ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ความคลั่งทิวลิป"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
บรรทัด 1:
{{บทความคัดสรร}}
{{ใช้ปีคศ|width = 260px}}
[[ไฟล์:Tulipomania.jpg|thumb|right|260px|ภาพทิวลิปแตกสีเป็นลวดลายที่เรียกว่า “ไวซรอย” ในแคตาลอกขายหัวทิวลิป ค.ศ. 1637 หัว “ไวซรอย” แต่ละหัวตกมีมูลค่าระหว่าง 3000 ถึง 4200 [[ดัชต์กิลเดอร์|โฟลริน]] ขึ้นอยู่กับขนาด ขณะที่ค่าแรงงานของช่างฝีมือในขณะนั้นตกประมาณ 300 โฟลรินต่อปี<ref>Nusteling, H. (1985) Welvaart en Werkgelegenheid in Amsterdam 1540-1860, p. 114, 252, 254, 258. </ref>]]
 
'''คลั่งทิวลิป''' ({{lang-en|Tulip mania, Tulipomania}}; {{lang-nl|Tulpenmanie, Tulpomanie, Tulpenwoede, Tulpengekte, Bollengekte}}) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง[[ยุคทองของเนเธอร์แลนด์]] เมื่อเกิดการตั้งราคาสัญญาการค้าขายหัว[[ทิวลิป]]สายพันธุ์ใหม่กันอย่างสูงผิดปกติจนถึงจุดสูงสุดก่อนที่ราคาจะตกฮวบลงมาอย่างฉับพลัน<ref name="MD2001">"Tulipomania: The Story of the World's Most Coveted Flower & the Extraordinary Passions It Aroused." Mike Dash (2001). </ref> ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1637 ในระหว่างที่ความคลั่งทิวลิปกำลังอยู่ที่จุดสูงสุด ราคาสัญญาการซื้อขายดอกทิวลิปต่อหัวสูงเกินสิบเท่าของรายได้ต่อปีของช่างฝีมือในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เหตุการณ์นี้ถือกันว่าเป็นเหตุการณ์แรกของ[[ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่|ภาวะฟองสบู่จากเก็งกำไร]]<ref>{{Harvnb|Shiller|2005|p=85}} More extensive discussion of status as the earliest bubble on pp. 247–48.</ref> คำว่า "ความคลั่งทิวลิป" กลายมาเป็นคำที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอุปมาเมื่อกล่าวถึงภาวะฟองสบู่ขนาดใหญ่<ref>{{Harvnb|French|2006|p=3}}</ref>
 
เหตุการณ์เกี่ยวกับความคลั่งทิวลิปมาเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายโดยนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษชื่อ [[ชาร์ลส์ แม็คเคย์]] ในหนังสือชื่อ ''Extraordinary Popular Delusions and the Madness of Crowds (ความเพ้อฝันอันวิปริตและความบ้าคลั่งของมหาชน) '' ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1841 แม็คเคย์กล่าวว่าในจุดหนึ่งของการขายถึงกับมีผู้เสนอแลกที่ดิน 12 เอเคอร์เพื่อแลกกับหัวทิวลิปสายพันธุ์ "''Semper Augustus''" เพียงหัวเดียว<ref name=Chap3>"The Tulipomania", Chapter 3, in {{Harvnb|Mackay|1841}}.</ref> แม็คเคย์อ้างว่ามีผู้ลงทุนในการซื้อสัญญาซื้อขายหัวทิวลิปจนหมดตัวเป็นจำนวนมากเมื่อราคาทรุดฮวบลง และผลสะท้อนของตลาดที่ล่มก็ใหญ่พอที่จะสั่นคลอนสภาวะทางเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าหนังสือที่แม็คเคย์เขียนจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกที่ยังคงตีพิมพ์กันอยู่แม้แต่ในปัจจุบันนี้ แต่ความถูกต้องของข้อมูลและข้อสมมติฐานที่กล่าวในหนังสือก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อว่าความคลั่งดอกทิวลิปมิได้เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงตามที่แม็คเคย์กล่าว และบ้างก็เสนอว่าเหตุการณ์นี้มิได้ทำให้เกิดความแปรปรวนของเศรษฐกิจขนานใหญ่ขึ้นแต่อย่างใด<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=100}}</ref>
 
