ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิลเลียม เชกสเปียร์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Cuteystudio (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
Cuteystudio (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 84:
[[ไฟล์:Henry_Fuseli_rendering_of_Hamlet_and_his_father's_Ghost.JPG|thumb|left|ภาพวาด[[แฮมเล็ต]]กับปีศาจของบิดา วาดโดย[[อองรี ฟูเซลิ]] ราวปี ค.ศ. 1780-5]]
ช่วงที่เรียกว่า "ยุคโศก" ของเชกสเปียร์อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1600 - 1608 เขาเขียนทั้งบทละครโศกนาฏกรรมรวมถึงบทละครที่เรียกกันว่า "problem plays" (บทละครกังขา : กล่าวคือไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นละครตลกหรือละครเศร้า อาจเรียกว่าเป็น "ตลกร้าย") ได้แก่ ''Measure for Measure'', ''[[ทรอยลัสกับเครสสิดา]]'', และ ''All's Well That Ends Well''<ref name="bradley">เอ. ซี. แบรดลี่ย์ (1991 edition). ''Shakespearean Tragedy: Lectures on Hamlet, Othello, King Lear and Macbeth''. ลอนดอน: เพนกวิน, 85. ISBN 0-14-053019-3.</ref><ref>Muir, Kenneth (2005). ''Shakespeare's Tragic Sequence''. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 12–16. ISBN 0-415-35325-4.</ref> นักวิจารณ์หลายคนเห็นว่า ละครโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของเชกสเปียร์เป็นตัวแสดงถึงศิลปะอันสูงสุดในตัวเขา วีรบุรุษ [[แฮมเล็ต]] เป็นตัวละครของเชกสเปียร์ที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะบทรำพันของตัวละครที่โด่งดังมาก คือ "To be or not to be; that is the question."<ref name="bradley" /> แฮมเล็ตเป็นตัวละครที่มีปัญหาภายในใจมาก และความลังเลของเขาเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ทว่าตัวละครเอกในโศกนาฏกรรมเรื่องอื่นที่ตามมา คือ ''Othello'' และ ''King Lear'' กลับได้รับผลร้ายจากความรีบเร่งด่วนตัดสิน<ref name="bradley" /> โครงเรื่องโศกของเชกสเปียร์มักเกิดเหตุการณ์ที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าเกิดขึ้น อันนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดและทำลายชีวิตของตัวละครเอกกับคนรัก นักวิจารณ์คนหนึ่งคือ แฟรงค์ เคอร์โมด (Frank Kermode) กล่าวว่า "บทละครไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครหรือผู้ชมสามารถหลุดพ้นจากความโหดร้ายได้เลย"<ref name="bradley" /><ref name="ackroyd" /> ในบทละครเรื่อง ''[[แมคเบธ]]'' ซึ่งเป็นบทละครที่สั้นที่สุดของเชกสเปียร์ ความทะเยอทะยานไม่รู้จบยั่วให้แมคเบธกับภริยา คือเลดี้แมคเบธ ปลงพระชนม์กษัตริย์ผู้ชอบธรรมและชิงบัลลังก์มา ความผิดนี้ทำลายคนทั้งสองในเวลาต่อมา เชกสเปียร์ได้ประพันธ์บทกวีนิพนธ์อันไพเราะลงในงานบทละครโศกชิ้นสำคัญในช่วง
