาเขต [[อำเภอศรีขรภูมิ]] กับ[[อำเภอโนนนารายณ์]] และ[[อำเภอสำโรงทาบ]] จังหวัดสุรินทร์มี[[โครงการชลประทาน]] 1 แห่ง คือ [[เขื่อนห้วยเสนง]] (สะเนง=เขาสัตว์) อยู่ในเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เป็นโครงการส่งน้ำทดน้ำ เอื้อประโยชน์ต่อการ[[ทำนา]]ในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 46,180 ไร่
* [[ลำห้วยไผ่]] ต้นน้ำเกิดจากท้องทุ่งนาในเขตอำเภอสนม ไหลผ่านเขต[[ตำบลโพนโก]] [[อำเภอสนม]] เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเลี้ยงสัตว์]] โดยปลายน้ำอยู่ที่แม่น้ำมูล ตำบลน้ำเขียว [[อำเภอรัตนบุรี]] อ่างเก็บน้ำห้วยลำพอก [[อำเภอศรีขรภูมิ]]
;ป่าไม้
บรรทัด 309:
# เขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 26 ป่า
# วนอุทยาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ [[วนอุทยานพนมสวาย]] [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เนื้อที่ 2,500 ไร่ และ[[วนอุทยานป่าสนหนองคู]] [[อำเภอสังขะ]] เนื้อที่ 625 ไร่
# เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า 1 แห่ง คือ [[เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยสำราญ-ห้วยทับทัน]] อยู่ในพื้นที่[[อำเภอพนมดงรัก]], [[อำเภอกาบเชิง]], [[อำเภอสังขะ]] และ[[อำเภอบัวเชด]] เนื้อที่ 313,750 ไร่
# ป่าชุมชน
พื้นที่ระหว่างอำเภอสังขะ และอำเภอลำดวน มีป่าสนสองใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวสุรินทร์เรียกบริเวณนี้ว่า "ป่าพนาสน" ป่าสนสองใบที่จังหวัดสุรินทร์นี้ไม่เหมือนป่าสน
วังทะลุ ห่างจากหมู่บ้านช้าง (บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม) เพียง 3 กิโลเมตร ที่นี่เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหล และลำน้ำชี มาบรรจบกัน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ที่จังหวัดอุบลราชธานี “วังทะลุ” เป็นสายน้ำที่แวดล้อมไปด้วยป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามซึ่งหาชมได้ยาก ยังมีความอุดมบูรณ์ทางธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นที่อาบน้ำของช้างในหมู่บ้านยามเย็น
เอกสารบรรยายสรุปจังหวัดสุรินทร์ ประจำปี [[พ.ศ. 2540]] มีการตัดไม้ทำลายป่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการบุกรุก แผ้วถาง เพื่อการเกษตรกรรม ป่าไม้ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดบริเวณ[[เทือกเขาพนมดงรัก]] ในเขตอำเภอสังขะ, อำเภอบัวเชด, อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก และยังมีป่าไม้กระจัดกระจายเป็น
;ทรัพยากรธรณี
ลักษณะของ[[ดิน]]ในจังหวัดสุรินทร์ เป็น[[ดินร่วน]]ปนทราย มีบางพื้นที่ เช่น อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็น[[ดินเหนียว]]ปนทราย ฉะนั้นดินในจังหวัดสุรินทร์จึงอุ้มน้ำได้น้อย
จังหวัดสุรินทร์มีทรัพยากรทางธรณีที่สำคัญ ได้แก่ ทรายแม่น้ำมูล พบที่[[อำเภอท่าตูม]] และ[[อำเภอชุมพลบุรี]] บ่อหินลูกรัง พบที่ [[อำเภอท่าตูม]], [[อำเภอสำโรงทาบ]], [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] และ[[อำเภอสังขะ]] หินภูเขา เป็นหินภูเขาที่ได้จากเขาสวาย ท้องที่ตำบลสวาย และตำบลนาบัว สำหรับป้อนโรงงานโม่หินเพื่อใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ ===
