ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดสุรินทร์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
อโศก (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Love Art Sweet (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 33:
{{รีไรต์}}
=== การตั้งถิ่นฐาน ===
สมัยทวารวดี พบมีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานมาก่อนแล้วในดินแดนแถบอิสานใต้ ไปจนถึงบริเวณแถบอิสานกลางโดยชนชาติแรกๆ ที่ได้เข้าอาศัยอยู่ ชาติพันธุ์ตระกูลมอญ, ละว้า, ลั๊ว และขอม
 
สมัย[[อาณาจักรขอม]]รุ่งเรือง ราวพุทธศตวรรษที่ 16-18 เป็นต้นมา ซึ่งชาวขอม ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมในแถบดินแดนอิสานใต้ และแถบ สปป.ลาว, สยาม, กัมพูชา และญวน
 
สุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเป็นมายาวนาน จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ข้อมูลในพงศาวดาร  เรื่องเล่าตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นที่อยู่ของชนหลายเผ่าพันธุ์ทั้ง เขมร, ไท, กูย ทำให้มีภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน
 
เมืองโบราณเขตเมืองเก่าของเมืองสุรินทร์ อยู่พื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์มีมนุษย์เข้ามาตั้งชุมชนแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย  ลักษณะชุมชนเป็นเนินดินมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ  รูปวงรี หรือวงกลม ขนาดกว้างประมาณ  1,000  เมตร  ยาวประมาณ  1,300  เมตร  เป็นลักษณะเฉพาะของแผนผังเมืองโบราณตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นซึ่งพบทั่วไปในเขตภาคอีสานตอนล่าง [[กรมศิลปากร]]ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองสุรินทร์ในราชกิจจานุเบกษา  เล่มที่  95  ตอนที่  98  ลงวันที่  19  กันยายน  2521
 
จากการสำรวจของหน่วยศิลปากรที่  6   ในปี พ.ศ. 2534  พบว่าตัวเมืองยังมีสภาพที่สมบูรณ์เห็นแนวคูน้ำ-คันดินแบ่งออกเป็น  2  ชั้น  คือ  เมืองชั้นใน และเมืองชั้นนอก
 
เมืองชั้นใน  มีลักษณะเป็นรูปวงรีแบบสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น  มีขนาดกว้างประมาณ  1,000  เมตร  ยาวประมาณ  1,300  เมตร  สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์  มีบางส่วนเท่านั้นที่ขาดหายไป
 
เมืองชั้นนอก  มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชุมชนขอมโบราณ มีคูน้ำ  2  ชั้น  คันดิน  1  ชั้นล้อมรอบ  ขนาดกว้าง  1,500  เมตร  ยาว  2,500  เมตร  สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์   ยกเว้นด้านทิศใต้
พื้นที่บริเวณวังเก่าของเจ้าเมืองสุรินทร์ อยู่บริเวณที่เป็น[[โรงพยาบาลสุรินทร์]], บริเวณวัดศาลาลอย และพื้นที่ใกล้เคียง, [[โรงเรียนสุรวิทยาคาร]] และ[[โรงเรียนสิรินธร]]ในปัจจุบัน แต่อาคารโบราณสถานต่างๆ ได้ถูกรื้อถอน และทำลายทิ้งหมดแล้วเหลือแต่เพียงคูน้ำไว้ให้เห็นบริเวณด้านข้างโรงเรียนสิรินธร
จะเห็นได้ว่า  ตัวเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันนี้  เคยเป็นบ้านเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาหลายพันปี  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองสุรินทร์ในอดีต  ตลอดจนถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์ได้เป็นอย่างดี  ดังนั้น  จึงเป็นหน้าที่อย่างสำคัญที่คนสุรินทร์ในปัจจุบันจะช่วยกันรักษามรดกอันทรงคุณค่าชิ้นนี้ไว้ตราบชั่วลูกหลาน  ด้วยการไม่บุกรุกทำลายคูน้ำคันดินของเมืองโบราณสุรินทร์
 
จากการศึกษาวิจัยการและสำรวจพบแหล่งโบราณคดีในจังหวัดสุรินทร์  กว่า 59 แห่ง ส่วนมากเป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำ-คันดินล้อมรอบรูปวงรี หรือวงกลม ได้แก่
 
แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสวรรค์ ตำบลนาหนองไผ่ [[อำเภอชุมพลบุรี]]  หมู่บ้านเป็นเนินสูงเกือบ 3 เมตร  พบโบราณวัตถุได้แก่ เศษภาชนะดินเผาแบบต่างๆ รวมทั้งภาชนะเคลือบสีน้ำตาลแบบขอม และพบภาชนะที่ใช้บรรจุมีลักษณะเป็นภาชนะก้นมนขนาดใหญ่ ที่ใช้ในการฝังศพครั้งที่สองของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีอายุอยู่ในราว 2,000-1,500 ปี มาแล้ว พบมากไปตลอดลุ่มแม่น้ำมูลตอนกลางแถบจังหวัด[[บุรีรัมย์]], สุรินทร์, [[มหาสารคาม]], [[ร้อยเอ็ด]] และ[[ขอนแก่น]] เป็นลักษณะของกลุ่มวัฒนธรรม[[ทุ่งกุลาร้องไห้]] ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์
 
แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ตำบลปราสาททนง [[อำเภอปราสาท]] แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของปราสาททนง เป็นโบราณสถานขอมชึ่งกรมศิลปากรมีโครงการขุดแต่ง ในปี พ.ศ. 2536 และได้ขุดตรวจชั้นดินทางด้านหลังของโบราณสถาน พบหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นถึงการอยุ่อาศัยของมนุษย์มาก่อนจะสร้างปราสาท คือ โครงกระดูกมนุษย์เพศชาย อายุประมาณ 35- 40 ปี ปัจจุบันได้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
 
นอกจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแหล่งนี้แล้ว ยังไม่มีการขุดค้นตามหลักวิชาการในอีกกว่า 50 แห่ง อาศัยเพียงเทียบเคียงค่าอายุกับแหล่งอื่น ๆอื่นๆ พอสรุปได้ว่ามีอายุอยู่ในราว 2,000-1,500 ปีมาแล้ว
 
[[หม่อมอมรวงศ์วิจิตร]] กล่าวไว้ใน[[พงศาวดาร]]หัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อน[[จุลศักราช]]ได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง (เป็นการเรียกไปเองของสมัยกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ต่อมาเรียกกันว่า "กูย (กวย)" ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้, ละโว้ (ลพบุรี), ไปจนถึงในเขตภาคกลาง (สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ[[:en:Dvaravati|สมัยอาณาจักรทาวราวดี]]) และภาคเหนือตอนล่าง
 
จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผา [[ยุคก่อนประวัติศาสตร์]] บริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
 
ในปี[[พ.ศ. 2538]] นาย[[เจริญ ไวรวัจยกุล]] อาจารย์[[มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์]] พร้อมคณะได้ศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนโบราณบริเวณ[[ทุ่งกุลาร้องไห้]], [[ห้วยลำพลับพลา]]ด้านบน และลำน้ำมูลด้านใต้ เนื่องจากพบเนินสูง ๆ ต่ำสูงๆ ต่ำๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจสันนิษฐานว่าเนินเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบหลักฐานชุมชนสมัยทวารวดีทั้งภูมิภาค  เมืองโบราณที่สำคัญ เช่น เมืองฟ้าแดดสงยาง [[อำเภอกมลาไสย]] [[จังหวัดกาฬสินธุ์]],  เมืองนครจำปาศรี [[อำเภอนาดูน]] [[จังหวัดมหาสารคาม]], เมืองกันทรวิชัย [[อำเภอกันทรวิชัย]] [[จังหวัดมหาสารคาม]], เมืองโบราณบ้านคอนสวรรค์ [[อำเภอคอนสวรรค์]] [[จังหวัดชัยภูมิ]], เมืองเสมา [[อำเภอสูงเนิน]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] เป็นต้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมทวารวดี นั่นคือ การนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งก่อให้เกิดงานศิลปกรรมที่เนื่องในศาสนา  ตามเมืองหรือชุมชนโบราณสมัยทวารวดีจะพบว่ามีการสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือ รูปเคารพในศาสนาพุทธขึ้น ได้แก่ พระพุทธรูป, พระพิมพ์, ใบเสมา เป็นต้น
 
==== แหล่งวัฒนธรรมทวารวดีในสุรินทร์ ====
วัฒนธรรมทวารวดี  ประมาณพุทธศตวรรษที่  12-16 หรือราว 1,000-1,400  ปีมาแล้ว
 
ในภาคอีสานตอนล่าง ชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุเดียวกับชุมชน ในจังหวัดต่างๆ บริเวณลุ่ม[[แม่น้ำมูล]] เช่น เมืองเสมา , เมืองเก่าโคราช [[อำเภอสูงเนิน]] [[จังหวัดนครราชสีมา]], เมืองโบราณบ้านฝ้าย [[อำเภอหนองหงส์]], เมืองโบราณบ้านประเคียบ [[อำเภอเมืองบุรีรัมย์]] [[จังหวัดบุรีรัมย์]], เมืองคงโคก [[อำเภอราษีไศล]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]], ชุมชนโบราณบ้านไผ่ใหญ่ [[อำเภอม่วงสามสิบ]] [[จังหวัดอุบลราชธานี]] ( กรมศิลปากร, 2532 : 114 - 116 ) เป็นต้น
 
ลักษณะชุมชนวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในจังหวัดสุรินทร์มักจะมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีโบราณวัตถุเนื่องในพุทธศาสนา เช่น ใบเสมา, พระพุทธรูป,  พระพิมพ์ เป็นต้น
ชุมชนบ้านพระพืด ตำบลบ้านแร่ [[อำเภอเขาวสินรินทร์ เขวาสินรินทร์]] เป็นแหล่งชุมชนโบราณลักษณะคันคูดินรูปวงกลม ชุมชนโบราณบ้านตรึม ตำบลตรึม [[อำเภอศีขรภูมิ]] จังหวัดสุรินทร์ บริเวณบ้านตรึม มีลักษณะเป็นชุมชนที่มีคูน้ำล้อมรอบ ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน มีหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า "หนองสิม"  ภายในวัดตรึม  เป็นเนินดินมีใบเสมาปักอยู่ 16 ใบ  ลักษณะเป็นแบบแผ่นรูปกลีบบัว ทำด้วยศิลาแลง และหินบะชอลต์ ใบเสมาทุกใบจะมีลักษณะของการตกแต่งที่เหมือนกัน นั่นคือ แกะสลักเป็นรูปหม้อน้ำ อยู่ตรงกลางใบทั้งสองด้าน ยอดเป็นกรวยแหลมบรรจบกับส่วนบนของใบเสมาพอดี ขอบใบเสมาแกะเป็นเส้นตรงโค้งไปตามขอบ ทำให้ดูเหมือนว่าผิวหน้าทั้งสองด้านของใบเสมายื่นออกมา ปัจจุบันทางวัดได้สร้างอาคารคลุมใบเสมาและเนินดินไว้
 
ชุมชนโบราณบ้านไพรขลา ตำบลไพรขลา [[อำเภอชุมพลบุรี]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นชุมชนที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ พบใบเสมา ที่โนนสิมมาใหญ่ และโนนสิมมาน้อย
 
โนนสิมมาใหญ่
อยู่ภายในหมู่บ้านทางทิศใต้  มีกลุ่มใบเสมาจำนวนมาก  ปักอยู่ในตำแหน่งทิศทั้งแปด บางส่วนถูกเคลื่อนย้าย   มาเก็บรวมกันไว้ในอาคารขนาดเล็ก ใบเสมาทั้งหมดทำจากศิลาแลง เป็นแผ่นรูปกลีบบัว ตรงกลางใบเป็นรูปหม้อน้ำมียอดเป็นรูปกรวยแหลม  หรือเป็นสันขึ้นมาทั้งสองด้าน ลักษณะการตกแต่งเหมือนกับใบเสมาที่บ้านตรึม
 
โนนสิมมาน้อย
 
อยู่ทางทิศตะวันตกภายในหมู่บ้าน  บริเวณนี้พบใบเสมาจำนวนเล็กน้อยอยู่รวมกันเพียงจุดเดียว  ใบเสมาบางใบน่าจะปักอยู่ในตำแหน่งเดิม  โดยมีการย้ายใบเสมาใบอื่น ๆอื่นๆ มาวางรวมกันไว้  ลักษณะของใบเสมาเหมือนกับใบเสมาที่โนนสิมมาใหญ่  เป็นใบเสมาแบบแผ่นรูปกลีบบัว ตรงกลางใบทำเป็นสันทั้งสองด้าน ทั้งหมดทำจากศิลาแลง
 
ใบเสมาที่พบสันนิษฐานว่าปักไว้เพื่อกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์  เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในสมัยนั้น
 
ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 12 – 13 ตรงกับรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมโบราณ จังหวัดสุรินทร์มีการสร้างปราสาทภูมิโพน ที่ ตำบลดม [[อำเภอสังขะ]] เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ในศาสนาฮินดูศิลปะขอมโบราณสมัยไพรกเมง (สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ,2532) ประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลง 1 หลัง พบชิ้นส่วนจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต 1 ชิ้น ซึ่งมีใช้ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13  ทับหลังรูปสัตว์ครึ่งสิงห์ครึ่งนก ประกอบวงโค้งที่มีวงกลมรูปไข่ ศิลปะขอมโบราณแบบไพรกเมง จำนวน 1 แผ่น
 
บริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากปราสาท 500 เมตร มีหนองปรือซึ่งเป็นบารายขนาดใหญ่ แบบวัฒนธรรมขอมโบราณ  รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 300X500 เมตร อยู่ 1 แห่ง
บรรทัด 94:
ปราสาทหมื่นชัย  เป็นปราสาทองค์เดียว ก่อด้วยอิฐ มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ  ปัจจุบันตัวปราสาทมีสภาพหักพังเหลือเพียงส่วนเรือนธาตุ
 
ปราสาทตาเมือนธม  บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง [[อำเภอพนมดงรัก]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ก่อด้วยหินทราย และศิลาแลง
 
ปราสาททนง  บ้านปราสาท ตำบลปราสาททนง [[อำเภอปราสาท]] จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐ, หินทราย และศิลาแลง  ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยสองส่วน  คือ พลับพลาและปราสาทประธาน
 
ปราสาทบ้านไพล  บ้านปราสาท ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์  เป็นปราสาทอิฐ 3 องค์ มีขนาดเท่ากันตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ
บรรทัด 102:
ต่อมาในช่วงอารยธรรมขอมในประเทศกัมพูชาได้เจริญถึงขีดสุดราวพุทธศตวรรษที่  16 – 18 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย  พบปราสาทหินและเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอม  เป็นจำนวนมาก ได้แก่ เมืองพิมาย อันมีปราสาทพิมายเป็นศูนย์กลางของเมือง ตัวเมืองมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่  เป็นต้น  ช่วงระยะเวลานี้มีหลักฐานว่าเมืองสุรินทร์ได้รับอิทธิพลอารยธรรมของขอมโบราณอย่างมากเช่นกัน มีการปรับแผนผังเมืองให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอมโบราณมีคูน้ำ 2 ชั้น  คันดิน 1 ชั้น  ล้อมรอบ  ขนาดกว้าง 1,500  เมตร  ยาว  2,500  เมตร  ล้อมรอบตัวเมืองเดิมรูปวงรีในสมัยก่อนหน้านั้นไว้ภายในอีกชั้นหนึ่ง ส่วนพื้นที่อำเภอต่างๆ พบปราสาทขอมโบราณอีกหลายแห่ง
 
[[นักมานุษยวิทยา]] และ[[นักโบราณคดี]]ลงความเห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของ[[แม่น้ำมูล]]ด้านตะวันออกและชุมชนทุ่งสำริด ใน[[จังหวัดบุรีรัมย์]], [[จังหวัดมหาสารคาม]], [[จังหวัดร้อยเอ็ด]], จังหวัดสุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำมูล-ชีตอนล่าง ในพื้นที่[[จังหวัดศรีสะเกษ]], [[จังหวัดยโสธร]] และ[[จังหวัดอุบลราชธานี]] คือ แหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆแรกๆ ไม่มีลวดลายเขียนสี ในยุคต่อมาพัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทาง[[คติชนวิทยา]] ที่สำคัญของมนุษยชาติ คือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สองโดยการบรรจุกระดูกผู้ตายลงในภาชนะก่อนการนำไปฝัง ซึ่งการฝังครั้งแรกนั้นจะนำร่างผู้ตายลงในหลุมระยะหนึ่ง แล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินหรือที่ดอน โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้าน ตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถาน และด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจ และทางการเมืองมีการสั่งสม หรือกวาดต้อนประชากรจากพื้นที่ต่าง ๆต่างๆ จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ ชุมชนเหล่านี้นี่เองที่หลอมรวมกันขึ้นเป็น[[อาณาจักรเจนละ]] หรือ[[อีสานปุระ]] มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่าง เช่น การถลุงเหล็ก, การทำเกลือ, ปลูกข้าว, การขุดคูกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร และความปลอดภัย
 
=== ประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ ===
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ปรากฏหลักฐานบ่งบอกชัดเจน ได้แก่ คูเมือง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ดังที่ [[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต|จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] ทรงเรียบเรียง ถวาย[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]] ในการรายงานตรวจราชการ[[มณฑลอีสาน]] และ[[นครราชสีมา]] ลงวันที่ [[9 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2469]] ดังนี้
 
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองที่สร้างอย่างมั่นคงในปางก่อน มีคูถึง 3 ชั้น มีเนินดินเป็นกำแพงเมือง น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเมืองหน้าด่านทั้งทางตะวันออก และทางใต้ซึ่งมีช่องข้ามเขาบรรทัดต่อจังหวัดสุรินทร์อยู่หลายช่อง คือ ช่องปราสาทตาเมิน, ช่องเสม็ก, ช่องดอนแก้ว เป็นต้น ซึ่งมีทางเดินไปสู่ศรีโสภณ และเมืองจงกัน ยังมีคนและเกวียนเดินอยู่ทุกช่อง แต่เป็นทางลำบาก คงสะดวกแต่ช่องตะโก ต่อมาทางตะวันตก ซึ่งกรมทางได้ไปทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณเมืองสุรินทร์เป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมตลอดปี แต่ก็ทำไร่นาได้ เป็นทุ่งใหญ่ บ้านเมืองกำลังจะเจริญขึ้น เพราะเป็นปลายทางรถไฟ มีห้องแถวคึกคักไม่หย่อนกว่าอุบล และกำลังสร้างทำอยู่อีกก็มีมาก
 
พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์ส่วนมากเป็นเขมร ซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง เช่น [[บุรีรัมย์บางส่วน|บุรีรัมย์]] [[อำเภอนางรอง|นางรอง]] มีลาวเจือปนบ้างเป็นส่วนน้อย และชาวกูยซึ่งพูดภาษาของตนต่างหาก ส่วนเขมรซึ่งเป็นพลเมืองกลุ่มใหญ่ของเมืองสุรินทร์ยังคงพูดภาษาเขมร อยู่ทั่วไปและที่กล่าวว่าไม่รู้ภาษาไทยก็มีต้องใช้ล่ามเนือง ๆเนืองๆ ผู้ปกครองท้องถิ่น เห็นว่าเป็นการดิ้นรน แสร้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้ก็มีอยู่มาก ชาวเขมรเข้ามาในแถบเมืองสุรินทร์มากในปี [[พ.ศ. 2324]] ซึ่งทางฝ่ายเขมรต่ำเกิดการ[[จลาจล]] โดยเจ้าทะละหะ (มู) กับ[[พระยาวิมลราช]] (ฮู) ฝักใฝ่ในทาง[[ญวน]] [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]]โปรดเกล้า ให้[[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]] กับ[[พระยาสุรสีห์]] ยกกองทัพไปปราบปราม โดยเกณฑ์กำลังทางขุขันธ์, [[ประทายสมันต์]] (เมืองสุรินทร์), สังขะ ไปช่วยปราบปรามเมืองประทายเพชร, ประทายมาศ, เมืองรูงตำแรย์, กำปงสวาย และ[[เสียมราฐ]]
 
ในอดีตการไปมาถึงกันกับพวกเขมรต่ำในการปกครองฝรั่งเศสนั้น สอบสวนได้ความว่ายังมีอยู่เสมอแต่มีข้างฝ่ายคนเรื่องเขมรต่ำอพยพเข้ามาอยู่ทางเราเสียมากกว่า ปีหนึ่ง เข้าประมาณ 50 - 100 คน โดยมากเป็นเรื่องหนีส่วยอากรที่ทางฝ่ายโน้นเก็บแรงกว่าทางนี้
 
จังหวัดสุรินทร์ มีลำดับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งทางด้านการปกครอง, สังคม, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการตั้งบ้านเรือนที่มีวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายในอดีต มาเป็นวิถีชีวิตที่สลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสะท้อนความเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมิติความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะโดดเด่นของผู้คนชาวจังหวัดสุรินทร์
 
=== ก่อนสมัย[[กรุงศรีอยุธยา]] ===
[[พระยาประชากรกิจกรจักร]]เชื่อว่า ชนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในพื้นที่ของอีสานล่าง คือ สุรินทร์, นครราชสีมา หรือ โคราช (เมืองโคราชเก่า บริเวณ[[อำเภอเสิงสาง]], เมืองพิมาย และบริเวณใกล้เคียง มีโบราณสถานเหลืออยู่ให้เห็น 3 แห่งด้วยกัน คือ ปราสาทโนนกู่, ปราสาทเมืองแขก และปราสาทเมืองเก่า การเดินทางใช้[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2]] ([[ถนนมิตรภาพ]]) ไปจนถึงกิโลเมตร ที่ 221-222 เลี้ยวขวาไปตามทางเข้าสู่อำเภอสูงเนิน 2.7 กิโลเมตร จะพบทางแยกขวามือตรงมุมวัดญาณโศภิตวนาราม (วัดป่าสูงเนิน) ซึ่งเป็นเส้นทางเข้าสู่เมืองโบราณโคราช รวมระยะทางห่างจากตัวเมืองประมาณ 32 กิโลเมตร) [[บุรีรัมย์]], [[ศรีสะเกษ]] และ[[อุบลราชธานี]]บางส่วน กลุ่มแรกคือ กูย(กวย) แต่เรียกตามสำเนียงของภาษาพูดในแต่ละท้องถิ่น แต่ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] กลับเรียกชนกลุ่มนี้ว่า ชาว[[ส่วย (กลุ่มชาติพันธุ์)|ส่วย]]
 
[[อีริค ไซเดนฟาเดน]] นักชาติพันธุ์วิทยาชาวเดนมาร์ก สันนิษฐานว่าพวกกูย(กวย) เคลื่อนย้ายจาก[[ประเทศจีน]]เข้าสู่[[ประเทศพม่า]] และมาถึง[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]]ของ[[ประเทศไทย]] เมื่อประมาณ 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 3,000 ปีเศษมาแล้ว ชาวกูย(กวย)เหล่านี้อาศัยอยู่เป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่ภาคใต้ของ[[ลาว]], ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ[[กัมพูชา]] และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พวกที่อพยพเข้ามาเป็นระรอกที่ 2 และที่ 3 คือ เขมร และลาว
 
[[หม่อมอมรวงศ์วิจิตร]] กล่าวไว้ใน[[พงศาวดาร]]หัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อน[[จุลศักราช]]ได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้ ละโว้ (ลพบุรี) ไปจนถึงในเขตภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง
 
=== สมัยกรุงศรีอยุธยา ===
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้แพร่ขยายอิทธิพลทางการเมืองทำให้[[กัมพูชา]]ตกอยู่ในฐานะประเทศราชและในระหว่างปี[[พ.ศ. 2103]] [[อาณาจักรลาว]]มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[นครเวียงจันทน์]] [[พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช]] ([[พ.ศ. 2091]]-[[พ.ศ. 2111]]) กษัตริย์ของลาวได้สร้าง[[เวียงจันทน์|นครเวียงจันทน์]]เป็นเมืองหลวงของ[[ล้านช้าง]]
 
ในปี[[พ.ศ. 2257]] ลาวแตกออกเป็น 3 รัฐอิสระ คือ [[หลวงพระบาง]], [[เวียงจันทน์]] และ[[จำปาศักดิ์]] มีชาวกูย - ลาวกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยเจ้าราชครูหลวงแห่ง[[วัดป่าโพนสะเม็ด]]พร้อมด้วยนักศึกษาวัด ทั้งที่กำลังศึกษา เป็นพระภิกษุสามเณรอยู่และที่จบการศึกษาแล้วเป็นอ้ายเชียง, อ้ายทิด (บันฑิต), อ้ายจารย์ (อาจารย์) กับพวกข้าทางใต้ไปบูรณะ[[พระธาตุพนม]] และไปจนถึงเขมร แล้วกลับมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมือง[[จำปาศักดิ์]]
 
