ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอพุทไธสง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Kaoukkrit (คุย | ส่วนร่วม)
Kaoukkrit (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 11:
| postal_code = 31120
| geocode = 3109
| capital = ที่ว่าการอำเภอพุทไธสง<br>หมู่ที่ 1 ถนนอรุณประเสริฐ ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ 31120
| phone = 0 4468 9246
| fax = 0 4468 9246
บรรทัด 17:
| image_map = Amphoe 3109.svg
}}
'''พุทไธสง''' เป็นอำเภอหนึ่งของ[[จังหวัดบุรีรัมย์]]เป็นเมืองประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีชื่อเสียงด้านการเป็นแหล่งทอผ้าไหมมัดหมี่ที่สวยงาม และมีพระคู่บ้านคู่เมือง คือ พระเจ้าใหญ่ วัดหงส์
 
==ประวัติและความเป็นมาของเมืองพุทไธสง==
บรรทัด 63:
*'''กลุ่มแคนดง''' ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจำนวน 16 ชุมชน อยู่ฝั่งน้ำมูลและมีท่าเรือเป็นแหล่งเครื่องปั้นดินเผา
*'''กลุ่มปะเคียบ''' ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจำนวน 5 ชุมชน มีหลักฐานอารยธรรมทวาราวดีหนาแน่น เช่นใบเสมา และเครื่องปั้นดินเผา พระพุทธรูปสมัยทวาราวดีริมมูลบ้านวังปลัด จำนวน 3 องค์ ซึ่งเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพมหานคร
*'''กลุ่มพุทไธสง''' ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจำนวน 15 ชุมชน มีเมืองพุทไธสงเป็นเมืองหลัก ยังมีสถานที่หลงเหลือคือคูเมืองซึ่งเป็นคูน้ำคันดิน สมบูรณ์ เมืองนี้เข้าใจว่ามีคนอยู่อาศัยต่อเนื่องไม่ขาดตอน มีพระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ สมัยทวาราวดี และมีชุมชนย่านเดียวกัน ประกอบไปด้วย เมืองน้อย (อำเภอนาโพธิ์) เมืองขมิ้น(บ้านคูณ) กู่สวนแตง(อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) บ้านจอก (อำเภอนาโพธิ์ )ดอนเมืองแร้ง (ตำบลบ้านจาน) บ้านจิก บ้านเมืองน้อย (ตำบลบ้านแวง) บ้านแดงน้อย (ตำบลพุทไธสง) บ้านเบาใหญ่ บ้านโนนสมบูรณ์ (ตำบลหายโศก) กู่ฤๅษี (อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) เมืองยาง(อำเภอเมืองยาง) บ้านยาง (ตำบลบ้านยาง) หนองสระ บ้านหนองแวง(อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) บ้านดู่ (อำเภอนาโพธิ์) รูปวาดฝาผนังโบสถ์ (วัดบรมคงคา) (ตำบลบ้านแวง) โบสถ์วัดมณีจันทร์ บ้าน(ตำบลมะเฟือง)
*'''กลุ่มเมืองตลุง ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจำนวน 15 ชุมชน มีเมืองตลุงเป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองของคนเขมร
 
