ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พริก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
JBot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่
Hh
ป้ายระบุ: ถูกแทน blanking การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1:
{{ตารางจำแนกพันธุ์
| name = พริก (Chilli)
| image =Capsicum_annuum_-_Köhler–s_Medizinal-Pflanzen-027.jpg
| image_caption =พริกขี้หนู
| regnum =[[พืช]] ([[Plantae]])
| divisio =Magnoliophyta
| classis =Magnoliopsida
| ordo =Solanales
| familia =Solanaceae
| genus =Capsicum
| species =
| binomial =
| binomial_authority =
}}
[[ไฟล์:Phrik khi nu.jpg|thumb|right]]
[[ไฟล์:Thai_peppers.jpg|thumb|right]]
'''พริก''' เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae สกุล ''Capsicum'' ชื่อภาษาอังกฤษว่า Chilli peppers, chili, chile หรือ chilli มาจากคำ[[ภาษาสเปน]] ว่า chile โดยส่วนมากแล้ว ชื่อเหล่านี้มักหมายถึง พริกที่มีขนาดเล็ก ส่วนพริกขนาดใหญ่ที่มีรสอ่อนกว่าจะเรียกว่า Bell Pepper ในสหรัฐอเมริกา Pepper ในประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์, capsicum ในประเทศอินเดียกับออสเตรเลีย และ Paprika ในประเทศทวีปยุโรปหลายประเทศ
พริกชนิดต่าง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากทวีป[[อเมริกา]] ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีปลูกกันในหลายประเทศทั่วโลก เพราะพริกเป็นเครื่องเทศที่สำคัญชื่อหนึ่ง และยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน
 
== ชนิดของพริก ==
พริกมีหลายชนิด เช่น [[พริกขี้หนู]] [[พริกหยวก]] [[พริกเหลือง]] [[พริกชี้ฟ้า]] [[พริกหนุ่ม]] [[พริกกะเหรี่ยง]] [[ประเทศไทย]]นั้นมักนิยมปลูกพริกอยู่ 2 ชนิดซึ่งได้แก่
 
# พริกหวาน พริกหยวก พริกชี้ฟ้า (ในกลุ่ม ''C. annuum'')
# พริกเผ็ดได้แก่ [[พริกขี้หนูสวน]] [[พริกขี้หนูใหญ่]] (ในกลุ่ม ''C. furtescens'')
 
== การเพาะปลูก ==
;การเตรียมดิน
:ระหว่างไถพรวน ดินให้รองพื้นด้วยปูนขาว อัตรา 75 ก.ก. ต่อไร่ และปุ๋ย ไบ.โอ.ฮิวมิค.พลัส. อัตรา 50 ก.ก. ต่อไร่ แล้วรดน้ำตาม หรือจะใช้ปุ๋ยดิน ทอง อัตรา 1 แกลลอน (5 ลิตร) ต่อ 1 ไร่ รองพื้น เพื่อปรับสภาพดินและป้องกันกำจัด เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีอยู่ในดิน บ่ม ดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน จึงยกร่องกว้าง 1 เมตร สูง 20 ซม. แล้วจึงคลุมผ้ายาง ทำการ เจาะรูผ้ายางให้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม. ห่างกันประมาณ 50 ซม. เพื่อป้องกันกำจัด วัชพืชในแปลงพริก
 
;การเพาะกล้า
:ทำการแช่เมล็ดพริกโดย ใช้สารชีวภาพที่เร่งรากและใบ อัตรา 3-5 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อเร่งการงอกรากของเมล็ด เมล็ดพริกที่ใช้ปลูกให้แช่ทิ้งไว้ 1 คืน หลังจาก นั้นนำเมล็ดพริกขึ้นจากน้ำ แล้วห่อด้วยผ้า ขาวบางชุบน้ำอีก 1 คืน จึงหว่านเมล็ดลงบน แปลงเพาะ เมื่อต้นกล้าแตกใบแรกหรือ ประมาณ 7 วันหลังหว่าน จึงย้ายมาเพาะต่อ ในถาดหลุมอีกประมาณ 25-30 วัน จึงย้าย กล้ามาปลูกลงแปลงที่เตรียมไว้
 