ยุคสุดท้ายของผลงานของเชกสเปียร์หวนกลับไปสู่บทละครโรมานซ์หรือตลกโศกอีกครั้ง โดยมีบทละครสามเรื่องเป็นเรื่องเอกคือ ''Cymbeline'', ''The Winter's Tale'' และ ''The Tempest'' นอกจากนี้ยังมีงานอื่นอีกเช่น ''Pericles, Prince of Tyre'' บทละครทั้งสี่เรื่องนี้มีบรรยากาศของเรื่องค่อนข้างเศร้ากว่าบทละครตลกอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษ 1590 แต่ก็จบลงด้วยความปรองดองและการให้อภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งนี้เกิดจากการที่เชกสเปียร์มีประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น แต่ก็อาจเกิดจากความนิยมในการชมละครที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยได้ด้วยเช่นกัน ยังมีผลงานของเชกสเปียร์ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันที่เชื่อว่าประพันธ์ขึ้นในยุคนี้อีกคือเรื่อง ''พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8'' และ ''The Two Noble Kinsmen'' โดยคาดว่าเป็นงานเขียนร่วมกับ[[จอห์น เฟล็ตเชอร์]]
บรรทัด 90:
=== การแสดงละคร ===
[[ไฟล์:Globe theatre london.jpg|thumb|left|[[โรงละครโกลบ]] หลังที่สร้างขึ้นใหม่ในกรุงลอนดอน]]
ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าเชกสเปียร์เขียนบทละครในยุค
หลังจากคณะละคร ''Lord Chamberlain's Men'' เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ''King's Men'' ในปี 1603 พวกเขาก็เริ่มได้เข้าเฝ้าถวายรับใช้แด่กษัตริย์องค์ใหม่ คือ [[สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเจมส์]] แม้ประวัติการแสดงค่อนข้างจะขาดตอนไม่ต่อเนื่อง แต่คณะละครก็ได้ใช้บทละครของเชกสเปียร์แสดงต่อหน้าพระที่นั่งถึง 7 ครั้ง ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1604 ถึง 31 ตุลาคม ค.ศ. 1605 รวมถึงเรื่อง ''[[เวนิสวาณิช]]'' ที่ได้แสดง 2 ครั้ง<ref name="oxfordshake" /> หลังจากปี 1608 พวกเขาแสดงที่โรงละครในร่ม Blackfriars ในระหว่างฤดูหนาว และแสดงที่โกลบในช่วงฤดูร้อน<ref name="foakes" /> ฉากของโรงละครในร่มเปิดโอกาสให้เชกสเปียร์ได้ทดลองใช้อุปกรณ์ประกอบฉากแบบแปลกใหม่ เช่นในเรื่อง ''Cymbeline'' ฉากการโจมตีของเทพจูปิเตอร์ "ในท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแสงฟ้าผ่า ประทับอยู่เหนืออินทรี ทรงขว้างค้อนสายฟ้า เหล่าปีศาจต่างทรุดลงไป"<ref name="ackroyd" /><ref>ปีเตอร์ ฮอลแลนด์ (ed.) (2000). ''Cymbeline''. ลอนดอน: เพนกวิน; บทนำ, xli. ISBN 0-14-071472-3.</ref>
ในบรรดานักแสดงในคณะละครของเชกสเปียร์ มีนักแสดงผู้มีชื่อเสียงเช่น ริชาร์ด เบอร์บาจ, วิลเลียม เคมป์, เฮนรี่ คอนเดล และ จอห์น เฮมมิ่งส์ เบอร์บาจได้แสดงเป็นตัวละครเอกในบทละครยุคแรก ๆ ของเชกสเปียร์หลายเรื่อง รวมถึง ''ริชาร์ดที่ 3'' ''แฮมเล็ต'' ''โอเธลโล'' และ ''King Lear''<ref>วิลเลียม ริงเลอร์ จูเนียร์ (1997)."Shakespeare and His Actors: Some Remarks on King Lear". จาก ''Lear from Study to Stage: Essays in Criticism''. เจมส์ โอเกิน และ อาเทอร์ ฮอลีย์ สกูเทน (eds.). นิวเจอร์ซีย์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยฟาร์เลย์ ดิคคินสัน, 127. ISBN 0-8386-3690-X.</ref> นักแสดงตลกผู้โด่งดัง วิล เคมป์ แสดงเป็นปีเตอร์คนรับใช้ในเรื่อง ''[[โรมิโอกับจูเลียต]]'' เป็น Dogberry ในเรื่อง ''Much Ado About Nothing''<ref name="compact" /> และบท