เมืองจำปาศักดิ์นั้นเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับเมือง[[อัตตะปือ]]แสนแปง (แสนแปง) ซึ่งต่างเป็นเมืองของพวกลัวะ, ละว้า, ขอม, กูย ขณะนั้นเมืองจำปาศักดิ์ปกครองโดยนางแพง เจ้าหญิงข่า-ลัวะ (กูย กวย ขอม) ธิดาของนางเพากับเจ้าคำช้าง หรือบ้างคำ ด้วยคุณงามความดีของเจ้าราชครูหลวงแห่งวัดป่าโพนสะเม็ด นางแพงจึงมอบอำนาจการปกครองเมืองจำปาศักดิ์ให้ เจ้าราชครูหลวงจึงได้อัณเชิญ[[เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร]]จากนคร[[เวียงจันทน์]]ไปปกครองนครจำปาศักดิ์นับตั้งแต่[[พ.ศ. 2261]]-[[พ.ศ. 2281]] เป็นต้นมา เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้ปกครองจำปาศักดิ์แล้ว เจ้าราชครูแห่งวัดป่าโพนสะเม็ดจึงขยายอำนาจ โดยตั้งผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ออกไปปกครองเมืองของลัวะ ละว้า ข่าต่าง ๆต่างๆ ภายในเขตเมืองจำปาศักดิ์ เช่น ส่งจารย์หวดเป็นเจ้าเมืองโขงสี่พันดอน ให้ท้าวมั่นไปตั้งบ้านโพนขึ้นเป็นเมืองสาระวันแต่ชาวบ้านชอบเรียกเมืองมั่นตามชื่อท้าวมั่นและเรียกควบกับเมืองคำทองใหญ่ว่าเมืองมั่นคำทอง ให้จารย์แก้ไปตั้งบ้านถ่ง (ท่ง) เป็นเมืองสุวรรณภูมิ (ใน[[จังหวัดร้อยเอ็ด]]ในปัจจุบัน) ให้จารย์เซียงมาตั้งบ้านโนนสามขาเป็นเมืองศรีนครเขต ([[ศรีสะเกษ]]ในปัจจุบัน) ตั้งได้ไม่นานเมืองศรีนครเขตก็ถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
 
การแยกเป็นรัฐอิสระของอาณาจักรลาว ทำให้ทั้ง 3 รัฐ เกิดการแข็งต่อเมืองกันและต่างสะสมแสนยานุภาพไว้ต่อสู้ ป้องกันการรุกราน เมืองจำปาศักดิ์จึงบังคับให้อัตตะปือ แสนปางส่งช้างป้อนกองทัพให้แก่จำปาศักดิ์ตามที่ต้องการ ทำให้ชาวอัตตะปือแสนปางทนต่อสภาพถูกบีบบังคับไม่ได้ ส่วนหนึ่งจึงข้ามลำน้ำโขงเข้ามาอาศัยกับพวกกูย (กวย) ดั้งเดิมบริเวณป่าดงดิบแถบอีสานล่าง คือ [[อุบลราชธานี]], [[ศรีสะเกษ]], [[สุรินทร์]], [[บุรีรัมย์]], [[มหาสารคาม]] และบางส่วนของ[[นครราชสีมา]], [[ขอนแก่น]], [[ชัยภูมิ]]
 
ชาวกูยหลายกลุ่มพากันข้ามมาตั้งหลักแหล่งทางฝั่งขวาของ[[แม่น้ำโขง]] เพิ่มเติม (ซึ่งแต่เดิมมีการตั้งถิ่นฐานในบริเวณภูมิภาคนี้มานานเป็นพันปีแล้ว) เมื่อ[[พ.ศ. 2260]] แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนและมีหัวหน้าปกครองตามที่ต่าง ๆต่างๆ ซึ่งเป็นจังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบัน คือ
* กลุ่มที่ 1 มาอยูที่บ้านเมืองที (ปัจจุบันอยู่ในเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงปุม
* กลุ่มที่ 2 มาอยูที่บ้านกุดหวายหรือเมืองเตา (ปัจจุบันอยู่ในเขต[[อำเภอรัตนบุรี]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงลี
บรรทัด 139:
* กลุ่มที่ 6 มาอยูที่บ้านกุดปะไท (ปัจจุบันคือบ้านจารพัต [[อำเภอศีขรภูมิ]]) มีหัวหน้าชื่อ เชียงไชย
 
ชาวกูย(กวย)เหล่านี้มีความชำนาญในการคล้องช้าง ด้านการเมืองการปกครอง, ด้านการทหาร, ด้านวิศวกรรม, ด้านการแพทย์, ทำการเกษตร, หาของป่า ป่าดงแถบนี้เดิมมีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ เช่น โขลงช้างพัง, ช้างพลาย, ฝูงเก้ง, กวาง, ละมั่ง และโคแดง ในอดีตแต่ละชุมชนชาวกูยมีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ซึ่งไม่ได้มีเส้นเขตแดนีดแบ่งกันในแบบสมัยปัจจุบัน
 
สมัย[[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]] (เจ้าฟ้าเอกทัศ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่ง[[กรุงศรีอยุธยา]] [[ช้างเผือก]]เขตกรุงหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เขตพิมาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ขุนนางสองพี่น้อง (เข้าใจว่า คือ [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] และ[[สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท]]) กับไพร่พล 30 คน ออกติดตามช้างเผือกมาทางแขวงเมือง[[อำเภอพิมาย|พิมาย]] ได้มาสืบถามร่องรอยช้างจากชาวเมืองพิมายซึ่งเป็นผู้ชำนาญภูมิประเทศในแถบนั้น ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปสืบถามพวกกูย (กวย), มอญ, แซก โพนช้างอยู่ริมเขาดงใหญ่เชิงเขา[[พนมดงรัก]] เมื่อได้รับคำแนะนำจากชาวเมืองพิมายว่าช้างเผือกหนีไปทางไหนแล้ว ขุนนางสองพี่น้องพร้อมด้วยไพร่พลออกติดตามต่อมาตามลำน้ำมูลมาพบเชียงสีหรือตากะอาม หัวหน้าบ้านกุดหวาย เชียงสีได้พาขุนนางสองพี่น้องไปพบหัวหน้าหมู่บ้านอื่น ๆอื่นๆ เพื่อจะได้ช่วยกันตามหาช้างเผือกต่อไป โดยไปหาเชียงปุมที่บ้านเมืองที เชียงปุมได้ร่วมสมทบกับขุนนางสองพี่น้องพากันไปหาเชียงไชยที่บ้านกุดปะไท (บ้านจารพัต) ไปหาตากะจะและเชียงขันที่บ้านโคกลำดวน(หรือชือเรียกเต็มว่าบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน) ไปหาเชียงฆะที่บ้านอัจจะปะนึง จึงทราบข่าวจากเชียงฆะว่า "ได้พบช้างเผือกเชือกหนึ่งมีเครื่องประดับที่งาพาบริวารซึ่งเป็นช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโชก หรือหนองบัวในเวลาบ่ายทุกวัน"
 
เชียงฆะก็พาขุนนางสองพี่น้องและพวกไปยังหนองโชก พากันขึ้นต้นไม้ที่ริมหนองโชกเพื่อดูช้างโขลงนั้น ครั้นเวลาบ่ายช้างโขลงนั้นก็ออกจากชายป่ามาเล่นน้ำตามเคย ปรากฏว่าช้างเผือกที่หายมานั้นอยู่กลางฝูงพากันลงเล่นน้ำที่หนองโชก ขุนนางทั้งสองจึงเอาก้อนอิฐแปดก้อนที่นำมาจากบ้านเมืองทีขึ้นเสกเวทมนตร์ตามพิธีกรรมคชศาสตร์ อธิษฐานแล้วขว้างไปยังโขลงช้างทั้งแปดทิศ ฝ่ายช้างป่าก็แตกตื่นหนีเข้าป่าหมด คงเหลืออยู่แต่ช้างเผือกเชือกเดียวขุนนางสองพี่น้องก็ลงจากต้นไม้พากันขึ้นขี่หลังช้างโดยง่าย เมื่อจับช้างได้แล้ว ขุนนางสองพี่น้องและบริวารพากันเดินทางกลับ หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายที่มาช่วยเหลือในการติดตามช้าง ก็ได้อำนวยความสะดวกในการควบคุมช้างเผือกมาส่งที่กรุงศรีอยุธยาด้วย เมื่อมาถึงพระนครแล้ว ขุนนางสองพี่น้องจึงได้นำหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายเข้าเฝ้าสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ และกราบบังคมทูลเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทรงทราบ [[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]]จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าชาวกูย (กวย) ให้มีฐานันดรศักดิ์ คือ
บรรทัด 153:
กลับไปปกครองคนในหมู่บ้านของตน โดยอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยาขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย <ref>ยุพดี จรัณยานนท์ 2522 : 34 - 35</ref>
 
[[พ.ศ. 2306]] [[หลวงสุรินทร์ภักดี]] (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีซึ่งคับแคบและไม่สะดวกในการทำมาหากินไปตั้งที่บ้านคูประทายหรือบ้านคูประทายสมันต์ คือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบถึง 2 ชั้น เป็นชัยภูมิเหมาะสมที่จะป้องกันและต่อต้านศัตรูที่มารุกรานได้เป็นอย่างดี เมื่อได้รับอนุญาตแล้วหลวงสุรินทร์ภักดีจึงได้อพยพราษฎรบางส่วนไปอยู่ที่บ้านคูประทาย ส่วนญาติพี่น้อง ชื่อเชียงบิด, เชียงเกตุ, เชียงพัน, นางสะตา, นางแล และราษฎรส่วนหนึ่งคงอยู่ ณ หมู่บ้านเมืองทีตามเดิม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุม) กับญาติร่วมกันสร้างเจดีย์ 3 ยอด สูง 18 ศอก และสร้างโบสถ์พร้อมพระปฏิมา หน้าตักกว้าง 4 ศอก ซึ่งปรากฏอยู่ที่วัดเมืองทีมาจนถึงปัจจุบันนี้
 
เมื่อย้ายถิ่นฐานจากบ้านเมืองทีไปอยู่ที่บ้านคูประทายแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านทั้ง 5 จึงได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ [[กรุงศรีอยุธยา]] นำสิ่งของไปทูลเกล้าถวาย คือ ช้าง, ม้า, แก่นสน, ยางสน, ปีกนก, นอระมาด (นอแรด), งาช้าง, ขี้ผึ้ง, น้ำผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณี เพราะว่าขณะนั้นบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์จะได้อพยพมาตั้งฐิ่นฐานอยู่ในดินแดนอันเป็นป่าดงทึบส่วนนี้ โดยตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่อย่างมั่นคงก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของกรุงศรีอยุธยา ยังคงถือว่าเป็นกลุ่มชนที่อยู่ในป่าดงในราชอาณาเขตเท่านั้น ซึ่งกรุงศรีอยุธยาเริ่มรู้จักก็โดยหัวหน้าหมู่บ้านได้ช่วยเหลือจับช้างเผือกคืนกรุงศรีอยุธยา และเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้นำของไปทูลเกล้าถวายแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้น ดังนี้
# หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เป็น [[พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง]] ยกบ้านคูประทาย เป็น เมืองประทายสมันต์ ให้พระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง เป็นเจ้าเมืองปกครอง ต้นตระกูล "อินทนูจิตร'
# หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็น [[พระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ]] ยกบ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านดงยาง เป็น เมืองสังฆะ ให้พระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ เป็นเจ้าเมืองปกครอง
บรรทัด 163:
 
 
การปกครองบังคับบัญชาแบ่งเป็นหมวดหมู่ เป็นกอง มีนายกอง, นายหมวด, นายหมู่ บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหมดก็เดินทางกลับและปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขตลอดมา
 
=== สมัย[[กรุงธนบุรี]] ===
เมื่อ[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า]]ในปี[[พ.ศ. 2310]] แล้ว [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] ทรงกอบกู้อิสรภาพ และตั้ง[[กรุงธนบุรี]]เป็นราชธานี เมืองสุรินทร์ก็ขึ้นต่อกรุงธนบุรี
 
เมื่อ[[พ.ศ. 2318]] [[พญาโพธิสาร]] จากนครจำปาศักดิ์ยกทัพมากวาดต้อนครัวบ้านครัวเมือง [[อำเภอสุวรรณภูมิ|เมืองสุวรรณภูมิ]], [[อำเภอราษีไศล|เมืองตักศิลา]] (อำเภอราษีไศล) และ[[จังหวัดศรีสะเกษ|เมืองศรีนครเขต]] (ศรีสะเกษ) ทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
 
ครั้นเมื่อปี[[พ.ศ. 2321]] [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] (สมเด็จพระเจ้าตากสิน) จึงโปรดเกล้าให้[[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]เป็นแม่ทัพไปสมทบกำลังเกณฑ์[[จังหวัดขุขันธ์|เมืองขุขันธ์]] [[อำเภอสังขละบุรี|เมืองสังขะบุรี]] และกองทัพช้างคูประทายสมันต์ ขึ้นไปตี[[จำปาศักดิ์|เมืองจำปาศักดิ์]], [[นครพนม|เมืองนครพนม]], บ้านหนองคาย, [[เวียงจันทน์]] เป็นกำลังสำคัญในการขยายอิทธิพลสู่[[เขมร]]
 
