ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วงธัญพืช"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Escarbot (คุย | ส่วนร่วม)
robot Adding: sq:Rrathët e drithërave
Manop (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
[[ภาพ:Crop34.jpg|thumb|วงข้าวโพดล้ม หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล]]
{{เก็บกวาด}}
== ประวัติ ==
 
'''วงข้าวโพดล้ม''' หรือ '''ครอปเซอร์เคิล''' (crop circle) เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืชที่ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจาก [[ข้าวโพด]] โดยคำนี้รวมถึง [[ข้าวสาลี]] [[ข้าวบาร์เลย์]] [[ถั่วเหลือง]] โดย ซึ่งครอปเซอร์เคิลนี้มีการพบเจอกันทั่วโลก
[[ภาพ:Crop34.jpg|thumb|วงข้าวโพดล้ม หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า คอร์ปเซอร์เคิล]]
 
== ประวัติ ==
 
คืนหนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ [[อาเทอร์ ชัตเติลวูด]](Arthur Shuttlewood) กับ [[บริซ บอนด์]](Bryce Bond) ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขา[[สตาร์ฮิล]] ใกล้[[เวสมินเตอร์]] เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือ[[ยูเอฟโอ]] คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า '''Crop Circles'''
 
สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 [[เอดวิน เฟอร์]](Edwin Fuhr) ชาวนาแห่ง[[แลงเกนเบิร์ก]](Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของ[[อังกฤษ]] ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้
 
'''คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล''' ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่[[เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์]] อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎี[[อุกกาบาต]]และทฤษฎี[[พายุทอร์นาโด]]ขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบคอร์ปเซอร์เคิลมากขึ้นครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมือง[[วอร์มินสเตอร์]](Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น
ในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ [[เทอร์เรนซ์ มีเดน]](Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทาง[[ฟิสิกส์]]และนัก[[อุตุนิยมวิทยา]]ได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า '''Plasma Vortex''' ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ
 
ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของ[[นักวิทยาศาสตร์]]ญี่ปุ่นคือ ศาสตราจารยโอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา (plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง
ปี 1991 ได้มีการค้นพบคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลหลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปใน[[เยอรมัน]] [[สหรัฐอเมริกา]] [[บราซิล]] [[โรมาเนีย]] [[ฮังการี]]และ[[ญี่ปุ่น]] ยิ่งไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงใหม่เป็น '''Pictrogram''' เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสารกับมนุษย์เริ่มก่อตัวขึ้น
ความซับซ้อนของรูปทรงคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของทฤษฎียูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปีเดียวกันนี้เอง ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลเป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์
เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้[[ไม้กระดาน]]ขนาด 4 ฟุต และ[[เชือก]]เป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืนอย่างเดียวกับพวกเขาด้วย [[นิตรสารไทม์]]ฉบับวันที่ 23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษและของโลกแล้ว
อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับการเผยตัวของนักหลอกลวงคู่นี้ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นในปีต่อมาคือปี 1992 มันเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาพร้อมกับความสลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาดไปกว่า 10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือ[[ศิลปะ|ศิลป]]อันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟูอยู่ทุกวันนี้
 
จนถึงปัจจุบัน มีคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จาก[[สโตนเฮน]](Stonehenge) คอร์ปเซอร์เคิลบางแห่งครอปเซอร์เคิลบางแห่ง สื่อความหมายเกี่ยวกับ[[จักรวาล]] [[แกแล็คซี่]] บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของโลกจากอาวุธ[[นิวเคลียร์]] และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพแวดล้อม
ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลรูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่งข้าวโพดใกล้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilbolton ที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13 อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครบรอบปี ได้เกิดคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลแบบนี้ขึ้นอีก มันคือคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลที่แสดงภาพของ E.T. ห่างจากที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002
สำหรับนักวิจัยแล้ว ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได ้นั่นคือการพบความผิดปกติในลำต้นของพืชในคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลของจริงนั้นลำต้นของพืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือเซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน
ด๊อกเตอร์ วิลเลียม เลเวนกูด (William C. Levengood) เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่านั้นน่าจะเป็น[[ไมโครเวฟ]] ทฤษฎีนี้เรียกว่า '''Microwave Transient Heating''' นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชในคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชในคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าเมล็ดพืชบริเวณใกล้เคียงถึง 45 เปอร์เซ็นต์
 
คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) ภาพจาก BBC
มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก[[มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์]]ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์ คอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ[[สนามแม่เหล็ก]]ในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศรีษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง
 
แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า '''Circlemakers''' โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิลที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล
ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายคอร์ปเซอร์เคิลได้ครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้างแต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยคอร์ปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า “ สาธารณชนไม่ต้องการคำอธิบาย “เขากล่าว
 
== อ้างอิง ==