ศาสนาฮินดู(พราหมณ์)ในยุคอารยธรรมขอมรุ่งเรือง ขอมได้เข้ามาครอบครองเมืองไทยตั้งแต่เขมรถึงเมืองสุโขทัย พุทไธสงเป็นเมืองหน้าด่านของขอม ก่อนที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มาขับไล่ขอมแล้วตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ยุคนี้จะเป็นยุคที่ขอมนำคนไทยสร้างเมืองโดยการขุดคูคลองล้อมรอบจุดที่ตั้งเมือง และเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานในช่วงอารยธรรมขอมนี้ ซึ่งจะเห็นจากหลักฐานการสร้างปราสาทหินในดินแดนไทย การขุดคูเมืองเป็นคลองล้อมรอบเมืองเป็น 2 ชั้น ตามหลักฐานทางโบราณสถานที่พอจะดูได้คือ กู่สวนแตงที่ตำบลกู่สวนแตง กุฏิฤๅษีที่บ้านกู่ฤๅษี บ้านส้มป่อยในเขต[[อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์]] ปราสาทหินเปือยน้อย [[อำเภอเปือยน้อย]] [[จังหวัดขอนแก่น]] พระธาตุบ้านดู่ ตามสายน้ำลำพังชูเป็นการก่อสร้างโดยใช้หินตัดแบบเดียวกับปราสาทหินเมืองต่ำ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเขาสามยอดลพบุรี หลังจากพระมหากษัตริย์ไทยตั้งเมืองสุโขทัยสำเร็จ สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ขยายอาณาเขตสุโขทัยออกไป เมืองพุทไธสงได้ถูกทำลายทิ้งไป พุทไธสงจึงเป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ชุมชนคนไทยคงรวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนรอบๆ ตัวเมืองเดิม และต่อมามีผู้คนอพยพมาอยู่รวมกันมากขึ้น
 
[[ปรางค์กู่สวนแตง]] ตั้งอยู่ที่กลางบ้านดงยาง ตำบลกู่สวนแตง [[อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์]] [[จังหวัดบุรีรัมย์]] เป็นปรางค์อิฐเรียงกันตามแนวเหนือใต้ จำนวน 2 หลัง บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ขนาด 31.76 -/- 25.40 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์องค์กลางเป็นปรางค์ประธานและเป็นองค์เดียวที่มีมุขยื่นออกมา ทางด้านหน้ารับเสากรอบประตูซึ่งเป็นหิน ปรางค์ทั้งสามองค์มีประตูเข้า – ออก ทางด้านทิศตะวันออกส่วนอีก 3 ด้าน เป็นประตูหลอก มีสระน้ำโบราณเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 42 -/- 32 เมตร ล้อมรอบด้วยคันดิน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามบันทึกของนายเอเดียน เอ็ดมองค์ลูเนต์เดอ ลาจอง กิแยร์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ซึ่งมาศึกษาศาสนสถานแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2450 ว่าจากสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม แสดงให้เห็นว่าได้รับอิทธิพล ศิลปกรรมจากสมัยนครวัดนครธมของกัมพูชาซึ่งมีอายุระหว่าง พ.ศ. 1642 –1718 เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู
 
'''เมืองพุทไธสง''' เป็นถิ่นที่อยู่ของคนไทยอีสานที่มาอยู่รวมกันในแถบลุ่มน้ำมูล เป็นดินแดนที่มีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ทิศเหนือและทิศตะวันออกมีลำพังชู ที่ไหลจากอำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่นลงสู่แม่น้ำมูลที่ตำบลบ้านยาง ทิศใต้มีแม่น้ำมูล และลำสะแทดที่ไหลมาจากอำเภอคง นครราชสีมา ลงสู่แม่น้ำมูลที่ตำบลบ้านจาน ทิศตะวันตกมีลำแอกไหลมาจากอำเภอหนองสองห้องจังหวัดขอนแก่นและอำเภอสีดา นครราชสีมา ไหลลงลำสะแทดที่ตำบลหนองเยือง จะเห็นว่าถิ่นที่อยู่ของคนในจังหวัดบุรีรัมย์ มีอยู่ 3 เมืองใหญ่ๆ ในสมัยเก่าช่วงเดียวกันคือ คนเขมรจะรวมกลุ่มกันอยู่เมืองตลุง(ประโคนชัย) คนไทยโคราชจะรวมกลุ่มกันอยู่ที่เมืองนางรอง คนไทยอีสานรวมกลุ่มกันอยู่ที่เมืองพุทไธสง ซึ่งแสดงว่ามีเมืองอยู่เดิมแล้วในบริเวณที่กล่าวถึงนี้
ตามที่นักโบราณคดีสำนักศิลปากรที่ 12 [[อำเภอพิมาย]] [[จังหวัดนครราชสีมา]] สันนิษฐานว่าเมืองพุทไธสงสร้างมา 3,000 ปีแล้ว จากการค้นพบเศษกระเบื้องและพระพุทธรูปที่ลำน้ำมูลที่บ้านวังปลัด ใบเสมาที่บ้านปะเคียบ พระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ที่บ้านศีรษะแรต
 