=== ต้นฉบับงานเขียน ===
บรรทัด 106:
=== ซอนเน็ต ===
[[ไฟล์:Sonnets1609titlepage.jpg|thumb|ปกหนังสือ ซอนเน็ตของเชกสเปียร์ พิมพ์ในปี ค.ศ. 1609]]
งานกวีนิพนธ์ชุด ''ซอนเน็ต'' ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1609 ถือเป็นงานเขียนที่ไม่ใช่บทละครชุดสุดท้ายของเชกสเปียร์ที่ได้รับการตีพิมพ์ นักวิชาการไม่ค่อยแน่ใจว่า บทกวี 154 ชุดได้ประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาใด แต่เชื่อว่าเชกสเปียร์เขียนโคลงซอนเน็ตระหว่างทำงานอยู่
== ลักษณะการประพันธ์ ==
ลักษณะการประพันธ์บทละครยุคแรก ๆ ของเชกสเปียร์เป็นไปตามสมัยนิยมในยุคของเขา โดยใช้ถ้อยคำภาษาที่มิได้ส่งออกมาจากภาวะในใจของตัวละครหรือตามบทบาทอันแท้จริง<ref>วูล์ฟกัง เคลเมน (2005). ''Shakespeare's Dramatic Art: Collected Essays'', 150. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge. ISBN 0-415-35278-9.</ref> คำพรรณนาในบทกวีก็เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมยอันเพราะพริ้ง ภาษาที่ใช้เป็นลักษณะของสุนทรพจน์อันไพเราะมากเสียกว่าจะเป็นบทพูดจาสนทนากันตามจริง
แต่ต่อมาไม่นาน เชกสเปียร์เริ่มปรับปรุงวิถีทางดั้งเดิมเหล่านั้นเสียใหม่ตามจุดประสงค์ส่วนตัว การรำพึงรำพันกับตัวเองใน ''ริชาร์ดที่ 3'' มีพื้นฐานมาจากวิธีการบรรยายจิตสำนึกของตัวละครในละครยุคกลาง ในขณะเดียวกันก็มีการแสดงบุคลิกตัวละครอย่างชัดแจ้งในระหว่างการรำพันนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกิดขึ้นทันทีทันใดในบทละครเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ฉันทลักษณ์มาตรฐานสำหรับบทกวีของเชกสเปียร์คือ [[blank verse]] ประพันธ์ด้วยมาตราแบบ [[iambic pentameter]] หมายความว่าบทกวีของเขาไม่ค่อยมีเสียงสัมผัส และมี 10 พยางค์ต่อ 1 บรรทัด ออกเสียงหนักที่พยางค์คู่ ฉันทลักษณ์ในบทประพันธ์ยุคแรกก็ยังมีความแตกต่างกับบทประพันธ์ในยุคหลังของเขาอยู่มาก โดยทั่วไปยังคงความงดงาม แต่รูปประโยคมักจะเริ่มต้น หยุด และจบเนื้อหาลงภายในบรรทัด เป็นความราบเรียบจนอาจทำให้น่าเบื่อหน่าย<ref>Frye, Roland Mushat (2005). ''The Art of the Dramatist''. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge. ISBN 0-415-35289-4.</ref> ครั้นเมื่อเชกสเปียร์เริ่มชำนาญมากขึ้น เขาก็เริ่มใส่อุปสรรคลงไปในบทกวี ทำให้มีการชะงัก หยุด หรือมีระดับการลื่นไหลของคำแตกต่างกัน เทคนิคนี้ทำให้เกิดพลังชนิดใหม่และทำให้บทกวีที่ใส่ในบทละครมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นที่ปรากฏใน ''จูเลียส ซีซาร์'' และ ''แฮมเล็ต''<ref>จอร์จ ที ไรท์ (2004). "The Play of Phrase and Line". จาก ''Shakespeare: An Anthology of Criticism and Theory'', 1945–2000. รัสส์ แมคโดนัลด์ (ed.). ออกซฟอร์ด: แบล็กเวลล์, 868. ISBN 0-631-23488-8.</ref>