;การย้ายกล้าลงแปลงปลูก
:ก่อนนำต้นกล้าลงแปลงปลูก ให้ใช้ปุ๋ย ไบ.โอ.ฮิวมัส.พลัส หรือปุ๋ยชีวภาพรองก้นหลุม อัตรา 1 ช้อนแกง ต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อป้องกัน โรครากเน่า โคนเน่าแล้วรดน้ำตามทันที หรืออาจใช้ปุ๋ยดินทอง (ปุ๋ยชีวภาพ) อัตรา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตรราดดินหรือคลุกเคล้ากับดิน เพื่อใช้ในการรองพื้นก่อนการปลูกพืช
 
;การบำรุงต้นและผล
:เพื่อกระตุ้นให้ต้น พริกเจริญเติบโตเร็ว ออกดอกสม่ำเสมอ ให้ผลดก ผลมีขนาดใหญ่ ไม่มีโรคแมลงมา รบกวน ให้ใช้ปุ๋ยทรีซิน อัตรา 50 ซีซี. + ทรี เท็คซีน อัตรา 30 กรัม (เพื่อป้องกันและกำจัด เชื้อรา) + ซิลเวอร์เอ๊กซ์ตร้า บี.96 อัตรา 30 ซีซี. (เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของต้นพริก) และในช่วงออกดอกให้ใช้ซิลเวอร์เอ็กซ์ตร้า สูตรเดตาดอกแทน + ทรีสตาร์ 5 ซีซี. + เซฟตี้ คิล 50 ซีซี. (เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง) + สารจับใบ ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นต้นพริก ทุกๆ 7 วัน ถ้ามีโรคและแมลงมารบกวน ให้ ฉีดพ่นทุก 3-5 วัน และก่อนเก็บผลผลิต ประมาณ 1 สัปดาห์ให้ใช้วานาก้า 20 ซีซี. ฉีดรวมเข้าไปด้วย เพื่อทำให้พริกผลโต สี สวย ได้น้ำหนัก หรือเพื่อความสะดวกและ ประหยัดค่าใช้จ่าย อาจใช้ปุ๋ยชีวภาพปาณิ อัตรา 10 ซีซี.+ปุ๋ยปาณิแครป 10 ซีซี. + น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อกระตุ้นให้ต้นพริกเจริญ เติบโตออกดอกสม่ำเสมอ ให้ผลดก ผลมี ขนาดใหญ่ ไม่มีโรคแมลงรบกวน โดยฉีดพ่น ต้นพริก 7-10 วันต่อครั้ง แต่ถ้ามีโรคแมลงมารบกวน อาจฉีดพ่นทุก 3-5 วันและก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 สัปดาห์
 
;การใช้ปุ๋ย
:หลังย้ายต้นกล้าแล้ว 5 วัน อาจมีการใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ร่วมกับ 15-15-15 อย่างละ 1 กก. ผสมน้ำ 20 ลิตร หยอดบริเวณโคนต้น เพื่อเร่งการเจริญเติบโต หลังจากนั้น 7 วัน หยอดปุ๋ยซ้ำอีกครั้ง โดยเพิ่ม ปริมาณปุ๋ยอีกอย่างละ 1 กก. จนต้นพริกมี อายุ 30 วัน ให้ทำการฝังปุ๋ยสูตร 15-15-15 ร่วมกับ 13-21-0 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อหลุม โดยฝังให้ห่างโคนต้น 1 ฝ่ามือ เพื่อเร่งการ ออกดอก พอต้นพริกอายุได้ 45-50 วัน ให้ทำ การฝังปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อ หลุม เพื่อบำรุงเมล็ดพริก แต่ถ้าสมาชิกจะ หลีกเลี่ยงปุ๋ยสูตรดังกล่าว และหันมาใช้ปุ๋ย ชีวภาพที่มีขายในท้องตลาดเช่น ปุ๋ยปาณิ + ปุ๋ยปาณิแครป อัตรา อย่างละ 10 ซีซี. ฉีดพ่น ทุก 7-10 วันจนต้นพริกเก็บเกี่ยวผลผลิต
 
;การให้น้ำ
:ช่วงย้ายกล้าให้น้ำทุก ๆ 3 วัน จนต้นพริกมาอายุได้ 15 วัน จึงเปลี่ยนเป็น การให้น้ำสัปดาห์ 1 ครั้ง
 