'''เมืองพุทไธสง''' มีพระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ บ้านศีรษะแรต เป็นพระพุทธรูปประจำคู่เมืองพุทไธสง สร้างในช่วงราวปี พ.ศ. 1500 เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี เป็นที่เคารพ ของผู้คนทั่วไปมาตั้งแต่โบราณ สร้างด้วยมวลสารและยางบง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.6 เมตร สูง 2 เมตร จะมีงานนมัสการปิดทองพระเจ้าใหญ่ประจำทุกปีในช่วงวันเพ็ญเดือนสาม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานพระพุทธรูปในสมัยเดียวกันในท้องที่อำเภอข้างเคียง เช่น พระพุทธรูปในลำน้ำมูล บ้านวังปลัด ใบเสมาบ้านปะเคียบ เขตอำเภอคูเมืองในปัจจุบัน องค์พระเจ้าใหญ่เป็นศิลปะการก่อสร้างที่แตกต่างไปจากขอม กล่าวคือเป็นศิลปะทางพระพุทธศาสนาโดยสันนิษฐานว่าคงสร้างตามอิทธิพลของอารยธรรมลาว(ล้านช้าง)ในถิ่นนี้ และยังมีพระธาตุ 1 องค์ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวิหารพระเจ้าใหญ่ ส่วนสูงของพระธาตุ 12 เมตร ฐานกว้าง 6 เมตร ก่อด้วยอิฐแดงไม่ฉาบปูนคงจะเป็นรุ่นเดียวกันกับพระธาตุพระพนมฝีมือลาวในสมัยทวารวดี ปัจจุบันได้สร้างพระธาตุใหม่ครอบไว้
 
ในช่วงยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พุทไธสงเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญมาก เป็นกันชนให้ทั้งสามอาณาจักร ไทย ลาว เขมร พร้อมกับเมืองสำคัญที่เป็นเมืองหน้าด่านทางภาคอีสานซึ่งประกอบไปด้วย ด่านจอหอ เมืองพิมาย ในจังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน เมืองพุทไธสง เมืองนางรอง เมืองตลุง(ประโคนชัย) ในจังหวัดบุรีรัมย์ในปัจจุบัน เมืองกัณทราลักษณ์ จังหวัดศีรษะเกษ เมืองกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมืองเหล่านี้เดิมเป็นเมืองใหญ่มีประชากรมากมีเจ้าเมืองปกครอง สามารถเกณฑ์ทหารไปสู้รบ หรือป้องกันตนเอง เป็นหน้าด่านป้องกันศัตรูที่จะเข้าเมืองหลวง และตั้งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี พ.ศ. 1895 (คลังปัญญาไทย กรุงศรีอยุธยาตอนต้นจัดการปกครองแบบกรุงสุโขทัย แบ่งเมืองหน้าด่านออกเป็น 8 ทิศ เรียกว่า เมืองป้อมปราการ และมีหัวเมืองชั้นนอกชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช)
บรรทัด 82:
ตะวันออกเป็นฝั่งเมืองสุวรรณภูมิ โดยให้ขึ้นกับเจ้าพระยาเมืองนครราชสีมา (ประชุมพงศาวดาร ภาค 4 เรื่องพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ของหม่อมอมรวงศ์วิจิตรในพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
 