บรรทัด 117:
หลังจากเรื่อง ''แฮมเล็ต'' เชกสเปียร์ยังปรับรูปแบบการประพันธ์บทกวีของเขาต่อไปอีก โดยเฉพาะการแสดงความรู้สึกสื่อถึงอารมณ์ซึ่งปรากฏในบทละครโศกในยุคหลัง ๆ ในช่วงปลายของชีวิตการทำงานของเขา เชกสเปียร์พัฒนาเทคนิคการประพันธ์หลายอย่างให้ส่งผลกระทบด้านอารมณ์ต่าง ๆ กันได้ เช่น การส่งเนื้อความจากประโยคหนึ่งต่อเนื่องไปอีกประโยคหนึ่ง (enjambment) การใส่จังหวะเว้นช่วงหรือจังหวะหยุดแบบแปลก ๆ รวมถึงโครงสร้างและความยาวประโยคที่แตกต่างกันหลาย ๆ แบบ ผู้ฟังถูกท้าทายให้จับใจความและความรู้สึกของตัวละครให้ได้<ref name="mcdonald">รัสส์ แมคโดนัลด์ (2006). ''Shakespeare's Late Style''. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 0-521-82068-5.</ref> บทละครโรมานซ์ในยุคหลังที่มีโครงเรื่องพลิกผันชวนประหลาดใจ ส่งแรงบันดาลใจให้กับแนวทางประพันธ์บทกวีในช่วงสุดท้าย โดยมีประโยคสั้น-ยาว รับส่งล้อความกัน มีการใช้วลีจำนวนมาก และสลับตำแหน่งประธาน-กรรม ของประโยค เป็นการสร้างสรรค์ผลกระทบใหม่โดยธรรมชาติ<ref name="mcdonald" />
อัจฉริยะในทางกวีของเชกสเปียร์มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสัญชาตญานการทำละคร<ref name="gibbons">ไบรอัน กิบบอนส์ (1993). Shakespeare and Multiplicity. Cambridge: Cambridge University Press, 1. ISBN 0-521-44406-3.</ref> โครงเรื่องละครของเชกสเปียร์ได้รับอิทธิพลจาก [[เปตราก]] และ [[ราฟาเอล โฮลินเชด|โฮลินเชด]] เช่นเดียวกับนักเขียนบทละครคน
== อิทธิพลของเชกสเปียร์ ==
บรรทัด 139:
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เชกสเปียร์ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากนัก แต่ก็ได้รับคำยกย่องสรรเสริญตามสมควร<ref>มาร์ค โดมินิค (1988). ''Shakespeare–Middleton Collaborations''. Beaverton, Or.: สำนักพิมพ์อลิออธ, 9. ISBN 0-945088-01-9.</ref> ปี ค.ศ. 1598 พระนักเขียนชื่อ ฟรังซิส เมเรส ยกย่องเชกสเปียร์ว่า "โดดเด่นที่สุด" ยิ่งกว่านักเขียนชาวอังกฤษทั้งหมดไม่ว่าด้านงานสุขหรือโศกนาฏกรรม<ref>เจอร์ไมนี เกรียร์ (1986). ''William Shakespeare''. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 9. ISBN 0-19-287538-8.</ref> เหล่านักเขียนบทละคร ''Parnassus'' ที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น เคมบริดจ์ นับเนื่องเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ[[เจฟฟรีย์ ชอเซอร์|ชอเซอร์]] [[จอห์น โกเวอร์|โกเวอร์]] และ[[เอ็ดมันด์ สเปนเซอร์|สเปนเซอร์]]<ref name="grady">ฮิว เกรดี (2001). "Shakespeare Criticism 1600–1900". In deGrazia, Margreta, and Wells, Stanley (eds.), ''The Cambridge Companion to Shakespeare''. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 267. ISBN 0-521-65094-1.</ref> ใน First Folio เบน จอห์นสัน เรียกเชกสเปียร์ว่าเป็น "จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย เสียงชื่นชม ความรื่นเริงและความมหัศจรรย์แห่งเวทีของเรา" แม้เขาจะเคยกล่าวในที่แห่งอื่นว่า "เชกสเปียร์ต้องการศิลปะ"<ref name="grady" />