จังหวัดสุรินทร์มีทรัพยากรสัตว์ป่าอยู่มากมายทั่วทั้งจังหวัด แต่ปัจจุบันนี้สัตว์ป่าจะมีอยู่เฉพาะตามพื้นที่ป่าที่อนุรักษ์ไว้และอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนและเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเท่านั้น ส่วนสัตว์ป่าที่พบเห็นได้ในปัจจุบันที่[[เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ]] ได้แก่ เก้ง, กวาง, ลิ่น, วัวแดง, กระจง, ลิง, ค่าง, ชะนี, เสือโคร่ง, เลียงผา, อีเห็น, แมวดาว, ชะมด, เม่น, ไก่ฟ้าพญาลอ, นกนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่า และกระจงมีอยู่จำนวนมากทั่วพื้นที่ สัตว์ที่มีลักษณะเด่นในพื้นที่ ได้แก่ ไก่ฟ้าพญาลอ, เก้ง และที่พบเห็นใน[[วนอุทยานพนมสวาย]] ได้แก่ กระรอก, กระต่ายป่า, สัตว์ปีกมีบ้างแต่ไม่มากนักได้แก่ นกกระเต็น, บ่าง, นกกระทาดง, นกกวัก, นกกระปูด, นกกางเขนดง, นกเขาหลวง, นกเป็ดน้ำ และนกเหยี่ยว และที่พบใน[[วนอุทยานป่าสนหนองคู]] ได้แก่ กระรอก, บ่าง, กระต่ายป่า, งู, แย้,
=== สิ่งแวดล้อม ===
บรรทัด 332:
จากรายงาน[[คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ]] ในปี พ.ศ. 2553 จังหวัดสุรินทร์ มีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัด (GPP) ตามราคาประจำปี 55,529 ล้านบาท มูลค่าผลิตภัณฑ์ต่อหัว (Per capita GPP) 38,681 บาท จัดเป็นอันดับที่ 73 ของประเทศ และเป็นอันดับที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สำหรับอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดสุรินทร์ ยังคงประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรม มีการทำนาข้าวเจ้า (ข้าวหอมมะลิ) ทำสวน และเพาะปลูกพืชไร่ชนิด
=== การขนส่ง ===
จังหวัดสุรินทร์ เป็นเมืองหลักของภาคอีสานตอนล่าง เป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อุตสาหกรรมและการคมนาคม จึงมีเส้นทางคมนาคมหลักทั้งทาง[[รถยนต์]], [[รถไฟ]], มีทางหลวงแผ่นดิน, ทางหลวงจังหวัด และเส้นทางมาตรฐานหลายสาย ทำให้การเดินทางติดต่อภายในจังหวัด การเดินทางสู่จังหวัดใกล้เคียง และกรุงเทพมหานครเป็นไปด้วยความสะดวก
;ทางรถยนต์
การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังจังหวัดสุรินทร์ใช้ [[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1]] ([[ถนนพหลโยธิน]]) ผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]], [[พระนครศรีอยุธยา]] แล้วแยกเข้า[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2]] ([[ถนนมิตรภาพ]]) ผ่าน[[จังหวัดสระบุรี]], [[นครราชสีมา]] แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 24 ผ่าน[[จังหวัดบุรีรัมย์]] แยกซ้ายเข้า[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214]] (ตรงแยก[[อำเภอปราสาท]]) จนถึงจังหวัดสุรินทร์ หรือใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ได้เช่นเดียวกัน
;การเดินทางในตัวจังหวัด
การคมนาคมขนส่งทางรถยนต์ของจังหวัดสุรินทร์ระหว่างชนบท, หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ และจังหวัด
* [[อำเภอเขวาสินรินทร์]] 14 กิโลเมตร
* [[อำเภอจอมพระ]] 25 กิโลเมตร
บรรทัด 359:
* [[อำเภอชุมพลบุรี]] 91 กิโลเมตร