'''พระเสนาสงคราม''' เดิมชื่อ เพียศรีปาก(นา)เป็นคนไทยลาวอีสาน เกิดที่นครจำปาศักดิ์ ตรงกับสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ. 2289 อพยพมาตั้งหลักแหล่งในเขต[[จังหวัดมหาสารคาม]] แขวงสุวรรณภูมิ ได้นำพรรคพวกมาล่าสัตว์ในเขตพุทไธสง ลุ่มน้ำลำพังซู ได้มาพบพระพุทธรูปใหญ่ในป่าข้างหนองน้ำ เห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะดี ได้นำญาติและพวกๆ มาตั้งรกรากอยู่บ้านศีรษะแรต(พบหัวแรดในหนองน้ำ)ท้าวเพียศรีปาก(นา)
===สมัยเป็นเจ้าเมือง เรียกว่า “อุปฮาดราชวงศ์”===
'''พระเสนาสงคราม''' ต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่หลวงและงานหนักมาก นอกจากภารกิจในชุมชนเมืองพุทไธสงแล้วยังมีภารกิจร่วมปกป้องชาติบ้านเมืองอยู่หลายครั้ง เช่นเมื่อ พ.ศ. 2121 เมื่อคราวกบฏเจ้าอิน เจ้าโอ ที่เมืองนางรอง และเมื่อเมืองนครจำปาศักดิ์คิดแข็งเมืองฝักใฝ่ฝ่ายญวน ทางเมืองหลวงได้มีตราสาร มายังพระเสนาสงคราม ให้ยกกองกำลังไป-ปราบกบฏร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระเสนาสงคราม และท้าวหน่อพุทธางกูล หลวงเวียงพุทไธสงบุตรชายของพระเสนาสงคราม ก็ได้ปฏิบัติภารกิจนี้จนสำเร็จ อย่างมิย่นย่อ ผลจากการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่เกิดผลสำเร็จด้วยดี ของพระเสนาสงครามอันเป็นที่ประจักษ์ต่อเบื้องยุคลบาท ครั้นในปี พ.ศ. 2321 ได้รับทรงแต่งตั้งโดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาเสนาสงคราม เป็นเจ้าเมืองพุทไธสง คนแรก พระยาเสนาสงครามได้ปกครองเมืองพุทไธสงตั้งแต่ พ.ศ. 2318 ถึง พ.ศ. 2370 เป็นเวลา 52 ปี อายุรวม 81 ปี ดังปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่มที่ 40 ภาค 65 – 66 เรื่องพระราชพงศาวดาร ธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) พระเสนาสงคราม มีบุตร 2 คนคือ
#'''ท้าวหน่อพุทธางกูล''' หลวงเวียงพุทไธสง หรือพระนครภักดี ได้เลื่อนเป็น'''พระยานครภักดี''' ได้มีความชอบครั้งไปร่วมรบที่จำปาสัก กลับมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองแปะ(บุรีรัมย์)คนแรก
#'''ท้าวนา''' เป็นพระเสนาสงครามที่ 2 เป็นเจ้าเมืองพุทไธสงคนที่ 2 ต่อจากพระยาเสนาสงคราม ผู้เป็นบิดา เมื่อ พ.ศ. 2370 ได้ปกครองเมืองพุทไธสงถึง พ.ศ. 2407 เป็นเวลา 37 ปี อายุรวม 82 ปี
 
