ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศภูฏาน"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Kimjiho2015 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
|||
บรรทัด 89:
| colspan="4" |'''• อิทธิพลของธิเบตต่อภูฏาน '''
• ตามตำนานปรากฏว่าอิทธิพลของธิเบตมีมากต่อภูฏาน นั้นได้เริ่มต้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อกองทหารของธิเบตได้บุกเข้าไปในภูฏาน ตามคำเชื้อเชิญของชาวภูฏานเพื่อให้ไปขับไล่ผู้บุกรุกจากอินเดีย ครั้นเมื่อชาวธิเบตทำงานสำเร็จแล้ว ก็ไม่ยอมกลับประเทศ เพราะติดใจภูฏาน ดังนั้นจึงมีชาวธิเบตอยู่ในภูฏานตั้งแต่บัดนั้น ต่อมาได้มีการฆ่าพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากโดยพวก Bons ในธิเบต ทำให้ชาวธิเบตอพยพเข้ามาในภูฏานมากขึ้น จนกระทั่งถึง
• การเข้ามาของลามะจากธิเบตนั้นมากันหลายนิกาย และมามากขึ้นในระยะศตวรรษต่อมา ลามะที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็น ลักขะ-ปะ-ลามะ (Sakya-pa-lama) ชื่อ Trinley Rabgyang เดินทางมาภูฏาน ในตอนครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15 และได้มาสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง แม้ว่าอิทธิพลนิกายของเขาจะมีช่วงระยะเวลาที่สั้นก็ตาม พวกลามะนิกายตันตริก (Tantrik lamas) ได้เดินทางมากันเป็นจำนวนมากและมาพำนักอยู่ในภูฏานตะวันตก พวกนี้มาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12-14 อิทธิพลของลามะพวกนี้มีมากทีเดียว ใน
• ประมาณ
• ภายหลังจากที่ศาสนาพุทธเสื่อมลงในอินเดีย ธิเบตก็ไม่ได้ยึดอินเดียเป็นผู้นำทางศาสนาของตนอีกต่อไป ดังนั้นในระยะนี้จึงเกิดมีนิกายต่างๆเกิดขึ้นมากมาย และมีการแข่งขันกันเพื่อจะได้เป็นใหญ่ในธิเบต ในที่สุดนิกายหมวกเหลืองหรือเรียกว่า Geluk-pas ซึ่งมี Dalai Lama เป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นนิกายที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ
|-
| colspan="4" |
บรรทัด 115:
• ในปี 1697 ภูฏานถูกโจมตี 3 ด้านจาก Zhazang Khan หัวหน้าเผ่ามองโกลของธิเบตตอนกลาง 3 ด้านคือ Paro, Bumthang และ Tashigang แต่แล้วทัพมองโกลก็ถูกตีพ่ายแพ้ไป อย่างไรก็ตาม ก็มีศึกมาจากธิเบตอีกเป็นปัญหาเกี่ยวกับการยอมรับการเกิดใหม่ของ Shabdung Rimpoche ได้ทำให้เกิดสงครามล้างผลาญกันระหว่างภูฏานกับธิเบตอีกในปี ค.ศ.1730 ในที่สุดธิเบตก็สามารถยึดครองดินแดนบางส่วนของภูฏานไว้ได้มีการลงนามสงบศึกกัน โดยภูฏานยินยอมส่งผู้แทนไปยัง Lhasa เพื่อแสดงความคารวะและของขวัญกำนัลให้แก่รัฐบาลธิเบต ระบบนี้เป็นที่รู้จักกันคือ lochak ซึ่งปฏิบัติมาจนถึงค.ศ.1951 และมายกเลิกเมื่อจีนได้เข้ามาครอบครองธิเบต
• นอกจากนี้ภูฏานก็ยังมีเรื่องขัดแย้งกับรัฐบาลอินเดีย Cooch Behar ซึ่งขึ้นอยู่กับแคว้นเบงกอล ความขัดแย้งสืบเนื่องมาจากแต่ละฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิเหนือดินแดนตามชายแดนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ครั้นเมื่ออำนาจของโมกุลเสื่อมลง ในระยะต้น