ระหว่าง[[การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ|ช่วงฟื้นฟูราชวงศ์]]ในช่วงทศวรรษ 1660 และปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แนวคิดแบบคลาสสิกเป็นเสมือนแฟชั่นชั่วครู่ชั่วยาม นักวิจารณ์ในยุคนั้นส่วนมากจึงมักจัดระดับงานของเชกสเปียร์อยู่ต่ำกว่า [[จอห์น เฟล็ตเชอร์]] และ [[เบน โจนสัน]]<ref name="grady">Grady, Hugh (2001). ''"Shakespeare Criticism 1600–1900"''. In deGrazia, Margreta, and Wells, Stanley (eds.), ''The Cambridge Companion to Shakespeare''. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 267. ISBN 0-521-65094-1.</ref> ตัวอย่างเช่น โทมัส ไรเมอร์ วิพากษ์วิจารณ์เชิงตำหนิกับการที่เชกสเปียร์นำเรื่องขำขันมาผสมปนเปกับงานโศก อย่างไรก็ดี จอห์น ไดรเดน กวีและนักวิจารณ์อีกคนหนึ่งให้ค่าแก่งานของเชกสเปียร์อย่างสูง เขาพูดถึงโจนสันว่า "ผมนับถือเขา แต่ผมรักเชกสเปียร์"<ref>Dryden, John (1668). ''"An Essay of Dramatic Poesy"''. อ้างถึงโดย Grady ใน ''Shakespeare Criticism'', 269; คำพูดทั้งหมดดูได้จาก: Levin, Harry (1986). ''"Critical Approaches to Shakespeare from 1660 to 1904"''. จาก ''The Cambridge Companion to Shakespeare Studies''. Wells, Stanley (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 215. ISBN 0-521-31841-6.</ref> คำวิจารณ์ของไรเมอร์มีอิทธิพลมากกว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิจารณ์จึงเริ่มกล่าวขวัญถึงถ้อยคำอันงดงามของเชกสเปียร์ และยอมรับถึงอัจฉริยภาพในทางอักษรของเขา งานเขียนเชิงวิชาการหลายชิ้น รวมถึงงานที่โดดเด่นเช่นงานเขียนของ [[ซามูเอล จอห์นสัน]] ในปี 1765 และ [[เอ็ดมอนด์ มาโลน]] ในปี 1790 แสดงให้เห็นถึงความนิยมยกย่องที่เพิ่มพูนขึ้น
ระหว่างช่วง[[ยุคโรแมนติก]] เชกสเปียร์ได้รับยกย่องอย่างสูงจากกวีและนักปรัชญาวรรณกรรม [[แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์]] (Samuel Taylor Coleridge) นักวิจารณ์ชื่อ August Wilhelm Schlegel แปลงบทละครของเขาไปอยู่ในวรรณกรรมโรแมนติกของเยอรมัน<ref>Levin, Harry (1986). "Critical Approaches to Shakespeare from 1660 to 1904". จาก ''The Cambridge Companion to Shakespeare Studies''. Wells, Stanley (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 215. ISBN 0-521-31841-6.</ref> เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำวิจารณ์ยกย่องอัจฉริยะของเชกสเปียร์ก็ยิ่งเลิศลอยมากขึ้น<ref>โรเบิร์ต ซอว์เยอร์, (2003). ''Victorian Appropriations of Shakespeare''. นิวเจอร์ซี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแฟร์เลย์ดิกคินสัน, 113. ISBN 0-8386-3970-4.