 
บรรทัด 95:
#ให้เจ้าเมืองเข้าไปเมืองหลวงเพื่อศึกษาอบรม (ข้อมูลจาก นายประวัติ วิศิษฎ์ศิลป์ ลำดับหลานพระเสนาสงครามคนสุดท้ายผู้ให้ข้อมูล) ให้รู้จักจารีตประเพณี เจ้าเมือง ได้รับสมุดข่อยปกสีขาว มาเป็นพระธรรมนูญการปกครอง สมุดข่อยปกสีดำมาเป็นกฎหมายแพ่ง
#ได้รับมอบดาบอาญาสิทธิ์ฝังเพชรในฐานะเจ้าเมือง ๑ เล่ม มีสิทธิปกครองโดยเด็ดขาด ไม่ต้องขอพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าอยู่หัว
#ได้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ท้ายโนนมะเฟืองด้านทิศเหนือ สำหรับเก็บน้ำไว้ใช้มีชื่อว่า '''หนองสรวง”สรวง'''
#ขุดดินลอกจากสระน้ำมาถมที่ดินที่เป็นทุ่งนาข้างสระมาสร้างที่ว่าการเจ้าเมือง ในเขตบ้านมะเฟืองในปัจจุบัน
#สร้างวัง (โฮง) สำหรับเจ้าเมือง 1 หลัง ใช้เสาไม้พันชาดซึ่งเป็นไม้ทนทาน(ไม้ชนิดหนึ่งที่เกิดในถิ่นมีเนื้อไม้แข็งใบสีเขียวหม่นลำต้นสีเทาออกไปดำมีเปลือกหนาถ้านำไปทำถ่านจะให้พลังงานความร้อนสูงมาก)
บรรทัด 103:
#เมื่อถึงครบขวบปีต้องส่งเครื่องบรรณาการและเงิน 80 ชั่ง ไปบรรณาการต่อพระเจ้าแผ่นดินที่เมืองหลวง
'''เมืองพุทไธสงทไธสง''' มีเจ้าเมืองผู้ปกครองต่อมาคือ พระเสนาสงครามที่ 2 (ท้าวนาบุตรพระยาเสนาสงครามคนที่ 2) ปกครองเมืองพุทไธสงคนที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2107 เป็นเวลานาน 37 ปี และพระเสนาสงครามที่ 3 (บุตรพระเสนาสงครามที่ 2) ปกครองเมืองพุทไธสงลำดับที่ 3 ตั้งแต่พ.ศ. 2407 ได้สิ้นสุดเมื่อปี พ.ศ. 2440 พระเสนาสงครามที่ 3 ปกครองเมืองพุทไธสงนาน 33 ปี
 
===พุทไธสงยุคเข้าสู่ยุคการปกครองแบบปัจจุบัน===
 
ในช่วงการปกครองต่อจากเมืองพุทไธสง ซึ่งสยามประเทศสมัยกรุงธนบุรีได้มีการจัดตั้งการปกครองต่อจากกรุงศรีอยุธยาแบบจตุสดมภ์ที่มี เวียง วัง คลัง นา(คลังปัญญาไทย การปกครองที่สืบต่อมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. ๑๙๙๑ ช่วงอยุธยา ตอนกลางเป็นผู้ก่อตั้งและต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใน ยุคการเริ่มต้นค้าขายและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ) โดยแยกการทหารออกจากพลเรือน งานจตุสดมภ์ เวียง วัง คลัง นา ให้ถือเป็นฝ่ายพลเรือน โดยให้มีสมุหนายกเป็นผู้ปกครองและตรวจการณ์หัวเมืองฝ่ายเหนือปกครองทั้งทหารและพลเรือน สมุหกลาโหมเป็นผู้ปกครองและตรวจการณ์หัวเมืองฝ่ายใต้ปกครองทั้งทหารและพลเรือน
ในปี พ.ศ. 2417 ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ยุคกรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ได้แบ่งหัวเมืองใหม่ออกเป็น 3 ประเภท คือ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นกลาง หัวเมืองชั้นนอก และได้จัดให้มีการปกครองแบบเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 ให้ยกเลิกการปกครองแบบเดิมและจัดการปกครองแบใหม่ให้มีการประกาศจัดตั้งกระทรวงใหม่ขึ้น 12 กระทรวง โดยจัดสรรอำนาจให้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงวัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวง เกษตราธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงธรรมการ ฯลฯ บรรดาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ ให้อยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด(การปรับปรุงการปกครองเข้าสู่สมัยใหม่เพื่อให้พ้นภัยคุกคามของยุคล่าอาณานิคม) การปกครองหัวเมืองอยู่ในอำนาจของกระทรวงมหาดไทยเป็นการรวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลางได้เกิดมีปัญหาข้อบกพร่องหลายประการ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ให้ปรึกษา ในที่สุด[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้ดำริให้จัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น และให้มีการจัดตั้งมณฑลต่างๆ ขึ้นและปรับปรุงเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ รวม 10 มณฑลประกอบไปด้วย มณฑลมหาราษฎร์ มณฑลพิษณุโลก มณฑลนครสวรรค์ มณฑลเพชรบูรณ์ มณฑลนครราชสีมา มณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล มณฑลอุดร มณฑลชุมพร มณฑลภูเก็ต (มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ดเดิมชื่อมลทณฑลลาวเหนือ มณฑลนครราชสีมาเดิมชื่อ มณฑลลาวกลาง ได้เปลี่ยนชื่อมาใหม่ด้วยเหตุผลความมั่นคงทางการปกครองประเทศลดความแปลกแยกด้านชนชาติ)
 