ในปี[[พ.ศ. 2324]] ทางฝ่ายเขมรเกิดการ[[จลาจล]] โดยเจ้าทะละหะ (มู) กับ[[พระยาวิมลราช]] (ฮู) ฝักใฝ่ในทาง[[ญวน]] [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]]โปรดเกล้า ให้[[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]] กับ[[พระยาสุรสีห์]] ยกกองทัพไปปราบปราม โดยเกณฑ์กำลังทางขุขันธ์, [[ประทายสมันต์]] (เมืองสุรินทร์), สังขะ ไปช่วยปราบปรามเมืองประทายเพชร, ประทายมาศ, เมืองรูงตำแรย์, กำปงสวายและ[[เสียมราฐ]] การปราบปรามยังไม่ราบคาบ เกิดความไม่สงบขึ้นใน[[กรุงธนบุรี]] [[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ทราบข่าวจึงเลิกทัพกลับคืนมายัง[[กรุงธนบุรี]]
 
ในระหว่างสงครามครั้งนี้ได้มีพวก[[เขมร]]หลบหนีสงครามจากเมือง[[เสียมราฐ]], กำปงสวาย, ประทายเพชร และเมืองอื่น ๆอื่นๆ เข้ามาอยู่ในเมืองประทายสมันต์ และสังขะเป็นจำนวนมาก อาทิ ออกญานินทร์เสน่หา, จางวาง, ออกไกรแป้น, ออกญาตูม, นางดาม บุตรีเจ้าเมืองประทายเพชร (ซึ่งอาจจะเป็นชาวกูย) รวมทั้งพี่น้องบ่าวไพร่เมืองเสียมราฐ (ซึ่งอาจจะเป็นชาวกูย และเขมร ซึ่งยังคงมีการอาศัยกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) ก็ได้พากันมาอยู่เมืองประทายสมันต์ด้วย ต่อมานางดามได้แต่งงานกับสุ่นหลานชายของ[[พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง]] (เชียงปุม) ภายหลังชาวเขมรทราบว่า นางดามซึ่งเป็นนายของตนมาเป็น[[สะใภ้]]เจ้าเมือง จึงพากันอพยพมาอยู่ที่เมืองคูประทายมากขึ้น ดังนั้น ชาวเมืองคูประทาย ซึ่งเป็น[[ชาวกวย]]จึงปะปนกับเขมรและเพราะเหตุที่ชาวเขมรมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน วัฒนธรรมตลอดทั้งความเป็นอยู่ จึงผันแปรไปทางเขมรมากขึ้น
 
เมื่อเสร็จศึกสงครามเมืองเวียงจันทน์และเมืองเขมรแล้ว เจ้าเมืองประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น [[พระยา|"พระยา"]] ทั้ง 3 เมือง
บรรทัด 182:
[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในปี[[พ.ศ. 2325]] และตั้ง[[กรุงเทพมหานคร]]เป็นราชธานี
 
พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีที่คับแคบไปตั้งที่บ้านคูประทายคือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่ มีกำแพงค่ายคูล้อมถึงสองชั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้สร้างเจดีย์สามยอด สูง 18 ศอก สร้างโบสถ์พร้อมพระปฏิมา หน้าตักกว้าง 4 ศอก ยังปรากฏอยู่ที่วัดเมืองทีมาถึงปัจจุบัน ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านชาวกูยทั้งห้าคนได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา และได้นำสิ่งของไปถวาย คือ ช้าง, ม้า, แกนสม, ยางสน, นอระมาด, งาช้าง, ปีกนก, ขี้ผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณีมาแต่โบราณ และประกอบกับเป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้ง มีความชอบเป็นอันมากมาก จึงโปรดเกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น "พระยาสุรินทรภักดีศรีจางวาง (เชียงปุม)" (1) บรรดาศักดิ์ "พระยา" เป็นบรรดาศักดิ์ สำหรับขุนนางระดับสูง หัวหน้ากรมต่างๆ เจ้าเมืองชั้นโท และแม่ทัพสำคัญ ในพระไอยการฯ มีเพียง 33 ตำแหน่ง ดังนั้น จึงมีประเพณี พระราชทานเครื่องยศ (โปรดดูเรื่อง&nbsp;[[เครื่องราชอิสริยยศไทย]]) ประกอบกับบรรดาศักดิ์ด้วย โดย พระยาที่มีศักดินามากกว่า 5,000 จะได้รับพระราชทานพานทอง ประกอบเป็นเครื่องยศ จึงเรียกกันว่า&nbsp;'''พระยาพานทอง'''&nbsp;ซึ่งถือเป็นขุนนางระดับสูง ส่วนพระยาที่มีศักดินาต่ำกว่านี้ จะไม่ได้รับพระราชทานพานทอง 2)บรรดาศักดิ์ จางวาง เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในกรมมหาดเล็ก, ตำแหน่งผู้กำกับการ)
 
[[พ.ศ. 2329]] ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เปลี่ยนชื่อ เมืองประทายสมันต์ เป็น [[สุรินทร์|เมืองสุรินทร์]] ตามสร้อยบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในการเปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์ เป็นเมืองสุรินทร์ครั้งนี้ได้โปรดเกล้า ให้เจ้าเมืองพิมาย แบ่งปันอาณาเขตให้เมืองสุรินทร์ ดังนี้
บรรทัด 188:
* ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดต่อกับแขวงเมือง{{อำ|รัตนบุรี}} ตั้งแต่[[แม่น้ำมูล]] ถึงหลักหินตะวันออกบ้านโพนงอยถึงบ้านโคกหัวลาว และต่อไปยังบ้านโนนเปือย และตามคลองห้วยถึงบ้านนาดี บ้านสัจจังบรรจง ไปทางตะวันออกถึง{{อำ|ห้วยทับทัน}}
* ทิศตะวันออก จดห้วยทับทัน
* ทิศตะวันตก ถึงลำห้วยตะโคง หรือชะโกง มีบ้านกก, บ้านโคกสูง, แนงทม, สองขั้น และ{{อำ|ห้วยราช}}
 
ส่วนทางทิศใต้ไม่ได้บอกไว้ เพราะขณะนั้นเมืองเขมรบางส่วนอยู่ในความปกครองของไทย เช่นบ้านจงกัลในเขตเขมรปัจจุบัน เคยเป็น[[อำเภอจงกัล]]ของไทย ขึ้นกับเมืองสังขะ
บรรทัด 198:
[[พ.ศ. 2342]] มีตราโปรดเกล้า ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เมืองละ 100 รวม 300 เข้ากองทัพยกไปตีกองทัพพม่า ซึ่งยกมาตั้งอยู่ในเขตแขวง เมืองนครเชียงใหม่ แต่กองทัพไทยมิทันไปถึงได้ข่าวว่ากองทัพพม่าถอยไปแล้ว ก็โปรดเกล้าให้ยกกองทัพกลับ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เปลี่ยนนามพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง (ตี) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์
 
[[พ.ศ. 2350]] ทรงพระราชดำริว่า เมืองสุรินทร์, เมืองสังขะ, เมืองขุขันธ์ เป็นเมืองเคยตามเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายครั้ง มีความชอบมาก จึงโปรดเกล้า ให้ทั้ง 3 เมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร เลยทีเดียว มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นต่อเมืองพิมายเหมือนแต่ก่อน <ref> (พงศาวดารเมืองประทายสมันต์เลขที่ 001: 3/10) </ref>
 
[[พ.ศ. 2351]] [[พระสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์]] (ตี) เจ้าเมืองกูยสุรินทร์ถึงแก่กรรม จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ตั้งหลวงวิเศษราชา (มี) ผู้เป็นน้องชาย เป็น[[พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์]] เจ้าเมืองสุรินทร์สืบต่อไป
บรรทัด 214:
* ''ประเด็นที่ 1'' การสักเลก (การสักข้อมือคนในบังคับ) ในหัวเมืองอีสาน สำหรับการสักเลกนี้ไม่มีหลักฐาน่วาเริ่มเมื่อใดแต่อย่างน้อยที่สุดประมาณปี[[พ.ศ. 2317]] ช่วงสมัยธนบุรี จนเกิด[[กบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์]]ในปี[[พ.ศ. 2369]] <ref> (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ [[จ.ศ. 1205]] เลขที่ 86) </ref> การส่งข้าหลวงมาสักเลกสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในหัวเมืองเขมรป่าดงอย่างมาก ทั้งนี้เพราะนอกจากจะเจ็บตัวจากการสักเลกแล้วยังต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสักเลกอีก คนละ 1 บาท 1 เฟื้อง
 
* ''ประเด็นที่ 2'' ความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมือง[[นครราชสีมา]]กับเมืองขุขันธ์ เอกสารพื้นเวียงกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมืองขุขันธ์ กับ[[พระยาพรหมภักดี]]เจ้าเมืองนครราชสีมา จากการศึกษาของ[[พรรษา สินสวัสดิ์]] กล่าวไว้ว่า[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ]] ทรงมีความเชื่อมั่นและวางพระทัยในความสามารถของพระยาพรหมภักดี[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]]ดำเนินการบางประการที่ทำให้เดือดร้อนแก่หัวเมืองลาว และหัวเมืองต่างๆ ของชาวกูย (เมืองสุรินทร์, เมืองสังขะ และเมืองขุขันธ์ เป็นต้น) จนเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางกับหัวเมืองในกลุ่มดังกล่าว เช่น ในครั้งพระยาพรหมภักดีมีคำสั่งให้เกณฑ์ไพร่พลจากเมืองอุบลราชธานี, เมืองจำปาศักดิ์, เมืองสังขะ, เมืองขุขันธ์ และเมืองสุรินทร์จะยกไปตีชาวข่า ในเขตแดนจำปาศักดิ์เพื่อกวาดต้อนส่งเข้ามากรุงเทพในครั้งนั้น พระยาไกรภักดีเจ้าเมืองขุขันธ์ได้เกิดขัดแย้งกับพระยาพรหมภักดีอย่างรุนแรงถึงกับพระยาไกรภักดีมีใบบอกฟ้องเข้ามายังกรุงเทพ ว่าพระยาพรหมภักดีทำการกดขี่ข่มเหง ทางกรุงเทพ จึงได้ส่งขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นไปสอบสวนผลการสอบสวนปรากฏว่า พระยาพรหมภักดีไม่ผิด ความขัดแย้งระหว่างพระยาพรหมภักดีกับพระยาขุขันธ์ได้เกิดบานปลายออกไปเมื่อ พระยาพรหมภักดีสนับสนุนให้เจ้าทิงหล้า ซึ่งเป็นน้องชายของพระยาขุขันธ์ ก่อการกบฏต่อพระยาขุขันธ์ และพระยาพรหมภักดีนำ (กองทัพ) [[จังหวัดนครราชสีมา]]ขึ้นมาสนับสนุนเจ้าทิงหล้า และได้จุดไฟเผาเมืองขุขันธ์จนพระยาขุขันธ์ต้องหนีไปอยู่เมืองนางรอง
 
* ''ประเด็นที่ 3'' ความขัดแย้งระหว่าง[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]]กับเจ้านครจำปาศักดิ์ (เมืองของชาวกูย กวย) ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ปรากฏในพงศาวดารไทย แต่ในเอกสารพื้นเวียงกล่าวว่าเป็นฉนวนสำคัญที่สุดที่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏ <ref> (ธวัช ปุณโณทก 2526 : 82) </ref> กล่าวคือ พระยาพรหมภักดีครองเมืองโคราชได้ 2 ปี มีความขัดข้องใจที่ไม่ได้ครองเมืองจำปาศักดิ์ จึงจัดสร้างด่านใกล้เมืองพระยาไกรภักดี เจ้าเมืองขุขันธ์จนเกิดเรื่องกับพระยาไกรภักดี ดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังพระยาพรหมภักดีเจ้าเมืองนครราชสีมามีหนังสือสารตรา ไปยังเมืองจำปาศักดิ์ (เจ้าราชบุตรโย่) เจ้าเมืองจำปาศักดิ์โกรธจึงไปทูลเจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์โกรธแค้นมาก
 
จาก 3 ประเด็นที่กล่าวทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์กับ[[เจ้าเมืองนครราชสีมา]] (ทองอิน) และนำไปสู่กบฏเจ้าอนุวงศ์ในปี[[พ.ศ. 2369]] เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทรน์ คุมกองทัพบกเข้าตีเมืองรายทางเข้ามาจนถึง[[เมืองนครราชสีมา]] ฝ่ายทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (เจ้าโย่) เกณฑ์กำลังยกทัพมาตีเมืองขุขันธจับพระไกรภักดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ กับพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ) ปลัดเมืองกับพระแก้วมนตรี (ทศ) ยกกระบัตรกับกรมการได้ ฆ่าตายทั้งหมด เจ้าเมืองสังฆะ และเมืองสุรินทร์หนีได้ทัน กองทัพจำปาศักดิ์ ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ค่ายหนึ่ง และค่ายอื่น ๆอื่นๆ สี่ค่าย กวาดต้อนครอบครัวไทยเขมรไปเมืองจำปาศักดิ์
 
