ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
ลบลิงก์ที่ซ้ำซ้อน wikidata
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ "โจอาคิม วอน ริบเบนทรอพ" → "โยอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ" ด้วยสจห.
บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Anti-Comintern_Pact_signing_1936.jpg|thumb|right|300px|(ซ้าย) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นแห่งนาซีเยอรมนี [[คินโตโม มูชาโคจิ]] และ (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งนาซีเยอรมนี [[โจอาคิมโยอาคิม วอนฟอน ริบเบนทรอพ]] ลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล]]
 
'''กติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น'''<ref>[http://www.royin.go.th/th/download/check_count.php?FileID=951&SystemModuleKey=297 Anglo-French Entente; Entente Cordiale (1904) ถึง Ausgleich]</ref> ({{lang-en|Anti-Comintern Pact}}) คือ สนธิสัญญาเกิดจากความร่วมมือระหว่าง[[นาซีเยอรมนี]]และ[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]] เมื่อวันที่ [[25 พฤศจิกายน]] [[ค.ศ. 1936]] และมีเป้าหมายเพื่อที่จะต่อต้าน[[องค์การคอมมิวนิสต์สากล]] ({{lang-en|Comintern}}) โดยทั่วไป แต่หมายถึง [[สหภาพโซเวียต]] เป็นพิเศษ
บรรทัด 7:
== จุดกำเนิด ==
 
จุดกำเนิดของสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลได้เริ่มต้นเมื่อ[[ฤดูใบไม้ร่วง]] ปี [[ค.ศ. 1935]] เมื่อนายทหารหลายนายของเยอรมนีทั้งในและนอกกระทรวงการต่างประเทศพยายามที่จะรักษาสมดุลในความต้องการทางการแข่งขันโดยขึ้นอยู่กับนโยบายต่างประเทศของนาซีเยอรมนี ซึ่งมีความขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายที่ต้องการจะรักษาความเป็นพันธมิตรกับ[[สาธารณรัฐจีน]] และความปรารถนาส่วนตัวของฮิตเลอร์ที่จะสร้างพันธมิตรใหม่กับ[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]<ref name="p.342">[[Gerhard Weinberg]]: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Diplomatic Revolution in Europe 1933-36'', Chicago: University of Chicago Press, 1970, page 342.</ref> เมื่อถึงเดือนตุลาคม 1935 ข้อเสนอดังกล่าวได้มีการถกเถียงกันว่าพันธมิตรที่มีเป้าหมายเพื่อที่จะต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นจะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง[[พรรคก๊กมินตั๋ง]] นาซีเยอรมนี และจักรวรรดิญี่ปุ่น<ref name="p.342" /> โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิดดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก[[โจอาคิมโยอาคิม วอนฟอน ริบเบนทรอพ]] เอกอัครราชทูตพิเศษและหัวหน้าของ ''Dienststelle Ribbentrop'' และ นายพล[[โอชิมา ฮิโรชิ]] ผู้ช่วยทูตทหารญี่ปุ่นใน[[กรุงเบอร์ลิน]] ซึ่งหวังว่าการรวมตัวเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีจะทำให้จีนยอมจำนนต่อญี่ปุ่นในที่สุด<ref name="p.342" /> แต่ว่าจีนมิได้สนใจในเรื่องดังกล่าวเลย แต่ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 1935 ริบเบนทรอพและโอชิมาได้ลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล<ref name="p.343">Gerhard Weinberg: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Diplomatic Revolution in Europe 1933-36'', Chicago: University of Chicago Press, 1970, page 343.</ref> สนธิสัญญาเบื้องต้นได้ออกมาในตอนปลายเดือนพฤศจิกายน 1935 โดยเชิญให้อังกฤษ อิตาลี จีนและโปแลนด์เข้าร่วมด้วย<ref name="p.343" /> อย่างไรก็ตาม ด้วยความวิตกกังวลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี Konstantin von Neurath และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม จอมพล Werner von Blomberg มีว่าสนธิสัญญาดังกล่าวอาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น รวมไปถึงความยุ่งยากในญี่ปุ่นหลังจากการก่อรัฐประหารในวันที่ [[26 กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 1936]] แต่ไม่สำเร็จ ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวถูกระงับไปเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี<ref>Gerhard Weinberg: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Diplomatic Revolution in Europe 1933-36'', Chicago: University of Chicago Press, 1970, pages 343-344.</ref> เมื่อถึงฤดูร้อนแห่งปี 1936 อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของกำลังทหารในคณะรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นต่างก็เกรงพันธมิตรระหว่างฝรั่งเศส-สหภาพโซเวียต และความปรารถนาของฮิตเลอร์ในด้านนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มีความเชื่อมั่นว่าถ้าหากสามารถดึงอังกฤษเข้ามาเป็นพันธมิตรได้ สนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลก็จะฟื้นขึ้นมาอีก<ref>Gerhard Weinberg: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Diplomatic Revolution in Europe 1933-36'', Chicago: University of Chicago Press, 1970 pages 344-345.</ref> สนธิสัญญาดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ในเบื้องต้นในวันที่ [[23 ตุลาคม]] 1936 และลงนามเมื่อ [[25 พฤศจิกายน]] 1936<ref name="p.346">Gerhard Weinberg: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Diplomatic Revolution in Europe 1933-36'', Chicago: University of Chicago Press, 1970, pages 346.</ref> แต่ว่าเยอรมนีก็ยังต้องการที่จะรักษาสัมพันธไมตรีกับสหภาพโซเวียตต่อไป ดังนั้นตัวสนธิสัญญาจึงได้กล่าวถึงเฉพาะองค์การคอมมิวนิสต์สากล แต่ทว่าในข้อตกลงลับที่ได้เขียนชึ้นมานั้นได้กล่าวว่าถ้าเกิดสงครามระหว่างประเทศหนึ่งประเทศใดกับสหภาพโซเวียตขึ้น ประเทศผู้ลงนามที่เหลือจะวางตัวเป็นกลางจนกระทั่งสงครามยุติ.<ref name="p.346" />
 