;ปัญหาเรื่องโรคและแมลง
:มีการทำลายน้อยมาก ถ้ามีการใช้ปุ๋ยชีวภาพอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ส่วนมากปัญหาที่พบคือ ยอดหงิก ซึ่งมีสาเหตุมาจากเพลี้ยไฟ ก็อาจ จะมีการป้องกันด้วยการถอนทำลายต้นทิ้ง หรืออาจมีการใช้สารเคมีบ้างในยามที่จำเป็น
 
== สรรพคุณ ==
พริกมี[[วิตามินซี]] สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตใน[[ลำไส้]]และ[[กระเพาะอาหาร]]เพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยัง[[เนื้อเยื่อ]]ของร่างกาย (tissue) สำหรับพริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสาร[[เบต้า - แคโรทีน]]หรือ[[วิตามินเอ]] สูง (พริกขี้หนูสด 140.77 RE )
 
พริกยังมีสารสำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ [[Capsaicin]] และ [[Oleoresin]]โดยเฉพาะสาร Capsaicin ที่ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์รักษาโรค ในอเมริกามีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในชื่อ Cayenne สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
สาร Capsaicin ยังมีคุณสมบัติทำให้เกิดรสเผ็ด ลดความเจ็บปวดของ[[กล้ามเนื้อ]] หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายทั้งชนิดเป็นโลชั่นและ[[ครีม]] ( Thaxtra - P Capsaicin) แต่การใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีผลกระทบต่ออาการหยุดชะงักการทำงานของกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัย USFDA ได้กำหนดให้ใช้สาร capsaicin ได้ ที่ความเข้มข้น 0.75 % สำหรับเป็นยารักษาโรค
 
== สารเคมีในพริก ==
ในพริกนั้นมีสารที่สำคัญคือ Capsaicin นอกจากนั้นยังมีสารอื่นๆที่ให้ความเผ็ดอีก คือ Dihydrocapsaicin ,Nordihydrocapsaicin ,Homodihydrocapsaicin ,และ Homocapsaicin
สาร Capsaicin นี้ ถูกค้นพบในรูปผลึกบริสุทธิ์โดย พี เอ บุชธอลซ์ ต่อมา แอล ที เทรชศึกษาสารนี้และให้ชื่อว่า Capsaicin มีสูตรทางเคมีคือ C18H27NO3 ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยทำให้ประสาทรับความรู้สึกไหม้ที่เนื้อเยื่อ กระตุ้นการผลิตเมือกออกมาป้องกันการระคายเคืองและกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยย พืชจำพวกพริกนี้จะผลิตสารนี้ออกมาเพื่อป้องกันการถูกบริโภคโดยสัตว์กินพืช โดยสารนี้จะพบในเนื้อเยื่อของผลพริก มากกว่าในเมล็ค นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่าแมงมุมทาแรนทูลาก็มีพิษซึ่งมีส่วนประกอบด้วยเช่นกันของสารนี้เช่นกันสาร capsaicin บริสุทธิ์จะมีลักษณะเป็น คริสตัล หรือ ไขใสๆ ไม่มีกลิ่น และมีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ
 
กลุ่มของสารเคมี Capsaicinoid ได้แก่
# [[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]] (Capsaicin)
# [[ไดไฮโดรแคปเซอิซิน|ไดไฮโดร]][[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]] (Dihydrocapsaicin)
# [[นอร์ไดไฮโดรแคปไซซิน|นอร์ไดไฮโดร]][[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]] (Nordihydrocapsaicin)
# [[โฮโมไดไฮโดรแคปเซอิซิน|โฮโมไดไฮโดร]][[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]] (Homodihydrocapsaicin)
# [[โฮโมแคปเซอิซิน|โฮโม]][[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]] (Homocapsaicin)
 