เมื่อข่าวเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏได้ททราบถึงกรุงเทพ [[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นทัพหน้าพร้อมด้วย พระยาราชนิกุล, พระยากำแหง, พระยารองเมือง, พระยาจันทบุรี คุมไพร่พลไปทางเมืองพระตะบองขึ้นไปเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ เกณฑ์เขมรป่าดงไปเป็นทัพขนาบกองทัพกรุงเทพ ได้ตามตีกองทัพลาวเรื่อยไปจนถึงเวียงจันทน์และตีเมืองเวียงจันทน์แตกเมื่อ[[พ.ศ. 2370]]
 
เมื่อ[[พ.ศ. 2371]] ทรงพระโปรดเกล้า ให้เลื่อนพระยาสุรินทร์ภักดีศรีประทาย-สมันต์ (สุ่น) เจ้าเมืองสุรินทร์เป็นเจ้าพระยาสุรินทร์ภักดีศรีประทายสมันต์
บรรทัด 226:
ส่วนทางเมืองสังขะ โปรดให้พระยาสังขะเป็นพระยาภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมือง ให้บุตรพระยาสังขะ เป็นพระยาสังขะบุรีศรีนครอัจจะปะนึง
 
ในปี[[พ.ศ. 2372]] หัวเมืองฝ่ายตะวันออกไม่เรียบร้อยดี เนื่องมาจากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์เพราะราษฏรพากันหนีหลบภัยสงครามไปต่างเมือง เช่น หัวเมืองเขมรป่าดง ราษฎรพากันหลบหนีไปยังแถบเขมร ราษฎรเมืองนครราชสีมาก็พากันหลบหนีไปทางเมือง [[ลพบุรี]], [[เพชรบุรี]], [[ปราจีนบุรี]] เป็นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาขณะดำรงตำแหน่งพระยาราชสุภาวดีเป็นแม่กองออกไปจัดการหัวเมืองอีสาน-ลาว ทั้งหมด <ref> (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1856 เลขที่ 86) </ref> และได้ไปจัดตั้งราชการสำมะโนครัว แต่งตั้งกองสักเลกอยู่ ณ กุดผไท ([[อำเภอศรีขรภูมิ]] จังหวัดสุรินทร์)
 
ในปี[[พ.ศ. 2385]] เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ได้เกณฑ์คน หัวเมืองในแถบอิสานใต้ หัวเมืองขุขันธ์ 2,000 คน เมืองสุรินทร์ 1,000 คน เมืองสังขะ 300 คน เมืองศรีสะเกษ 2,000 คน เมืองเดชอุดม 400 คน รวม 6,200 คน <ref> (หอสมุดแห่งชาติ เลขที่ 4/1 จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1205) </ref> และในปี[[พ.ศ. 2381]] เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้กำลังจากเมืองลาว หัวเมืองชาวกูย เมืองนครราชสีมา 12,000 คน เกณฑ์กำลังขึ้นไปสมทบทัพกรุงเทพ ที่เมืองอุดมมีชัยไปรบในกัมพูชา <ref> (หอสมุดแห่งชาติ เลขที่ 3 จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จุลศักราช 1201) </ref>
บรรทัด 244:
[[พ.ศ. 2416]] พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ เจ้าเมืองก็ถึงแก่กรรม พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) เห็นว่าหลวงงพิทักษ์สุนทรบุตรพระปลัดกรมการเมืองสังฆะ ซึ่งสมัครมาอยู่เมืองสุรพินทนิคมเป็นผู้มีหลักฐานมั่นคงดี จึงได้ให้หลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคมหลวงพิทักษ์สุนทรรับราชการตำแหน่งเจ้าเมืองสุรพินทนิคมได้สามปีก็ถึงแก่กรรมแต่นั้นมาเจ้าเมืองสุรพินทนิคมจึงว่างตลอดมา
 
[[พ.ศ. 2419]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระศักดิ์เสนีย์ เป็นข้าหลวงออกไปตั้งสืบสวนจับโจรผู้ร้ายหัวเมืองตะวันออก เนื่องจากพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) และพระยาสังขะได้บอกมายังกรงเทพ ว่าเกิดโจรผู้ร้ายปล้นลักทรัพย์สิ่งของราษฎรในเขตของเมืองทั้งสองแล้วหนีเข้าไปแขวงเมืองบุรีรัมย์, เมืองนางรอง, เมืองประโคนชัย ราษฎรได้รับความเดือดร้อนมาก ข้าหลวงที่ส่งไปเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อปราบโจรผู้ร้ายเสร็จแล้วก็กลับกรุงเทพ ข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งลักษณะนี้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดได้ทุกเมือง
 
[[พ.ศ. 2424]] ฝ่ายทางเมืองจงกัล ตั้งแต่โปรดเกล้า ให้หลวงสัสดี (ลิน) เป็นพระวิไชย เจ้าเมืองจงกัล พระวิไชยรับราชการได้ 7 ปี ก็ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองสังฆะจึงได้ให้พระสุนทรนุรักษ์ผู้หลานนำใบบอกไปกรุงเทพ ขอให้พระสุนทรนุรักษ์เป็น พระทิพชลสินธุ์อินทรนฤมิตร
บรรทัด 256:
[[พ.ศ. 2432]] พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งมีอำนาจเต็มในภาคอีสานทั้งหมด ได้แต่งตั้งใบประทวนให้ ยานเยียบ เป็นพระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ต่อไป แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ถึงแก่กรรมเมื่อ [[พ.ศ. 2433]] พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) จึงต้องกลับมาเป็นเจ้าเมือง อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ถึงแก่กรรมในปีเดียวกันนั้นเอง
 
[[พ.ศ. 2434]] จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรเป็นข้าหลวงใหญ่ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ กองหนึ่งให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว ให้เมืองนครจำปาศักดิ์, เมืองเชียงแตง, เมืองแสนปาง, เมืองสีทันดร, เมืองสาลวัน, เมืองอัตตะปือ, เมืองคำทองใหญ่, เมืองสุรินทร์, เมืองสังฆะสังขะ, เมืองขุขันธ์, เมืองเดชอุดม, เมืองศรีสะเกษ, เมืองอุบล, เมืองยโสธร, เมืองเขมราฐ, เมืองกมลาไสย, เมืองสุวรรณภูมิ, เมืองกาฬสินธุ์, เมืองภูแล่นช้าง, เมืองร้อยเอ็ด, เมืองมหาสารคาม, เมืองใหญ่ 21 เมือง, เมืองขึ้น 43 เมือง อยู่ในบังคับบัญชาข้าหลวงเมืองลาวกาว
 
[[พ.ศ. 2435]] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ซึ่งย้ายมาแทนพระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ได้ทรงแต่งตั้งให้พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) น้องชาย พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ (เปลี่ยนจากเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง)
บรรทัด 262:
ในสมัยที่พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์นี้ เป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังปรับปรุงระบบบริหารใหม่ ข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์มณฑลอีสานได้ทรงวางระเบียบให้มีข้าราชการจากส่วนกลาง มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการทุกหัวเมือง สำหรับเมืองสุรินทร์ หลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงกำกับราชการ มีอำนาจเด็ดขาด ทัดเทียมผู้ว่าราชการเมือง นับเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่เชื้อสายบรรพบุรุษชาวสุรินทร์ ด้วยความไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและความเป็นอยู่ของชาวเมืองได้ดีพอจึงทำให้ดำเนินการบางอย่างผิดพลาด มิชอบโดยหลักการ แต่พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) เจ้าเมืองไม่อาจขัดขวางได้เพราะเห็นว่า ถ้าเข้าขัดขวางแล้วก็จะมีแต่ความร้าวฉาน ขาดความสามัคคีในชนชั้นปกครอง
 
[[พ.ศ. 2436]] ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นทางเมืองเชียงแตง, เมืองสีทันดร และเมืองสมโบก ซึ่งสมันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรในฐานะผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการป้องกันราชอาณาจักร ให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์, เมืองศรีสะเกษ, เมืองขุขันธ์, เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 800 เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองยโสธร เมืองละ 500 ฝึกการรบแล้วส่งกำลังรบเหล่านี้เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด สถานการณ์สงครามสงบลงในเดือนตุลาคม [[พ.ศ. 2436]] ต่างฝ่ายต่างถอนกำลังรบ กำลังรบของเมืองสุรินทร์จึงได้กลับคืนบ้านเมือง อาจกล่าวได้ว่านับแต่ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเกิดศึกสงครามจากข้าศึกนอกราชอาณาจักร ชาวสุรินทร์จะมีบทบาทในการป้องกันบ้านเมืองด้วยเสมอ
 
กรณีพิพาทกับฝรั่งเศสสงบลงไม่นานนัก ในปีเดียวกันนี้ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนนาก) ผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์ ได้ถึงแก่อนิจกรรม โดยที่ยังไม่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เป็นที่ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ตามตำแหน่ง ในช่วงระยะนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสาน ได้สั่งย้ายหลวงธนสารสุทธารักษ์ (หว่าง) และแต่งตั้งหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์ (ล้อม) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองสุรินทร์แทน
บรรทัด 279:
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้ง ===
จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ทางตอนล่างของ[[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]] ระหว่าง[[ลองติจูด]] 103 และ 105[[องศา]]ตะวันออก [[ละติจูด]] 15 และ 16 [[องศา]]เหนือ ระยะทางห่างจาก[[กรุงเทพมหานคร]]ประมาณ 420 [[กิโลเมตร]] [[อาณาเขต]]ทิศเหนือ ติดต่อกับ[[จังหวัดร้อยเอ็ด]] และ[[จังหวัดมหาสารคาม]] [[ทิศใต้]] ติดต่อกับ[[ประเทศกัมพูชา]] ทิศตะวันออก ติดต่อกับ[[จังหวัดศรีสะเกษ]] และทิศตะวันตก ติดต่อกับ[[จังหวัดบุรีรัมย์]]
 
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบสูงมีลักษณะพื้นที่ดังนี้
 
# ทางตอนใต้ของจังหวัด เป็นพื้นที่ราบสูง มี[[ภูเขา]]สลับซับซ้อนหลายลูก มีป่าทึบสลับ[[ป่าเบญจพรรณ]]ตามบริเวณแนวเขตชายแดน ([[อำเภอบัวเชด]], [[อำเภอสังขะ]], [[อำเภอกาบเชิง]] และ[[อำเภอพนมดงรัก]]) ที่ติดต่อกับ[[ราชอาณาจักรกัมพูชา]] ต่อจากบริเวณ[[ภูเขา]]ลงมาเป็นที่ราบสูง ลุ่มลุ่มๆ ๆ ดอน ๆดอนๆ ลาดเทมีลักษณะเป็นลูกคลื่น ค่อย ๆค่อยๆ ลาดเทไปทางตอนกลางและตอนเหนือของจังหวัด
# ทางตอนกลางของจังหวัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม แต่มีพื้นที่บางส่วนเป็นที่ดอน สลับที่ลุ่มลอนลาดเช่นเดียวกัน แต่ไม่มากเท่าทางตอนใต้ของจังหวัด (อำเภอเมืองสุรินทร์, อำเภอเขวาสินรินทร์, อำเภอศรีขรภูมิ, อำเภอสำโรงทาบ, อำเภอลำดวน และอำเภอศรีณรงค์)
# ทางตอนเหนือของจังหวัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ([[อำเภอจอมพระ]] และ[[อำเภอสนม]]) และที่ราบลุ่ม ([[อำเภอชุมพลบุรี]], [[อำเภอท่าตูม]], [[อำเภอรัตนบุรี]], และ[[อำเภอโนนนารายณ์]]) โดยเฉพาะ[[อำเภอชุมพลบุรี]] และ[[อำเภอท่าตูม]] อยู่ในที่ราบลุ่ม[[แม่น้ำมูล]] ในเขตของ [[ทุ่งกุลาร้องไห้]]
 
;ภูเขา
จังหวัดสุรินทร์ มีเทือกเขา[[พนมดงรัก]]ทอดยาวตามแนวเขตแดน[[ไทย]]-[[กัมพูชา]] ทางด้านตอนใต้ของจังหวัด มีเขาสวายหรือ[[พนมสวาย]]ในเขต[[ตำบลนาบัว]] [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เป็น[[ภูเขาไฟ]]ที่ดับแล้ว มียอดเตี้ย ๆเตี้ยๆ 3 ได้แก่ ยอดเขาชาย เป็นที่ตั้งของ[[วัดพนมศิลาราม]] และที่บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองสุรินทร์และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล ปางประทานพร ภปร. ยอดเขาหญิง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ขนาดกลาง และยอดเขาคอก (พนมกรอล) [[พุทธสมาคม]]จังหวัดสุรินทร์ ได้สร้างศาลาอัฐะมุขเพื่อเป็น[[อนุสรณ์]]ฉลอง[[กรุงรัตนโกสินทร์]]ครบ 200 ปี เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และสถูปบรรจุอัฐิ[[พระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล)]] เกจิอาจารย์ที่ชาว[[สุรินทร์]]เคารพนับถือ ปัจจุบันเขาสวายได้รับการประกาศเป็น [[วนอุทยานพนมสวาย]]
 