</ref> โทมัส คาร์ลไลล์ เขียนถึงเขาเมื่อ ค.ศ. 1840 ว่า "เชกสเปียร์ผู้ยิ่งใหญ่ ส่องประกายด้วยมงกุฎแห่งเอกราช อันเจิดจรัสเหนือผองเรา ดำรงซึ่งเกียรติ ศักดิ์ และพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้ใดจักทำลายลงได้"<ref>Carlyle, Thomas (1840). ''"On Heroes, Hero Worship & the Heroic in History"''. อ้างถึงในงานของ เอมมา สมิธ, (2004). ''Shakespeare's Tragedies''. ออกซฟอร์ด: แบล็กเวลล์, 37. ISBN 0-631-22010-0.</ref> การแสดงละครใน[[ยุควิกตอเรีย]]สร้างจากงานของเชกสเปียร์อย่างยิ่งใหญ่อลังการ<ref>Schoch, Richard (2002). "Pictorial Shakespeare". จาก ''The Cambridge Companion to Shakespeare on Stage''. Wells, Stanley, and Sarah Stanton (eds.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 58–59. ISBN 0-521-79711-X.</ref> [[จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์]] นักวิจารณ์และนักเขียนบทละครถึงกับตั้งสมญานามเชิงล้อเลียนให้แก่เชกสเปียร์ว่าเป็น "Bardolatry" (จอมเทพแห่งกวี: มีความหมายเชิงยกย่องแต่แฝงความโบราณคร่ำครึ) และกล่าวว่า งานเขียนร่วมสมัยเชิง[[วรรณกรรมเชิงธรรมชาตินิยม|ธรรมชาตินิยม]]ที่เริ่มจากบทละครของ[[เฮนริก อิบเซน|อิบเซน]] นับเป็นจุดสิ้นสุดยุคของเชกสเปียร์<ref name="grady" />
แต่การปฏิวัติศิลปะยุคใหม่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มิได้ละทิ้งงานของเชกสเปียร์ กลับนำผลงานของเขากลับมาใหม่ตามความพอใจของ[[อาวองการ์ด|ชนชั้นสูง]] กลุ่ม[[ลัทธิเอ็กซเปรสชันนิสม์|เอ็กซ์เพรสชันนิสต์]]ในเยอรมันและพวก[[ลัทธิอนาคตนิยม|ฟิวเจอริสต์]]ในมอสโกต่างนำเอาบทละครของเขากลับมาสร้างสรรค์กันใหม่ นักเขียนบทละครและผู้กำกับนิยมมาร์กซิสต์ ชื่อ Bertolt Brecht ได้สร้างโรงละครย้อนยุคโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเชกสเปียร์ ที.เอส.อีเลียต กวีและนักวิจารณ์แสดงความเห็นค้านกับ[[จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์|ชอว์]] ว่างานของเชกสเปียร์มีความ "เรียบง่าย" อย่างมาก ซึ่งแสดงถึงความทันสมัยของเชกสเปียร์ในยุคเดียวกันนั้น<ref name="grady-post">ฮิว เกรดี (2001). "Modernity, Modernism and Postmodernism in the Twentieth Century's Shakespeare". จาก ''Shakespeare and Modern Theatre: The Performance of Modernity''. Bristol, Michael, and Kathleen McLuskie (eds.). นิวยอร์ก: Routledge, 22–6. ISBN 0-415-21984-1.</ref> อีเลียต ร่วมกับ จี.วิลสัน ไนท์ และโรงเรียนวิจารณ์วรรณกรรมยุคใหม่ มีบทบาทสำคัญในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนี้โดยได้รับอิทธิพลจากผลงานของเชกสเปียร์ ช่วงทศวรรษ 1950 คลื่นการเปลี่ยนแปลงของยุคใหม่เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ยุค "โพสต์-โมเดิร์น" ซึ่งนำการศึกษาวรรณกรรมของเชกสเปียร์เข้าสู่ยุคใหม่ด้วย<ref name="grady-post" /> ทศวรรษ 1980 ลักษณะการศึกษาผลงานของเชกสเปียร์เปิดกว้างต่อศิลปะในรูปแบบ