สำหรับการเดินทางในตัวจังหวัด จะใช้การจราจรโดยรถส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์รวมทั้งจักรยาน สำหรับระบบมวลชนจะมี [[รถเมล์ชมพู]], [[ตุ๊กตุ๊ก]], [[มอเตอร์ไซค์รับจ้าง/สามล้อปั่น]] บริการในจังหวัดสุรินทร์ มีสถานีขนส่งภายในตัวจังหวัดเชื่อมต่อจังหวัดและอำเภอ
* [[สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุรินทร์]]
* [[สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอปราสาท]]
บรรทัด 366:
;ทางรถไฟ
การคมนาคมทาง[[รถไฟ]] ปัจจุบันมีรถไฟสาย[[กรุงเทพฯ]]-[[สุรินทร์]] โดยผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]], [[อยุธยา]], [[สระบุรี]], [[นครราชสีมา]], [[บุรีรัมย์]] จนถึงสุรินทร์ เปิดการเดินรถเร็ว, รถด่วน, รถด่วนพิเศษ และรถดีเซลรางปรับอากาศ ใช้เวลาในการเดินทาง 6-8 ชั่วโมง เป็นระยะทาง 420 กิโลเมตร
;ทางอากาศ
จังหวัดสุรินทร์มี[[ท่าอากาศยานสุรินทร์ภักดี]] ซึ่งในอดีตได้เปิดทำการบินโดยบริษัท [[บางกอกแอร์เวย์]]-[[แอร์อันดามัน]]-
== ประชากรศาสตร์ ==
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 <ref>กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/y_stat54.html. สืบค้น 16 พฤษภาคม 2555.</ref> จังหวัดสุรินทร์มีประชากรทั้งสิ้น 1,380,399 คน แยกเป็นชาย 690,644 คน หญิง 689,755 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 170 คน/ตร.กม. มีจำนวนประชากรมากเป็นลำดับที่ 10 ของประเทศไทย และมีความหนาแน่นเฉลี่ยเป็นลำดับที่ 18 ของประเทศไทย
=== กลุ่มชาติพันธุ์ ===
;ชาวไทยกูย - กวย - เยอ
กูย (แปลว่า คน) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ขอม - มอญเก่า หรือกรอม” อีกกลุ่มหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะผิวค่อนข้างคล้ำ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, ชัยภูมิ, กาฬสินธุ์, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์ รวมไปถึง ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, อุดรธานี, นครราชสีมา ชาวกูยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เคยครอบครองดินแดนแถบที่ราบสูงในเขตเทือกเขาพนมดงรัก และลงไปจนถึงแถบทะเลสาบในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน รวมไปถึงถึงในเขตลาวใต้ (เช่น จำปาศักดิ์, อัตตะปือ, แสนปาง เป็นต้น) และเวียตนามใต้บางส่วน ซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิม ในสมัยอยุธยาเคยส่งราชทูตเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรอยุธยา และมีการบันทึกไว้ว่ามีสิทธิทางการค้าเท่าเทียมพ่อค้าชาวตะวันตก บรรพบุรุษในอดีตมีการเดินทางค้าขาย การย้ายถิ่นที่อยู่ไปมาระหว่างกันเสมอ ชาวกูยมีภาษาพูด มีการนับเลขเป็นระบบฐานสิบ และในอดีตมี [[อักษร]]เป็นของตนเองแต่ได้ขาดหายไปอย่างไม่ปรากฏร่องรอย ปัจจุบันได้มีการค้นคว้า และนำ[[อักษรกูย]]มาใช้ใหม่แล้วโดยชมรมชาวกูยแห่งประเทศไทย ชาวกูย/กวยเชี่ยวชาญด้านวิศวกร, สถาปนิก, แพทย์, การปกครอง, ครูบาอาจารย์, นักบวช ชาวกูยในปัจจุบันส่วนใหญ่สามารถพูดสื่อสารภาษาถิ่นในแถบอิสานใต้ได้หลายภาษา ทั้งภาษากูย, กวย, ภาษาลาว และภาษาเขมร นิยมพูดภาษาเป็น 2 กลุ่ม คือ กูย - ลาว อยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม และ
;ชาวไทยเขมร (ขะแมร์)
มีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในท้องที่จังหวัดสุรินทร์
;ชาวไทยลาว