;แหล่งน้ำ
[[แหล่งน้ำ]]ที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่
* [[แม่น้ำมูล]] ต้นน้ำเกิดจากภูเขา[[ดงพญาเย็น]] เขต[[อำเภอครบุรี]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] ไหลผ่านจังหวัดสุรินทร์ ทางเขต[[อำเภอชุมพลบุรี]], [[อำเภอท่าตูม]] และ[[อำเภอรัตนบุรี]] ไหลลงสู่[[แม่น้ำโขง]]ที่[[จังหวัดอุบลราชธานี]] เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเพาะปลูก]], [[การคมนาคม]] นอกจากนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วย[[สัตว์น้ำ]]ต่าง ๆต่างๆ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของ[[ราษฎร]] หากไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะ[[ฝนแล้ง]] จะมี[[น้ำ]]ตลอดทั้งปี
* [[ลำน้ำชี]] ต้นน้ำเกิดจาก[[เขาพนมดงรัก]] เป็นลำน้ำที่แบ่งเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดบุรีรัมย์]] เป็นลำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 90 กิโลเมตร ไหลผ่านจังหวัดสุรินทร์ ในเขต[[อำเภอปราสาท]], [[อำเภอเมืองสุรินทร์]], [[อำเภอจอมพระ]] และไปบรรจบ[[แม่น้ำมูล]]ที่[[บ้านตากลาง]] [[ตำบลกระโพ]] [[อำเภอท่าตูม]] จังหวัดสุรินทร์
* [[ลำน้ำพลับพลา]] ต้นน้ำเกิดจาก[[อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย]] [[จังหวัดมหาสารคาม]] ไหลผ่าน[[ทุ่งกุลาร้องไห้]] ลงสู่[[แม่น้ำมูล]]ที่[[อำเภอราษีไศล|อำเภอรัตนบุรี]] [[จังหวัดศรีสะเกษ|จังหวัดสุรินทร์]] เป็น[[ลำห้วย]]ที่แบ่งอาณาเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดมหาสารคาม]] และ[[จังหวัดร้อยเอ็ด]]
* [[ลำห้วยทับทัน]] ต้นน้ำเกิดจากเทือก[[เขาพนมดงรัก]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอสังขะ]], [[อำเภอศรีณรงค์]], [[อำเภอสำโรงทาบ]], [[อำเภอโนนนารายณ์]], [[อำเภอรัตนบุรี]] และไหลลงสู่[[แม่น้ำมูล]]
* [[ลำห้วยระวี]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]], [[อำเภอเขวาสินรินทร์]], [[อำเภอจอมพระ]] และ[[อำเภอท่าตูม]] ทางจังหวัดได้ทำการขุดลอก และสร้างฝายน้ำล้นกั้นเป็นช่วง ๆช่วงๆ เพื่อใช้ประโยขน์ทางการเกษตร, การเพาะปลูก และการ[[อุปโภคบริโภค]]
* [[ลำห้วยเสน]] ต้นน้ำเกิดจากเขา[[พนมดงรัก]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอสังขะ]] และ[[อำเภอศรีณรงค์]]เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเลี้ยงสัตว์]] ในฤดูแล้งน้ำแห้งเป็นบางช่วงของลำห้วย
* [[ลำห้วยระหาร]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]] ใน[[ฤดูฝน]]น้ำจะท่วมหลาก แต่ใน[[ฤดูแล้ง]]น้ำจะแห้งขอด ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้
* [[ลำห้วยแก้ว]] ไหลผ่านเขต[[อำเภอรัตนบุรี]] และไหลลงสู่[[แม่น้ำมูล]] ฤดูแล้งบางช่วงของลำห้วยน้ำตื้นเขิน ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน
* [[ลำห้วยสำราญ]] เป็นลำห้วยที่แบ่งอาณาเขตจังหวัดสุรินทร์ กับ[[จังหวัดศรีสะเกษ]] ต้นน้ำเกิดจากเขาพนมดัจ (เขาขาด) และพนมซแร็ยซระน็อฮ (เขานางโศก) ไหลผ่านเขต[[อำเภอบัวเชด]] และ[[อำเภอสังขะ]]
* [[ลำห้วยจริง]] เป็นลำห้วยที่แบ่งอาณาเขต [[อำเภอศรีขรภูมิ]] กับ[[อำเภอโนนนารายณ์]] และ[[อำเภอสำโรงทาบ]] จังหวัดสุรินทร์มี[[โครงการชลประทาน]] 1 แห่ง คือ [[เขื่อนห้วยเสนง]] (สะเนง=เขาสัตว์) อยู่ในเขต[[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เป็นโครงการส่งน้ำทดน้ำ เอื้อประโยชน์ต่อการ[[ทำนา]]ในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 46,180 ไร่
* [[ลำห้วยไผ่]] ต้นน้ำเกิดจากท้องทุ่งนาในเขตอำเภอสนม ไหลผ่านเขต[[ตำบลโพนโก]] [[อำเภอสนม]] เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางด้าน[[การเกษตร]], [[การเลี้ยงสัตว์]] โดยปลายน้ำอยู่ที่แม่น้ำมูล ตำบลน้ำเขียว [[อำเภอรัตนบุรี]] อ่างเก็บน้ำห้วยลำพอก [[อำเภอศรีขรภูมิ]]
 
;ป่าไม้
บรรทัด 309:
# เขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 26 ป่า
# วนอุทยาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ [[วนอุทยานพนมสวาย]] [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] เนื้อที่ 2,500 ไร่ และ[[วนอุทยานป่าสนหนองคู]] [[อำเภอสังขะ]] เนื้อที่ 625 ไร่
# เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า 1 แห่ง คือ [[เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยสำราญ-ห้วยทับทัน]] อยู่ในพื้นที่[[อำเภอพนมดงรัก]], [[อำเภอกาบเชิง]], [[อำเภอสังขะ]] และ[[อำเภอบัวเชด]] เนื้อที่ 313,750 ไร่
# ป่าชุมชน
 
พื้นที่ระหว่างอำเภอสังขะ และอำเภอลำดวน มีป่าสนสองใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวสุรินทร์เรียกบริเวณนี้ว่า "ป่าพนาสน" ป่าสนสองใบที่จังหวัดสุรินทร์นี้ไม่เหมือนป่าสนทั่วทั่วไป ๆ ไปเนื่องจากเป็นป่าสนที่ขึ้นอยู่บนพื้นราบ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100 กว่าเมตรเท่านั้น และขึ้นปะปนอยู่กับไม้เบญจพรรณ เช่น ไม้ยางนา, กระบาก, เหียง, ตาด, นนทรีป่า, ประดู่, ลำดวน และมะค่าแต้ ในปี พ.ศ. 2523 รัฐบาลไทยได้รับความร่วมมือจาก[[ประเทศเดนมาร์ก]] มอบให้กรมป่าไม้จัดตั้งเป็น สถานีอนุรักษ์พันไม้ป่าหนองคู เพื่อดำเนินการศึกษาและวิจัย และจัดการเขตอนุรักษ์พันธ์ไม้สนสองใบ ป่าสนสองใบที่บ้านหนองคูนี้ นับเป็นมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์
 
วังทะลุ ห่างจากหมู่บ้านช้าง (บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม) เพียง 3 กิโลเมตร ที่นี่เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหล และลำน้ำชี มาบรรจบกัน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ที่จังหวัดอุบลราชธานี “วังทะลุ” เป็นสายน้ำที่แวดล้อมไปด้วยป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามซึ่งหาชมได้ยาก ยังมีความอุดมบูรณ์ทางธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นที่อาบน้ำของช้างในหมู่บ้านยามเย็น
 
เอกสารบรรยายสรุปจังหวัดสุรินทร์ ประจำปี [[พ.ศ. 2540]] มีการตัดไม้ทำลายป่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการบุกรุก แผ้วถาง เพื่อการเกษตรกรรม ป่าไม้ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดบริเวณ[[เทือกเขาพนมดงรัก]] ในเขตอำเภอสังขะ, อำเภอบัวเชด, อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก และยังมีป่าไม้กระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆหย่อมๆ ในเขต[[อำเภอปราสาท]], [[อำเภอเมืองสุรินทร์]], [[อำเภอท่าตูม]], [[อำเภอรัตนบุรี]], [[อำเภอลำดวน]] และ[[อำเภอศีขรภูมิ]] ต้นไม้ที่มีอยู่โดยทั่วไปในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ต้นเต็ง, รัง, ยาง, ประดู่, พะยูง, ตาด, แดง, กะบาก และอื่น ๆอื่นๆ รวมทั้ง ต้นมันปลา หรือต้นกันเกรา ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ จากการที่ป่าไม้ถูกทำลายมาก จึงมีการปลูกป่าทดแทน หรือปลูกไม้โตเร็วเพื่อการใช้สอย เช่น ต้นกระถินณรงค์, ต้นยางพารา, ต้นตะกู และต้นยูคาลิปตัส เป็นต้น (พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของ ออป. (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ [[กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม]])
 
;ทรัพยากรธรณี
ลักษณะของ[[ดิน]]ในจังหวัดสุรินทร์ เป็น[[ดินร่วน]]ปนทราย มีบางพื้นที่ เช่น อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็น[[ดินเหนียว]]ปนทราย ฉะนั้นดินในจังหวัดสุรินทร์จึงอุ้มน้ำได้น้อย
 
จังหวัดสุรินทร์มีทรัพยากรทางธรณีที่สำคัญ ได้แก่ ทรายแม่น้ำมูล พบที่[[อำเภอท่าตูม]] และ[[อำเภอชุมพลบุรี]] บ่อหินลูกรัง พบที่ [[อำเภอท่าตูม]], [[อำเภอสำโรงทาบ]], [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] และ[[อำเภอสังขะ]] หินภูเขา เป็นหินภูเขาที่ได้จากเขาสวาย ท้องที่ตำบลสวาย และตำบลนาบัว สำหรับป้อนโรงงานโม่หินเพื่อใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง
 
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ ===
จังหวัดสุรินทร์มีทรัพยากรสัตว์ป่าอยู่มากมายทั่วทั้งจังหวัด แต่ปัจจุบันนี้สัตว์ป่าจะมีอยู่เฉพาะตามพื้นที่ป่าที่อนุรักษ์ไว้และอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนและเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเท่านั้น ส่วนสัตว์ป่าที่พบเห็นได้ในปัจจุบันที่[[เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ]] ได้แก่ เก้ง, กวาง, ลิ่น, วัวแดง, กระจง, ลิง, ค่าง, ชะนี, เสือโคร่ง, เลียงผา, อีเห็น, แมวดาว, ชะมด, เม่น, ไก่ฟ้าพญาลอ, นกนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่า และกระจงมีอยู่จำนวนมากทั่วพื้นที่ สัตว์ที่มีลักษณะเด่นในพื้นที่ ได้แก่ ไก่ฟ้าพญาลอ, เก้ง และที่พบเห็นใน[[วนอุทยานพนมสวาย]] ได้แก่ กระรอก, กระต่ายป่า, สัตว์ปีกมีบ้างแต่ไม่มากนักได้แก่ นกกระเต็น, บ่าง, นกกระทาดง, นกกวัก, นกกระปูด, นกกางเขนดง, นกเขาหลวง, นกเป็ดน้ำ และนกเหยี่ยว และที่พบใน[[วนอุทยานป่าสนหนองคู]] ได้แก่ กระรอก, บ่าง, กระต่ายป่า, งู, แย้, และนกเขา, นกกะปูด และนกเอี้ยง บางครั้งก็จะมีพบนกเงือกมาอยู่บ้าง และยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิดที่สามารถพบเห็นได้ในป่าชุมชนต่าง ๆต่างๆ ที่มีการอนุรักษ์ผืนป่าไว้
 
=== สิ่งแวดล้อม ===
บรรทัด 332:
จากรายงาน[[คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ]] ในปี พ.ศ. 2553 จังหวัดสุรินทร์ มีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัด (GPP) ตามราคาประจำปี 55,529 ล้านบาท มูลค่าผลิตภัณฑ์ต่อหัว (Per capita GPP) 38,681 บาท จัดเป็นอันดับที่ 73 ของประเทศ และเป็นอันดับที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
สำหรับอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดสุรินทร์ ยังคงประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรม มีการทำนาข้าวเจ้า (ข้าวหอมมะลิ) ทำสวน และเพาะปลูกพืชไร่ชนิดต่าง ๆต่างๆ เช่น มันสำปะหลัง, อ้อยโรงงาน, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, ยางพารา อาชีพที่สำคัญรองลงมา คือ การปลูกหม่อน และเลี้ยงไหม
 