== ข้อเคลือบแคลงเกี่ยวกับเชกสเปียร์ ==
=== ความเป็นเจ้าของผลงาน ===
หลังจากเชกสเปียร์เสียชีวิตไปแล้วราว 150 ปี ก็เริ่มเกิดข้อสงสัยขึ้นเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของผลงานบางชิ้นของเชกสเปียร์<ref>จอร์จ แมคไมเคิล และ เอ็ดการ์ เอ็ม. เกล็นน์ (1962). ''Shakespeare and his Rivals: A Casebook on the Authorship Controversy''. นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์โอดิสซีย์. OCLC 2113359.</ref> นักเขียนคนอื่นที่อาจเป็นเจ้าของผลงานเหล่านั้นได้แก่ [[ฟรานซิส เบคอน]], [[คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์]] และ[[เอ็ดเวิร์ด เดอ เวียร์ เอิร์ลแห่งออกซฟอร์ด]]<ref>เอช. เอ็น. กิบสัน (2005). ''The Shakespeare Claimants: A Critical Survey of the Four Principal Theories Concerning the Authorship of the Shakespearean Plays''. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 48, 72, 124. ISBN 0-415-35290-8.</ref> แม้ว่าในวงวิชาการจะมีการพิจารณาและปฏิเสธความเป็นเจ้าของงานของผู้น่าสงสัยคน
=== ศาสนา ===
นักวิชาการบางคนอ้างว่าสมาชิกตระกูลเชกสเปียร์นับถือคริสต์ศาสนานิกาย[[โรมันคาทอลิก]] ในยุคที่การนับถือคาธอลิกเป็นการกระทำผิดกฎหมาย<ref>Pritchard, Arnold (1979). ''Catholic Loyalism in Elizabethan England''. Chapel Hill: University of North Carolina Press, 3. ISBN 0-8078-1345-1.</ref> แต่ที่
=== รสนิยมทางเพศ ===
บรรทัด 252:
=== อนุสาวรีย์ ===
[[ไฟล์:Leicestersquareshakespeare.jpg|thumb|อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ ที่จัตุรัสเลสเตอร์]]
ผลจากชื่อเสียงและความนิยมในผลงานของเชกสเปียร์ จึงมีอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์ในประเทศ
# รูปปั้นครึ่งตัวของเชกสเปียร์ที่โบสถ์โฮลี่ทรินิตี้ ในเมืองสแตรทฟอร์ด ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของเชกสเปียร์
# โกเวอร์เมมโมเรียล ที่อุทยานบันครอฟต์ เมืองสแตรทฟอร์ด เป็นรูปปั้นเชกสเปียร์ในท่านั่ง ด้านข้างมีรูปปั้นของเลดี้แมคเบธ เจ้าชายฮัล แฮมเล็ต พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 และฟอลสตัฟฟ์ เป็นตัวแทนหมายถึง ปรัชญา โศกนาฏกรรม ประวัติศาสตร์ และความขบขัน ผู้อนุเคราะห์การก่อสร้างคือลอร์ดโรนัลด์ ซุทเทอร์แลนด์-โกเวอร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888
บรรทัด 261:
=== ละครและภาพยนตร์ ===
เรื่องราวของเชกสเปียร์รวมถึงผลงานของเขาได้รับการดัดแปลงไปยังสื่อ
* ''The Life of Shakespeare'' (ค.ศ. 1914)
* ''Master Will Shakespeare'' (ค.ศ. 1936)
บรรทัด 308:
{{col-end}}
===
นอกจากนี้ยังมี[[ดาวเคราะห์น้อย]]ที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา คือ ดาวเคราะห์น้อย [[2985 เชกสเปียร์]] ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1983
|