• ในค.ศ.1772 Raikat Ramnarayan ผู้ครอง Cooch Behar ถูกฆ่าตาย โดยฝ่ายที่แย่งชิงอำนาจ เหตุการณ์นี้ได้เปิดช่องทางให้กับภูฏาน กล่าวคือ Shidar ได้เข้าโจมตี Cooch Behar และแต่งตั้งผู้ปกครองแคว้นเสียเอง ต่อมาไม่นานใน Cooch Behar ก็เกิดสงครามการสืบราชสมบัติขึ้นอีก Shidar ก็ได้ส่งกองกำลังจำนวนมหาศาลภายใต้การบังคับบัญชาของหลานชายของเขาเข้ายึดนครหลวง และแต่งตั้งคนของตนขึ้นครองบัลลังก์ กลุ่มที่แย่งชิงอำนาจที่เลวร้ายที่สุดใน Cooch Behar ซึ่งนำโดย Khagendranarayan ได้ร้องเรียนต่ออังกฤษในอินเดียเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งก็พร้อมที่จะช่วย ขณะนั้น Warren Hastings ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอินเดียขณะนั้นก็ตระหนักว่า อังกฤษมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าควบคุม Cooch Behar ดังนั้นเมื่อได้รับคำร้องเรียนก็รีบเร่งส่งกองกำลังไปช่วยทันที ด้วยความช่วยเหลือครั้งนี้ จึงเป็นผลให้ยอมรับอำนาจของบริษัทอังกฤษอินเดียตะวันออกเหนือแดน Cooch Behar ตามสนธิสัญญาที่ทำกันในกัลกัตตา Khagendranarayan ยินยอมชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับกองกำลังที่ส่งไปช่วยเขา และยินยอมให้รายได้ของรัฐครึ่งหนึ่งให้กับชาวอังกฤษในภูฏานอีกด้วย ส่วน Shidar ก็ไม่สามารถที่จะตอบโต้กับกองทหารของอังกฤษได้ และในขณะเดียวกันก็ถูกปฏิวัติซ้อนขึ้นในภูฏานจึงทำให้เขาต้องล่าถอย
บรรทัด 183:
• จิกมี นัมเกล วังชุก เจ้าเมืองตองสา เมื่อชนะศึกภายนอกแล้วก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำฝ่ายฆราวาส แต่ศึกภายในยังไม่สงบ ได้เกิดความขัดแย้งกับสังฆราชาผู้นำศาสนจักรในขณะนั้น ไม่ลงรอยกันในการปกครองเมืองพาโร ทำให้เกิดการสู้รบกัน ชาวดรุกยุลส่วนมากเข้าร่วมสนับสนุน จิกมี นัมเกล ร่วมรบเต็มกำลัง เมื่อจิกมี นัมเกล ได้รับชัยชนะจึงแต่งตั้งให้ อุเกน วังชุก บุตรชายเป็นเจ้าเมืองพาโร แต่บรรดาแว่นแคว้นก็ยังไม่ยอมสยบ จิกมี นัมเกล จึงนำกำลังออกปราบจนราบคาบ และได้อำนาจการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากรวมเมืองใหญ่น้อยเป็นหนึ่งเดียว จิกมี นัมเกล วังชุก จึงเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์วังชุก โดยมี อุเกน วังชุก ผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาร่วมปกครองเมืองสำคัญ เป็นรัชทายาท
• อุเกน วังชุก สวรรคตในปี พ.ศ. 2468 พระราชโอรสพระนามว่า จิกมี ดอร์จี วังชุก ขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดาเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในปี พ.ศ. 2495 สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 3 จิกมี ดอร์จี วังชุก ทรงได้สมญานามว่า “พระบิดาแห่งภูฏานยุคใหม่” พระองค์นำภูฏานเข้าสู่แผนพัฒนาแห่งชาติแห่งชาติ ทรงเปิดรับวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาในภูฏาน แต่พระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จี วังชุก ก็มีพระชนมายุสั้น พระองค์สวรรคตที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
• สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก มกุฎราชกุมาร เข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2517 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 4 ขณะมีพระชนมายุ 18 พรรษา ท่ามกลางอาคันตุกะผู้มีเกียรติจากนานาประเทศ ในท่ามกลางพระราชพิธีทางโหราศาสตร์ ศาสนศาสตร์ และจารีตประเพณีแต่โบราณกาล หลังจากขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได้รับการขนานนามว่าเป็น“พระบิดาแห่งปวงชน” จากการที่ทรงมีนโยบายยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประเทศ
|