=== การขนส่ง ===
จังหวัดสุรินทร์ เป็นเมืองหลักของภาคอีสานตอนล่าง เป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อุตสาหกรรมและการคมนาคม จึงมีเส้นทางคมนาคมหลักทั้งทาง[[รถยนต์]], [[รถไฟ]], มีทางหลวงแผ่นดิน, ทางหลวงจังหวัด และเส้นทางมาตรฐานหลายสาย ทำให้การเดินทางติดต่อภายในจังหวัด การเดินทางสู่จังหวัดใกล้เคียง และกรุงเทพมหานครเป็นไปด้วยความสะดวก
 
;ทางรถยนต์
การเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังจังหวัดสุรินทร์ใช้ [[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1]] ([[ถนนพหลโยธิน]]) ผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]], [[พระนครศรีอยุธยา]] แล้วแยกเข้า[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2]] ([[ถนนมิตรภาพ]]) ผ่าน[[จังหวัดสระบุรี]], [[นครราชสีมา]] แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 24 ผ่าน[[จังหวัดบุรีรัมย์]] แยกซ้ายเข้า[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214]] (ตรงแยก[[อำเภอปราสาท]]) จนถึงจังหวัดสุรินทร์ หรือใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ได้เช่นเดียวกัน
 
;การเดินทางในตัวจังหวัด
การคมนาคมขนส่งทางรถยนต์ของจังหวัดสุรินทร์ระหว่างชนบท, หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ และจังหวัดต่าง ๆต่างๆ มีความสะดวก เพราะมีเส้นทางคมนาคมเชื่อมติดต่อกัน การเดินทางโดยรถยนต์ระหว่างจังหวัดกับอำเภอ ระยะทางที่ไกลที่สุดคือ [[อำเภอชุมพลบุรี]] ระยะทาง 91 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 2 ชั่วโมง ระยะทางที่ใกล้ที่สุดคือ [[อำเภอเขวาสินรินทร์]] ระยะทาง 14 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 30 นาที โดยระยะทางจากตัวจังหวัด (อำเภอเมืองสุรินทร์) ไปยังอำเภอต่าง ๆต่างๆ ของจังหวัดสุรินทร์ เรียงจากใกล้ไปไกล ดังนี้
* [[อำเภอเขวาสินรินทร์]] 14 กิโลเมตร
* [[อำเภอจอมพระ]] 25 กิโลเมตร
บรรทัด 359:
* [[อำเภอชุมพลบุรี]] 91 กิโลเมตร
 
สำหรับการเดินทางในตัวจังหวัด จะใช้การจราจรโดยรถส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์รวมทั้งจักรยาน สำหรับระบบมวลชนจะมี [[รถเมล์ชมพู]], [[ตุ๊กตุ๊ก]], [[มอเตอร์ไซค์รับจ้าง/สามล้อปั่น]] บริการในจังหวัดสุรินทร์ มีสถานีขนส่งภายในตัวจังหวัดเชื่อมต่อจังหวัดและอำเภอต่าง ๆต่างๆ ดังนี้คือ
* [[สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุรินทร์]]
* [[สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอปราสาท]]
บรรทัด 366:
 
;ทางรถไฟ
การคมนาคมทาง[[รถไฟ]] ปัจจุบันมีรถไฟสาย[[กรุงเทพฯ]]-[[สุรินทร์]] โดยผ่าน[[จังหวัดปทุมธานี]], [[อยุธยา]], [[สระบุรี]], [[นครราชสีมา]], [[บุรีรัมย์]] จนถึงสุรินทร์ เปิดการเดินรถเร็ว, รถด่วน, รถด่วนพิเศษ และรถดีเซลรางปรับอากาศ ใช้เวลาในการเดินทาง 6-8 ชั่วโมง เป็นระยะทาง 420 กิโลเมตร
 
;ทางอากาศ
จังหวัดสุรินทร์มี[[ท่าอากาศยานสุรินทร์ภักดี]] ซึ่งในอดีตได้เปิดทำการบินโดยบริษัท [[บางกอกแอร์เวย์]]-[[แอร์อันดามัน]]- [[พีบีแอร์]] ซึ่งเมื่อปลายปี 2552 สายการบินพีบีแอร์จะเปิดทำการบิน แต่เนื่องจากทางบริษัทประสบปัญหาทางหารทางการเงินจึงได้ปิดกิจการไปก่อน จึงไม่สามารถทำการบินได้ ในปัจจุบันสามารถใช้การเดินทางอากาศที่[[ท่าอากาศยานบุรีรัมย์]] มีเที่ยวบินวันละ 5 เที่ยวบิน โดยห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ 80 กิโลเมตร
 
== ประชากรศาสตร์ ==
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 <ref>กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/y_stat54.html. สืบค้น 16 พฤษภาคม 2555.</ref> จังหวัดสุรินทร์มีประชากรทั้งสิ้น 1,380,399 คน แยกเป็นชาย 690,644 คน หญิง 689,755 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 170 คน/ตร.กม. มีจำนวนประชากรมากเป็นลำดับที่ 10 ของประเทศไทย และมีความหนาแน่นเฉลี่ยเป็นลำดับที่ 18 ของประเทศไทย
 
=== กลุ่มชาติพันธุ์ ===
;ชาวไทยกูย - กวย - เยอ
กูย (แปลว่า คน) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ขอม - มอญเก่า หรือกรอม” อีกกลุ่มหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะผิวค่อนข้างคล้ำ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, ชัยภูมิ, กาฬสินธุ์, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์ รวมไปถึง ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, อุดรธานี, นครราชสีมา ชาวกูยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เคยครอบครองดินแดนแถบที่ราบสูงในเขตเทือกเขาพนมดงรัก และลงไปจนถึงแถบทะเลสาบในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน รวมไปถึงถึงในเขตลาวใต้ (เช่น จำปาศักดิ์, อัตตะปือ, แสนปาง เป็นต้น) และเวียตนามใต้บางส่วน ซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิม ในสมัยอยุธยาเคยส่งราชทูตเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรอยุธยา และมีการบันทึกไว้ว่ามีสิทธิทางการค้าเท่าเทียมพ่อค้าชาวตะวันตก บรรพบุรุษในอดีตมีการเดินทางค้าขาย การย้ายถิ่นที่อยู่ไปมาระหว่างกันเสมอ ชาวกูยมีภาษาพูด มีการนับเลขเป็นระบบฐานสิบ และในอดีตมี [[อักษร]]เป็นของตนเองแต่ได้ขาดหายไปอย่างไม่ปรากฏร่องรอย ปัจจุบันได้มีการค้นคว้า และนำ[[อักษรกูย]]มาใช้ใหม่แล้วโดยชมรมชาวกูยแห่งประเทศไทย ชาวกูย/กวยเชี่ยวชาญด้านวิศวกร, สถาปนิก, แพทย์, การปกครอง, ครูบาอาจารย์, นักบวช ชาวกูยในปัจจุบันส่วนใหญ่สามารถพูดสื่อสารภาษาถิ่นในแถบอิสานใต้ได้หลายภาษา ทั้งภาษากูย, กวย, ภาษาลาว และภาษาเขมร นิยมพูดภาษาเป็น 2 กลุ่ม คือ กูย - ลาว อยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม และ นครราชสีมาบางพื้นที่ ซึ่งพูดภาษากูยในปัจจุบันมีคำภาษาลาวปนอยู่ด้วยบางคำ และกูยสุรินทร์ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีตอนล่าง ชาวไทยกูยอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดที่อำเภอศีขรภูมิ, สำโรงทาบ, จอมพระ, สังขะ, บัวเชด, ศรีณรงค์, สนม, ลำดวน, ท่าตูม บางส่วนของอำเภอเมือง, เขวาสินรินทร์ และกาบเชิง ปัจจุบันนับถือพุทธศาสนา, พราหมณ์ ผสมความเชื่อผีบรรพบุรุษ
 
;ชาวไทยเขมร (ขะแมร์)
มีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในท้องที่จังหวัดสุรินทร์ -บุรีรัมย์ ชาวเขมรส่วนใหญ่มีลักษณะผิวขาวเหลือง - ค่อนข้างคล้ำ มีภาษาพูดเป็นของตนเอง ภาษาเขมรป่าดงคล้ายภาษาเขมรในกัมพูชา แต่เสียงเพี้ยนกันอยู่บ้าง เขมรป่าดงแต่เดิมนับถือศาสนาพราหมณ์และผีบรรพบุรุษ ปัจจุบันหันมานับถือพุทธศาสนา ชาวเขมรส่วนใหญ่ชอบ และเชี่ยวชาญงานด้านการเกษตร, ประมง, การเลี้ยงสัตว์, งานบริการ และการละเล่นดนตรี เนื่องบริเวณแอ่งที่ราบลุ่มทะเลสาบโตนเลไปจนถึงบริเวณแถบเวียตนามใต้ในปัจจุบันเป็นพื้นที่เหมาะแก่การทำการเกษตรและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญมาแต่สมัยโบราณ ชาวเขมรอพยบขึ้นมาอาศัยอยู่ในแถบสุรินทร์ และอิสานใต้ต่อเนื่องมา และในช่วงปี[[พ.ศ. 2324]] ทางฝ่ายเขมรเกิดการ[[จลาจล]] โดยเจ้าทะละหะ (มู) กับ[[พระยาวิมลราช]] (ฮู) ฝักใฝ่ในทาง[[ญวน]] และสมัยที่นางดามบุตรีเจ้าเมืองประทายเพชร (คาดว่าเป็นลูกสาวเจ้าเมืองชาวกูยจากฝั่งกัมพูชา) ซึ่งเป็นนายของตนมาเป็น[[สะใภ้]]หลานชายชาวกูยเจ้าเมืองสุรินทร์ จึงพากันอพยพตามเจ้านายมาอยู่ที่เมืองคูประทาย (เมืองสุรินทร์) เป็นอันมาก และอพยบเข้ามาอีกหลายครั้งในช่วงฝรั่งเศสปกครองและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
 
;ชาวไทยลาว
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสุรินทร์ จึงมีเชื้อสายไทยลาวเหมือนกับหลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยได้ใช้ภาษาและวัฒนธรรมที่เมือนกันกับชาวไทยลาวโดยทั่วไป แต่ก็จะมีอยู่ที่แตกต่างในเรื่องของภาษาบ้างในแต่ละท้องถิ่น ชาวไทยลาวอพยบเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้งด้วยเหตุหลายๆ ประการ
 
;ชาวไทยจีน
ชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาก่อตัวเป็นชุมชนขึ้นในจังหวัดสุรินทร์นั้น สาเหตุหลัก ๆหลักๆ มาจากปัญหาการลี้ภัยสงคราม การแตกพ่ายของก๊กต่างๆ การเกณฑ์แรงงานทาสที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานมาหลายพันปีของราชวงศ์ต่างๆ สงครามฝิ่นกับอังกฤษและชาติต่างๆในยุโรป ซึ่งสร้างความวุ่ยวายในแผนดินจีนถึง 100 ปี และต่อเนื่องมาถึงยุคการปฏิวัติประชาธิปไตยสมัย ดร.ซุนยัดเซ็น การปฏิวัติคอมมิวนิสต์นำโดยเหมา เจ๋อ ตง และสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นบุกจีน ที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 54 ปี ในระหว่าง พ.ศ. 2438 – 2492 ทำให้ประชาชนเดือดร้อนลำเค็ญโดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวจีนในจังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง และทางแถบตอนใต้ของประเทศจีนในปัจจุบันได้อพยพลี้ภัยเข้ามายังเมืองไทยเป็นจำนวนมาก สายหนึ่งมาทางเรือ ขึ้นฝั่งที่เมืองบางกอก (กรุงเทพมหานคร) อีกสายหนึ่งผ่านเข้ามาทางเวียดนามและลาว ชุมชนชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดสุรินทร์อาจแบ่งออกเป็นสองถึงสามช่วงใหญ่ ๆใหญ่ๆ ได้แก่ ก่อนการสร้างทางรถไฟผ่านเมืองสุรินทร์ (อพยบข้ามมาจากทางฝั่งชายแดนที่ติดต่อกัน เช่น กัมพูชา และ สปป.ลาว หรือเวียตนาม) และระหว่าง - หลังจากทางรถไฟมาถึงจังหวัดสุรินทร์แล้ว ซึ่งการคมนาคมสะดวกขึ้นทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดและภาคต่างๆของประเทศสะดวกขึ้น ประเทศจีนในปัจจุบันประกอบกันขึ้นมาด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ หลายชนเผ่าพันธุ์, ภาษา, ประเพณี และวัฒนธรรม มีรวมๆ กันประมาณ 56 กลุ่มชาติพันธุ์เป็นอย่างน้อย กระจายอาศัยอยู่ทั่วประเทศจีน เช่น มองโกล, อุยกูร์, ถู่จีอา, ยี, ไต, ฮั่น, จ้วง, หุย, แมนจู, แม้ว ฯลฯ เป็นต้น เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคแถบเอเชียทั้งหมด
 