== ข้อตกลง ==
บรรทัด 21:
ก่อนหน้านั้น ในเดือนมิถุนายน 1935 [[ข้อตกลงการเดินเรือระหว่างอังกฤษ-เยอรมนี]]ได้ถูกลงนามโดยสหราชอาณาจักรและนาซีเยอรมนี เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามของฮิตเลอร์ทื่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างอังกฤษและเยอรมนี รวมไปถึงแยกสหภาพโซเวียตให้อยู่โดดเดี่ยว ขณะที่อังกฤษและสหภาพโซเวียตต่างก็พยายามแยกเยอรมนีให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน ฮิตเลอร์ยังได้แผ่อิทธิพลไปยังโปแลนด์เพื่อให้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากล และกล่าวถึงความตั้งใจของเขาที่จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับแนวชายแดนเยอรมนี-โปแลนด์<ref>Sean Greenwood: “The Phantom Crisis: Danzig, 1939” pages 225-246 from ''The Origins of the Second World War Reconsidered'' edited by Gordon Martel, Routledge: London, United Kingdom, 1999 page 232; Anna Cienciala: “Poland in British and French Policy in 1939: Determination To Fight-or Avoid War?” pages 413-433 from ''The Origins of The Second World War'' edited by Patrick Finney, Edward Arnold: London, United Kingdom, 1997 page 414; Gerhard Weinberg: ''The Foreign Policy of Hitler's Germany Starting World War II'' 1937-1939, University of Chicago Press: Chicago, Illinois, United States of America, 1980 pages 558-562</ref> อย่างไรก็ตาม โปแลนด์ได้ปฏิเสธข้อตกลงของฮิตเลอร์ ด้วยกลัวว่าถ้าหากยอมทำเช่นนั้น ตนก็อาจจะต้องตกอยู่ใต้อำนาจของนาซี ในเวลาเดียวกันนั้น นักการเมืองญี่ปุ่นหลายคน รวมทั้งพลเรือเอก [[ไอโซโรกุ ยามาโมโต]] ต่างก็ตื่นตระหนกต่อสนธิสัญญาดังกล่าว แต่ว่าผู้บัญชาการทหารระดับสูงของญี่ปุ่นได้เข้ายึดกรุง[[โตเกียว]] ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เยอรมนีเพื่อที่จะทำสัญญากับอังกฤษต่อไป เยอรมนียังคงวางแผนการที่จะทำสงครามกับสหภาพโซเวียตและพันธมิตรตะวันตกต่อไป
 
ความพยายามของฮิตเลอร์ที่จะพัฒนาสัมพันธไมตรีกับอังกฤษประสบความล้มเหลว ในเดือนสิงหาคม 1939 เยอรมนีเองกลับทำลายสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลของตัวเองเมื่อสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพถูกลงนาม ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างสหภาพโซเวียตและเยอรมนีอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปี 1940 ฮิตเลอร์ได้เริ่มวางแผนการรุกรานสหภาพโซเวียต (ซึ่งแต่เดิมกำหนดไว้เมื่อปี 1943) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งนาซีเยอรมนี โจอาคิมโยอาคิม วอนฟอน ริบเบนทรอพ ได้รีบเจรจาสนธิสัญญาฉบับใหม่กับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ [[25 กันยายน]] [[ค.ศ. 1940]] ริบเบนทรอพได้ส่งโทรเลขไปยังนายวีเชสลาฟ โมโลตอฟ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต แจ้งให้ทราบว่าเยอรมนี ญี่ปุ่นและอิตาลีมีความพยายามที่จะรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางการทหาร ริบเบนทรอพได้บอกกับโมโลตอฟว่าการรวมตัวเป็นพันธมิตรในครั้งนี้จะพุ่งเป้าไปยังสหรัฐอเมริกา มิใช่สหภาพโซเวียต:
 
''"เป็นความปรารถนาของผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกซึ่งได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อบีบคั้นมิให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามในครั้งนี้ โดยทำให้พวกเขาได้รู้สึกว่าการเข้าสู่สงครามของพวกเขา จะต้องพบกับศึกหนึกอันประกอบไปด้วยสามชาติมหาอำนาจซึ่งได้ร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น"''