โดยที่[[แคปเซอิซิน|แคปไซซิน]]จะพบในพริกมากที่สุด คือร้อยละ 97 และให้รสเผ็ดมากที่สุด
นักเคมีชื่อ "วิลเบอร์ สโกวิลล์" ได้ศึกษาปริมาณสาร capsaicin ในพริกแต่ละสายพันธุ์จากทั้งโลก และใช้ข้อมูลนี้จัดทำมาตราสโกวิลล์ขึ้น ซึ่งเป็นมาตราวัดความเผ็ดของพริกเมื่อเทียบกับสารแคปเซอิซินบริสุทธิ์ แต่กรรมวิธีการตรวจสอบสารแคปเซอิซินของสโกวิลล์ไม่เที่ยงตรง เนื่องจากเขาใช้การสกัดน้ำจากพริกชนิดนั้น ๆ มาแล้วให้อาสาสมัคร 5 คนลองชิมแล้วให้ความเห็นว่าพริกนั้นเผ็ดประมาณระดับไหน ความไม่เที่ยงตรงนี้ทำให้มีผู้พัฒนาวิธีตรวจสอบสารนี้ในพริกใหม่ โดยให้ชื่อว่า high performance liquid chromatography ซึ่งเป็นการวัดความร้อนที่สารเคมีนี้ผลิตออกมา และนำไปคำนวณโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะได้มาตราแบบใหม่คือ ASTA pungency ยูนิต
สารสำคัญอีกอย่างที่มีอยู่ในพริกและมีประโยชน์ในด้านต้านมะเร็งคือ แคโรทีนอยด์ เราจะสามารถสังเกตได้เลยว่าผักผลไม้ใดมีสารนี้หรือไม่โดยดูจากสี เหลือง ส้ม และ แดง แคโรทีนอยด์นี้ก็คือรูปแบบหนึ่งของสารแคโรทีน โดยมีการรวมตัวกับออกซิเจนทำให้เป็นแคโรทีนอยด์ ในพริกจะมีบีตา-แคโรทีนมากกว่าแอลฟ่าแคโรทีน สารบีตา-แคโรทีนนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก กล่าวคือ เมื่อถูกย่อยในลำไส้เล็กแล้ว จะกลายเป็น เรตินอลซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ และจะถูกเก็บสะสมไว้ในตับเพื่อนำไปใช้ในคราวจำเป็น บีตา-แคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานแคโรทีนอยด์สังเคราะห์ในรูปแบบยาเม็ดอาหารเสริม ซึ่งในปัจจุบัน ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพเป็นจำนวนมาก พวกเขาพบว่าการรับประทานเม็ดแคโรทีนสังเคราะห์เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอด และมะเร็งอีกหลายชนิดมากขึ้น เนื่องจากในยาเม็ดสังเคราะห์จะมีปริมาณแคโรทีนอยด์มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย แต่พวกเขายังไม่ได้ทำการวิจัยในสารแคโรทีนอยด์ธรรมชาติซึ่งมาจากพืช การรับประทานแคโรทีนอยด์มากไปก็ส่งผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นแคโรทีนอยด์จากผักผลไม้ธรรมชาติสดๆ การรับประทานแครอทหรือผักผลไม้ที่มีสารแคโรทีนอยด์มากเกินไป จะทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลือง ซึ่งเรียกว่า ภาวะ carotenemia นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่ภาวะที่ร่างกายมีวิตามินเอมากเกินไปด้วย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
สารสุดท้ายในพริกที่จะกล่าวถึงคือกรด ascorbic acid ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี C6H8O6 วิตามินซี ละลายน้ำได้ พบได้ทั่วไปในพืช และผลไม้ทุกชนิด นอกจากนี้ยังพบในสัตว์หลายชนิดอีกด้วย เป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เป็นตัวการร่วมในการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลในสัตว์ เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนังและหลอดเลือด และช่วยในการขนส่งไขมันไปยังไมโทรคอนเดรียให้สันดาปอาหารได้เป็นพลังงาน
ในสมัยก่อน ยุคที่อังกฤษล่าอาณานิคม ลูกเรือที่เดินทางข้ามทวีปโดยใช้เวลาเป็นเดือน ๆ มักเป็นโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน เจมส์ ลินด์ หมอของบริษัทการค้าอินเดียตะวันออกเป็นคนแรกที่สรุปว่าสารบางอย่างในผลไม้จำพวกส้ม สามารถรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ อีกหลายร้อยปีต่อมา อัลเบิรต์ กอยจี้ และทีมนักวิจัย สามารถแยกวิตามินซีบริสุทธิ์ได้ และตั้งชื่อมันว่ากรดแอสคอบิก
ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ชายคือ 90 มิลลิกรัม หญิงคือ 75 มิลลิกรัม ถ้าหากรับประทานเกินความจำเป็นของร่างกาย ทำให้ปวดท้อง และอาจทำให้ท้องเสียได้
 
{{คอมมอนส์}}
{{วิกิพจนานุกรม|พริก}}
 
[[หมวดหมู่:ผัก]]
[[หมวดหมู่:วงศ์มะเขือ]]
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/พริก"