;ชาวไทยญวน
ชาวไทยเชื้อสายญวน บ้างอาจปรากฏว่า แกว หรือ เวียดนาม (ญวนหรือเวียตนามก็มีหลากหลายชาติพันธุ์/ภาษา/วัฒนธรรม) หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย (สยาม) ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายญวนแบ่งเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ญวนเก่า และญวนใหม่ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มญวนเก่าได้อพยพจากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม และผสมกลมกลืนไปกับคนไทยหมดแล้ว ส่วนญวนใหม่ คือคนที่อพยพเข้ามาในไทยในปี พ.ศ. 2488 (เริ่มการประกาศราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง) และในปี พ.ศ. 2489 (ปีที่เวียตนามเหนือรบชนะสงครามเวียตนาม) และชาวญวนใหม่เหล่านี้ได้ทยอยเข้ามาในไทยจนถึงปี พ.ศ. 2499 ซึ่งกระจายอยู่ในภาคอิสานของไทย, ภาคใต้ และภาคกลาง ซึ่งจริงแล้วในประเทศญวนนั้นก็มีลักษณะทางสังคม ภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ในปัจจุบันเท่าที่มีการสำรวจพบว่าในประเทศเวียตนามมี 54 ชนเผ่า กระจายอาศัยอยู่ทั่วประเทศ แต่เรียกบรรดาผู้คนที่จากบริเวณประเทศเวียตนามในปัจจุบันว่า "ชาวญวน"
 
;ชาวไทยอื่น ๆอื่นๆ
ในปัจจุบันทุกชาติพันธุ์ในจังหวัดสุรินทร์และบริเวณจังหวัดใกล้เคียงได้อาศัยอยู่กันอย่างกลมกลืนตามความเชื่อของตนเอง มีการผสมผสานกันทางภาษา, ประเพณี และวัฒนธรรม ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
 
=== การศึกษา ===
บรรทัด 582:
== วัฒนธรรม ==
=== โบราณวัตถุ ===
* รูปเคารพและส่วนประกอบของปราสาท ได้จากชิ้นส่วนของปราสาทที่ขุดพบทั่วทั้งจังหวัดสุรินทร์ เช่น ทับหลังจำหลักกลีบขนุน, ฐานเทวรูป, เศียรเทวรูป, พระพุทธรูปในสมัยต่าง ๆต่างๆ เป็นต้น
* อาวุธ พบน้อยมากในจังหวัดสุรินทร์ จะพบก็เป็นอาวุธที่เกิดขึ้นใน[[สมัยรัตนโกสินทร์]]เท่านั้น เช่น หอก, ดาบ, ขอช้าง, และง้าว
* เครื่องประดับ พบว่าอยู่ในสมัยขอมโบราณที่เรียกว่าศิลปะ[[ลพบุรี]] เช่น กำไล, กระพรวนที่ทำด้วยสำริด และห่วงคานหาม เป็นต้น
* เครื่องถ้วยและภาชนะดินเผา พบว่าอยู่ในสมัยขอมโบราณ พบที่[[ตำบลสวาย]] และ[[อำเภอศรีณรงค์]] และ[[อำเภอสังขะ]] เช่น ลูกประคำ, ไห, โถ, ชาม, กระปุก เป็นต้น
* สังเค็ด เป็นสังเค็ดของ[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว]]พระราชทานให้วัดจำปา เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
 
บรรทัด 608:
;ศาสนา ความเชื่อและพิธีกรรม
* พิธีกรรมการคล้องช้างและการเซ่นปะกำของชาวกูย กวย
* ศาลปะกำ&nbsp;ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ ตามความเชื่อของ ชาวกวย หรือ กูย นิยมปลูกสร้างไว้ในชุมชนคุ้มบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จาก ศาลปะกำ กันได้ ซึ่งเชื่อกันว่า ขอสิ่งได้ ได้สมปรารถนาดั่งที่ตั้งใจไว้
* งานแซนโฎนตา
* รำมะม๊วด
บรรทัด 614:
 
;สินค้าและของฝาก
* ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ซึ่งมีคุณสมบัติ หอม, ยาว, ขาว, นุ่ม มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ([http://www.ipthailand.go.th/th/gi-002.html สินค้า GI: สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์])
* เม็ดบัวอบกรอบ มาย ขนมขบเคี้ยวที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย
* ผ้าไหมชาวกูย และผ้าไหมพื้นเมืองสุรินทร์
บรรทัด 624:
 
;เทศกาลท่องเที่ยว
* ประเพณีเทศกาลงานช้างและงานกาชาดจังหวัด (มีการแสดงแสงสี การแสดงของช้าง ทั้งในงานและนอกงานที่[[ปราสาทศีขรภูมิ]] และ งานจัดเลี้ยงโต๊ะอาหารช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง (ปุม) รวมสถิติโลกโดย กินเนส เวิรลด์ เรคคอร์ด)
* เทศกาลกันตรึมดนตรีพื้นเมืองสุรินทร์
* การท่องเที่ยวเพื่อตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ณ แหล่งโบราณสถานของอำเภอต่างๆ
บรรทัด 635:
* เทศกาลสนมเมืองดอกจาน ประสานใจไหว้ปู่ตา (มีการประกวดธิดาเมืองดอกจาน ผ้าใหมลายดอกจาน พร้อมแสงสีเสียง และยังมีขบวนแห่ที่ยาวมาที่สุดในภูมิภาคสุรินทร์เหนือ งานจัดแสดงสินค้าของดีเมืองดอกจาน) ณ [[อำเภอสนม]]
* ประเพณีสืบสานตำนานปราสาทภูมิโปน ต.ดม อ.สังขะ (มีการแสดงแสงสีเสียง ตำนานเนียงด็อฮฺธม ช่วงวันที่ 8 - 12 เมษายน ทุกปี)
* ประเพณีบุญบั้งไฟประจำปี ณ.อำเภอรัตนบุรี มีการประกวดขบวนแห่ ขบวนรำ และ จุดบั้งไฟขึ้นสูงใหญ่ที่สุดใน จังหวัดสุรินทร์ ช่วง เดือน พฤษภาคมของทุก ๆ ปี อ.รัตนบุรี
* ประเพณีกวนข้าวทิพย์ลอยฟ้า [[วัดกลางสุรินทร์]] ตำบลในเมือง [[อำเภอเมืองสุรินทร์]] จัดขึ้นก่อนวันออกพรรษาของทุกปี
* งานสมโภชศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและสิ่งศักสิทธิ์คู่เมืองสุรินทร์ (มีการแสดงบนเวทีมากมาย การเชิดสิงห์โต การแสดงงิ้ว มหกรรมอาหารดีหลากหลายของเมืองสุรินทร์)
* ประเพณีเทศกาลไหว้เจ้าพ่อตาดาน ปลายเดือน พ.ย ของทุกปี อ.สังขะ
* เทศกาลปลาไหล ข้าวใหม่หอมมะลิ และงานกาชาด อำเภอชุมพลบุรี จัดขึ้นช่วงสุดสัปดาห์ที่สามในเดือนธันวาคมของทุกปี
* งานสืบสานตำนานปราสาทยายเหงา ช่วงปลายเดือน เม.ย ของทุกปี ต.บ้านชบ อ.สังขะ
* ประเพณีปอ๊อกเปรี๊ยะแค (พิธีไหว้พระจันทร์) วัดดาราธิวาส บ้านขนาดมอญ ตำบลตาตุม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี
* งานไหว้พระธาตุ และงานแสดงแสง สี เสียง “ประวัติศาสตร์ นครธีตา-บ้านธาตุ-เมืองรัตนบุรี” โดยกำหนดงานบุญ ๓-๕ วันในช่วงงานบุญเดือนสาม วันมาฆบูชา (ราวเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี) ส่วนงานเฉลิมฉลองการสร้างเมืองรัตนบุรี หรืองาน “ไหว้เจ้าพ่อศรีนครเตาท้าวเธอ” เจ้าเมืองรัตนบุรีคนแรก นั้นกำหนดช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี หลังจากงานแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์
บรรทัด 705:
* [[ปราสาททอง]] อยู่ที่บ้านแสรออ ตำบลปราสาททอง อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
* [[ปราสาทแก้ว]] อยู่ที่บ้านพระปืด ตำบลแร่ อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
* [[ปราสาทบ้านสนม (ปราสาทวัดธาตุ)]] อยู่ที่วัดธาตุ ภายในศาลเจ้าพ่อศรีนครเตาเท้าเธอ (พระเจ้าจินดา) บ้านสนม อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ สร้างสมัยอาณาจักรขอมเรืองอำนาจประมาณ พ.ศ. 1800 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน พระองค์โปรดให้สร้างที่พักคนเดินทาง และสร้างอโรคยาศาล หรือสถานพยาบาลขึ้นในชุมชนต่าง ๆต่างๆ มากมาย ปราสาทแห่งนี้มีขนาดโดยประมาณ กว้าง 20 เมตร ยาว 25 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร สร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม เดิมมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ประมาณ 2 - 3 โอบ จำนวนมาก ได้แก่ ประดู่, ตะแบก, ยาง, ตะคร้อ, ตาเสือ, คำไก่ ซึ่งปราสาทหลังนี้มองจากทุ่งนา นอกบ้านเห็นเด่นชัด บริเวณรอบ ๆรอบๆ ปราสาทมีสระน้ำเรียงรายทั้งสี่ด้าน ในบริเวณวัด ในบริเวณปราสาท ทางวัดได้รื้อปราสาทลง และก่อสร้างอุโบสถแทน เมื่อ พ.ศ. 2478 และนำชิ้นส่วนปราสาทไปทิ้งไว้ด้านหลังวัด อดีตเคยขุดได้พระพุทธรูปปางต่าง ๆต่างๆ และเทวรูป ปัจจุบันมี 2 องค์ 1 องศ์ อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ และอีก 1 องค์ อยู่ที่ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตาท้าวเธอ คาดว่าสร้างสมัยเดียวกับปราสาทจอมพระ แต่รูปร่างเป็นแบบเดียวกันกับปราสาทศีขรภูมิ
* ปราสาทบ้านธาตุ (วัดโพธิ์ศรีธาตุ) ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์&nbsp;อยู่ห่างจากอำเภอรัตนบุรี ไปตามเส้นทางสายรัตนบุรี-ศรีสะเกษ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข&nbsp; ๒๐๗๖ ประมาณกิโลเมตรที่ ๘ เคยเป็นเมืองเก่าแก่มาแต่โบราณเดิมเป็นเมืองของขอมโบราณ ชื่อว่า “นครธีตา” บ้างก็ว่า “นครจำปา” ซึ่งมีอายุนับได้พันปีมาแล้ว ต่อมาอาจจะมีข้าศึกจากเมืองอื่น ยกทัพมารุกราน ทำลาย หรือเกิดโรคระบาด จนทำให้ผู้คนอพยพหนีจากไป จนกลายเป็นเมืองร้าง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้&nbsp; คือ ๑. กำแพงเมือง คูเมือง&nbsp;ซึ่งเป็นแบบโบราณล้อมรอบบ้านธาตุทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ๒. บึง หรือหนองน้ำ&nbsp;ซึ่งขุดด้วยมนุษย์ ล้อมรอบบ้านธาตุ ทางทิศเหนือและตะวันออก ( ปัจจุบัน คือ หนองบัว-หัวช้าง หนองเบือก หนองแก หนองกอลอ&nbsp; ฯลฯ&nbsp; ) ๓. ประตูเมือง&nbsp;ซึ่งเป็นทางเข้า – ออก ๔ ด้าน คือ ประตูด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ตามสภาพที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ๔. เขตพระราชวัง&nbsp;( โฮง ) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าเมือง ( คือ บริเวณตะวันตกวัดโพธิ์ศรีธาตุในปัจจุบัน ) ๕. สถานที่ประกอบศาสนกิจหรือพิธีกรรมตามความเชื่อ คือ&nbsp; “ วิหาร ” หรือ&nbsp; “ เจดีย์ ” หรือ “ ธาตุ ” หรือ “ เทวสถาน ”&nbsp; ( บริเวณวัดโพธิ์ศรีธาตุ ซึ่งได้แก่&nbsp; ธาตุ หิน ที่ก่อด้วยศิลาแลงหินทราย ในปัจจุบันทางวัดได้ใช้เป็นฐานในการสร้างพระธาตุมณฑป ) นอกจากนี้ ยังมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบและเป็นเนินดิน มีคูน้ำล้อมรอบและมีหมู่บ้านกระจัดกระจายโดยรอบเป็นทุ่งนากว้าง