'''เมืองพุทไธสงทไธสง''' ได้ขึ้นการปกครองตรงต่อเทศาภิบาลเมืองแปะหรือบุรีรัมย์ในปัจจุบัน เมืองแปะขึ้นตรงต่อมลฑลนครราชสีมา (มณฑลถูกยกเลิกเมื่อ ปี พ.ศ. 2475 ช่วงคณะราษฎร์ยึดอำนาจการปกครอง)
พระรังสรรค์สารกิจ (เลื่อน) ข้าหลวงประจำ[[จังหวัดบุรีรัมย์]] (พ.ศ. 2441 – 2444) ได้ให้สร้างเมืองพุทไธสงขึ้นใหม่ที่บริเวณที่ดินในคูเมืองในเขตเทศบาลตำบลพุทไธสงในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2442 ซึ่งเดิมนั้นเป็นป่ารกทึบมีสัตว์ป่า มีภูมิแข็ง มีไก่ป่า นกกระทา ชาวบ้านจะแตะต้องไม่ได้ถ้ามีใครแตะต้องจะต้องเป็นไข้ตาย ลงท้องตาย อาศัยพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินเบิกป่าจึงสามารถผ่าเหตุการณ์ไปได้สะดวกและสามารถสร้างเมืองใหม่ได้สำเร็จ ในเวลาต่อมาได้สร้างที่ว่าการอำเภอพุทไธสง บ้านพักนายอำเภอ บ้านพักปลัดอำเภอ บ้านพักข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชนได้จับจองพื้นที่เป็นที่อยู่อาศัย ทางราชการได้แต่งตั้งให้หลวงเจริญทิพยผลเป็นนายอำเภอปกครองพุทไธสงคนแรก ขึ้นกับเมืองบุรีรัมย์ เมืองพุทไธสงแต่แรกเริ่มจึงเป็นอำเภอพุทไธสงตั้งแต่นั้นมา
โดยแบ่งเขตปกครองออกเป็น 9 ตำบลดังนี้
#ตำบลพุทไธสง
บรรทัด 123:
#ตำบลมะเฟือง
 
เมื่อปี พ.ศ. 2524 ได้แบ่งตำบลนาโพธิ์ ตำบลบ้านคู ตำบลบ้านดู่ ออกเป็น[[อำเภอนาโพธิ์]]
 
เมื่อปี พ.ศ2535 ได้แบ่งตำบลหนองแวง ตำบลทองหลาง และพื้นที่บางส่วนของตำบลบ้านเป้า ออกเป็น[[อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์]]
 
อำเภอพุทไธสง จึงเหลือพื้นที่เขตการปกครองอยู่เพียง 4 ตำบล พื้นที่ 330 ตารางกิโลเมตร และต่อมาได้แยกตำบลเพิ่มขึ้นอีก 3 ตำบล รวมเป็น 7 ตำบลในปัจจุบันดังนี้
บรรทัด 134:
#ตำบลบ้านจาน
#ตำบลหายโศก (แยกจากตำบลบ้านจาน)
#ตำบลบ้านเป้า ซึ่งมีพื้นที่บางส่วนแยกไปเป็นตำบลแดงใหญ่ [[อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์]]
 
==ที่ตั้งและอาณาเขต==