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสุรินทร์ จึงมีเชื้อสายไทยลาวเหมือนกับหลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยได้ใช้ภาษาและวัฒนธรรมที่เมือนกันกับชาวไทยลาวโดยทั่วไป แต่ก็จะมีอยู่ที่แตกต่างในเรื่องของภาษาบ้างในแต่ละท้องถิ่น
;ชาวไทยจีน
ชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาก่อตัวเป็นชุมชนขึ้นในจังหวัดสุรินทร์นั้น สาเหตุ
;ชาวไทยญวน
ชาวไทยเชื้อสายญวน บ้างอาจปรากฏว่า แกว หรือ
;ชาวไทย
ในปัจจุบันทุกชาติพันธุ์ในจังหวัดสุรินทร์และบริเวณจังหวัดใกล้เคียงได้อาศัยอยู่กันอย่างกลมกลืนตามความเชื่อของตนเอง มีการผสมผสานกันทางภาษา, ประเพณี และวัฒนธรรม ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
=== การศึกษา ===
บรรทัด 582:
== วัฒนธรรม ==
=== โบราณวัตถุ ===
* รูปเคารพและส่วนประกอบของปราสาท ได้จากชิ้นส่วนของปราสาทที่ขุดพบทั่วทั้งจังหวัดสุรินทร์ เช่น ทับหลังจำหลักกลีบขนุน, ฐานเทวรูป, เศียรเทวรูป, พระพุทธรูปในสมัย
* อาวุธ พบน้อยมากในจังหวัดสุรินทร์ จะพบก็เป็นอาวุธที่เกิดขึ้นใน[[สมัยรัตนโกสินทร์]]เท่านั้น เช่น หอก, ดาบ, ขอช้าง, และง้าว
* เครื่องประดับ พบว่าอยู่ในสมัยขอมโบราณที่เรียกว่าศิลปะ[[ลพบุรี]] เช่น กำไล, กระพรวนที่ทำด้วยสำริด และห่วงคานหาม เป็นต้น
* เครื่องถ้วยและภาชนะดินเผา พบว่าอยู่ในสมัยขอมโบราณ พบที่[[ตำบลสวาย]]
* สังเค็ด เป็นสังเค็ดของ[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว]]พระราชทานให้วัดจำปา เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
บรรทัด 608:
;ศาสนา ความเชื่อและพิธีกรรม
* พิธีกรรมการคล้องช้างและการเซ่นปะกำของชาวกูย กวย
* ศาลปะกำ ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ ตามความเชื่อของ ชาวกวย หรือ
* งานแซนโฎนตา
* รำมะม๊วด
บรรทัด 614:
;สินค้าและของฝาก
* ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ซึ่งมีคุณสมบัติ หอม, ยาว, ขาว, นุ่ม มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ([http://www.ipthailand.go.th/th/gi-002.html สินค้า GI: สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์])
* เม็ดบัวอบกรอบ มาย ขนมขบเคี้ยวที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย
* ผ้าไหมชาวกูย และผ้าไหมพื้นเมืองสุรินทร์
บรรทัด 624:
;เทศกาลท่องเที่ยว
* ประเพณีเทศกาลงานช้างและงานกาชาดจังหวัด (มีการแสดงแสงสี การแสดงของช้าง ทั้งในงานและนอกงานที่[[ปราสาทศีขรภูมิ]] และ
* เทศกาลกันตรึมดนตรีพื้นเมืองสุรินทร์
* การท่องเที่ยวเพื่อตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ณ แหล่งโบราณสถานของอำเภอต่างๆ
บรรทัด 635:
* เทศกาลสนมเมืองดอกจาน ประสานใจไหว้ปู่ตา (มีการประกวดธิดาเมืองดอกจาน ผ้าใหมลายดอกจาน พร้อมแสงสีเสียง และยังมีขบวนแห่ที่ยาวมาที่สุดในภูมิภาคสุรินทร์เหนือ งานจัดแสดงสินค้าของดีเมืองดอกจาน) ณ [[อำเภอสนม]]
* ประเพณีสืบสานตำนานปราสาทภูมิโปน ต.ดม อ.สังขะ (มีการแสดงแสงสีเสียง ตำนานเนียงด็อฮฺธม ช่วงวันที่ 8 - 12 เมษายน ทุกปี)
* ประเพณีบุญบั้งไฟประจำปี ณ.อำเภอรัตนบุรี มีการประกวดขบวนแห่ ขบวนรำ และ
* ประเพณีกวนข้าวทิพย์ลอยฟ้า [[วัดกลางสุรินทร์]] ตำบลในเมือง [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] จัดขึ้นก่อนวันออกพรรษาของทุกปี
* งานสมโภชศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและสิ่งศักสิทธิ์คู่เมืองสุรินทร์ (มีการแสดงบนเวทีมากมาย การเชิดสิงห์โต การแสดงงิ้ว มหกรรมอาหารดีหลากหลายของเมืองสุรินทร์)
* ประเพณีเทศกาลไหว้เจ้าพ่อตาดาน ปลายเดือน พ.ย ของทุกปี อ.สังขะ
* เทศกาลปลาไหล ข้าวใหม่หอมมะลิ และงานกาชาด อำเภอชุมพลบุรี จัดขึ้นช่วงสุดสัปดาห์ที่สามในเดือนธันวาคมของทุกปี
* งานสืบสานตำนานปราสาทยายเหงา ช่วงปลายเดือน เม.ย ของทุกปี ต.บ้านชบ อ.สังขะ
* ประเพณีปอ๊อกเปรี๊ยะแค (พิธีไหว้พระจันทร์) วัดดาราธิวาส บ้านขนาดมอญ ตำบลตาตุม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี
* งานไหว้พระธาตุ และงานแสดงแสง สี เสียง “ประวัติศาสตร์ นครธีตา-บ้านธาตุ-เมืองรัตนบุรี” โดยกำหนดงานบุญ ๓-๕ วันในช่วงงานบุญเดือนสาม วันมาฆบูชา (ราวเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี) ส่วนงานเฉลิมฉลองการสร้างเมืองรัตนบุรี หรืองาน “ไหว้เจ้าพ่อศรีนครเตาท้าวเธอ” เจ้าเมืองรัตนบุรีคนแรก นั้นกำหนดช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี หลังจากงานแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์
บรรทัด 705:
* [[ปราสาททอง]] อยู่ที่บ้านแสรออ ตำบลปราสาททอง อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
* [[ปราสาทแก้ว]] อยู่ที่บ้านพระปืด ตำบลแร่ อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
* [[ปราสาทบ้านสนม (ปราสาทวัดธาตุ)]] อยู่ที่วัดธาตุ ภายในศาลเจ้าพ่อศรีนครเตาเท้าเธอ (พระเจ้าจินดา) บ้านสนม อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์
* ปราสาทบ้านธาตุ (วัดโพธิ์ศรีธาตุ) ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากอำเภอรัตนบุรี ไปตามเส้นทางสายรัตนบุรี-ศรีสะเกษ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๗๖ ประมาณกิโลเมตรที่ ๘ เคยเป็นเมืองเก่าแก่มาแต่โบราณเดิมเป็นเมืองของขอมโบราณ ชื่อว่า “นครธีตา” บ้างก็ว่า “นครจำปา” ซึ่งมีอายุนับได้พันปีมาแล้ว ต่อมาอาจจะมีข้าศึกจากเมืองอื่น ยกทัพมารุกราน ทำลาย หรือเกิดโรคระบาด จนทำให้ผู้คนอพยพหนีจากไป จนกลายเป็นเมืองร้าง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ คือ ๑. กำแพงเมือง คูเมือง ซึ่งเป็นแบบโบราณล้อมรอบบ้านธาตุทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ๒. บึง หรือหนองน้ำ ซึ่งขุดด้วยมนุษย์ ล้อมรอบบ้านธาตุ ทางทิศเหนือและตะวันออก ( ปัจจุบัน คือ หนองบัว-หัวช้าง หนองเบือก หนองแก หนองกอลอ ฯลฯ ) ๓. ประตูเมือง ซึ่งเป็นทางเข้า – ออก ๔ ด้าน คือ ประตูด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตามสภาพที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ๔. เขตพระราชวัง ( โฮง ) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าเมือง ( คือ บริเวณตะวันตกวัดโพธิ์ศรีธาตุในปัจจุบัน ) ๕. สถานที่ประกอบศาสนกิจหรือพิธีกรรมตามความเชื่อ คือ “ วิหาร ” หรือ “ เจดีย์ ” หรือ “ ธาตุ ” หรือ “ เทวสถาน ” ( บริเวณวัดโพธิ์ศรีธาตุ ซึ่งได้แก่ ธาตุ หิน ที่ก่อด้วยศิลาแลงหินทราย ในปัจจุบันทางวัดได้ใช้เป็นฐานในการสร้างพระธาตุมณฑป ) นอกจากนี้ ยังมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบและเป็นเนินดิน มีคูน้ำล้อมรอบและมีหมู่บ้านกระจัดกระจายโดยรอบเป็นทุ่งนากว้าง
|