การค้นคว้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความคลั่งทิวลิปเป็นไปได้ยากเพราะข้อมูลจากคริสต์ทศวรรษ 1630 มีเพียงจำกัด—นอกจากนั้นข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีอยู่ก็ยังขาดความเป็นกลาง และมาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเก็งกำไร<ref name=Kuper/><ref> [http://library.wur.nl/speccol/pamphlet.html A pamphlet about the Dutch tulipomania] Wageningen Digital Library, July 14, 2006. Retrieved on August 13, 2008.</ref> แทนที่จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็นความคลั่งของการเก็งกำไรอันไม่มีเหตุผล นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่พยายามให้คำอธิบายอย่างมีเหตุผลถึงสาเหตุของการตั้งราคาอันสูงผิดปกติ แต่คำอธิบายเหล่านี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มของความผันผวนของราคาดอกไม้ชนิดอื่น เช่น [[ดอกไฮยาซินธ์]] ซึ่งก็มีการตั้งราคาที่สูงเกินประมาณเมื่อมีการนำสายพันธุ์เข้าใหม่เข้ามา และราคาก็มาตกฮวบต่อมาเมื่อหมดความนิยมลงเช่นเดียวกับทิวลิป อีกสาเหตุหนึ่งที่อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดทิวลิปล่มอาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบการทำสัญญาการซื้อขายโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในช่วงนั้น ที่มีจุดประสงค์ในการลดความเสี่ยงในตลาดการลงทุนของผู้ซื้ออนาคต โดยการอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถยุบเลิกสัญญาการซื้อขายได้โดยเสียค่าปรับเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าของสัญญาทั้งหมด แต่บทบังคับนี้กลับได้ผลตรงกันข้ามและทำให้ราคาทิวลิปยิ่งถีบตัวสูงหนักขึ้นไปอีกจนเป็นผลให้ตลาดทิวลิปล่มสลายในที่สุด
 
== ประวัติ ==
[[ไฟล์:Flora's Malle-wagen van Hendrik Pot 1640.jpg|thumb|300px|right|จิตรกรรม[[อุปมานิทัศน์]]ของความคลั่งทิวลิปโดย[[เฮนดริค เกอร์ริทสซ โพต]] (Hendrik Gerritsz Pot) ที่เขียนราว ค.ศ. 1640 เป็นภาพ[[เทพีฟลอรา]]ผู้เป็นเทพีแห่งดอกไม้นั่งบนเกวียนที่ถูกพัดด้วยสายลมที่นำไปสู่ความหายนะในทะเลพร้อมกับคนเมา คนให้ยืมเงิน และสตรีสองหน้า ที่ตามด้วยขบวนช่างทอชาวฮาร์เล็มที่เต็มไปด้วยลุ่มหลงในการลงทุน]]
 
[[ทิวลิป]]ได้รับการนำเข้ามาใน[[ทวีปยุโรป]]จาก[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และกลายมาเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายใน[[สาธารณรัฐดัตช์]] (ปัจจุบัน คือ [[เนเธอร์แลนด์]]) <ref>{{Harvnb|Garber|1989|p=537}}</ref> การปลูกทิวลิปในสาธารณรัฐดัตช์เชื่อกันว่าเริ่มกันขึ้นอย่างจริงจังราว ค.ศ. 1593 หลังจากที่นักพฤกษศาสตร์เฟล็มมิช[[ชาร์ลส์ เดอ เลอคลูส์]]ได้รับตำแหน่งที่[[มหาวิทยาลัยไลเดน]]และก่อตั้ง “สถาบันพฤกษศาสตร์แห่งไลเดน” (Hortus Botanicus Leiden) ขึ้น<ref>{{Harvnb|Dash|1999|pp=59–60}}</ref> เลอคลูส์ปลูกทิวลิปที่สถาบันจากหัวทิวลิปที่ส่งมาจาก[[ตุรกี]]โดยราชทูต[[โอชีร์ เดอ บูสเบคก์]]ใน[[สมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ในราชสำนักของสุลต่าน[[สุลัยมานมหาราช]] ทิวลิปที่ปลูกเป็นสายพันธุ์ที่สามารถทนทานกับภาวะอากาศในบริเวณ[[กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ]]ได้<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=32}}</ref> ไม่นานหลังจากนั้นการปลูกทิวลิปก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายโดยทั่วไปในเนเธอร์แลนด์<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=33}}</ref>
 
ทิวลิปกลายมาเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างรวดเร็วและเป็นสิ่งที่เป็นแสดง[[สัญลักษณ์แสดงฐานะ]]ของผู้เป็นเจ้า ซึ่งทำให้เกิดความนิยมในการแสวงหาหัวทิวลิปมาเป็นเจ้าของกันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทิวลิปสายพันธุ์ใหม่ๆ ถูกพัฒนาขึ้นและจัดเป็นกลุ่ม เช่นทิวลิปสีเดียวที่รวมทั้งสีแดง เหลือง และ ขาวอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “Couleren” แต่ทิวลิปที่เป็นที่คลั่งไคล้กันมากที่สุดคือทิวลิปสีผสม หรือ “ทิวลิปแตกสี” (broken tulip) ที่มีลวดลายหลายสีในดอกเดียวกันที่มีชื่อเรียกกันไปต่างๆ แล้วแต่สายพันธุ์เช่น “Rosen” (แดงหรือชมพูบนพื้นสีขาว) “Violetten” (ม่วงหรือม่วงอ่อนบนพื้นสีขาว) หรือ “Bizarden” (แดง น้ำตาลหรือม่วง บนพื้นสีเหลือง) <ref>{{Harvnb|Dash|1999|p=66}}</ref> ทิวลิปสีผสมที่นิยมกันนี้จะออกดอกที่มีสีเด่นสะดุดตาและมีลวดลายเป็นเส้นหรือเป็นเปลวบนกลีบ ลักษณะที่เป็นลวดลายนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตามที่ทราบกันในปัจจุบันที่เรียกว่า “[[ไวรัสทิวลิปแตกสี]]” ซึ่งเป็นไวรัสพืชในกลุ่มไวรัสโมเสก (mosaic virus) <ref>Phillips, S. "[http://image.fs.uidaho.edu/vide/descr849.htm Tulip breaking potyvirus]", in Brunt, A.A., Crabtree, K., Dallwitz, M.J., Gibbs, A.J., Watson, L. and Zurcher, E.J. (eds.) (1996 onwards). ''Plant Viruses Online: Descriptions and Lists from the VIDE Database.'' Version: August 20, 1996. Retrieved on August 15, 2008.</ref><ref>{{Harvnb|Garber|1989|p=542}}</ref>
 
[[ไฟล์:Ambrosius Bosschaert, the Elder 01.jpg|left|thumb|220px|“ภาพนิ่งของดอกไม้” โดย[[อัมโบรเชียส บอสเชิร์ต]] (Ambrosius Bosschaert) (ค.ศ. 1573-ค.ศ. 1621) จิตรกร[[ยุคทองของเนเธอร์แลนด์]]]]
บรรทัด 29:
เมื่อการปลูกทิวลิปกลายมาเป็นที่นิยมกันมากขึ้น ผู้ปลูกอาชีพก็ซื้อขายหัวทิวลิปที่เชื่อกันว่าจะแตกสี (โดยที่ขณะนั้นไม่เป็นที่ทราบว่าเกิดจากไวรัส) กันด้วยราคาที่สูงขึ้นเป็นลำดับ เมื่อมาถึง ค.ศ. 1634 แรงผลักดันราคาทิวลิปที่ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการของทิวลิปในฝรั่งเศส ก็เริ่มทำให้มีผู้เก็งกำไรเข้ามามีบทบาทในตลาด<ref>{{Harvnb|Garber|1989|p=543}}</ref> ในปี ค.ศ. 1636 ดัตช์ก็เริ่มก่อตั้ง[[ระบบการซื้อขายล่วงหน้า|ตลาดการซื้อขายล่วงหน้า]]ที่สัญญาการซื้อหัวทิวลิปเมื่อสิ้นฤดูสามารถนำมาซื้อขายกันในตลาดได้ ผู้ค้าขายจะพบกันใน “colleges” ในโรงเหล้า โดยผู้ซื้อต้องจ่าย "ค่าธรรมเนียมไวน์" 2.5% ซึ่งอาจสูงถึง 3 โฟลรินต่อหนึ่งสัญญา แต่ไม่มีฝ่ายใดที่ต้องจ่ายหลักประกันขั้นต้น (initial margin) หรือ ปรับมูลค่าตามราคาตลาด (mark to market) และสัญญาทั้งหมดเป็นสัญญาระหว่างบุคคล มิใช่สัญญาที่ทำกับตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่มีการส่งมอบสินค้าจริงตามสัญญาเพราะตลาดทิวลิปล่มสลายลงในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1637 การค้าขายนี้มีศูนย์กลางที่ฮาร์เล็มในช่วงที่เป็นจุดสูงสุดของ[[การระบาดของกาฬโรคในยุโรป]] ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้มีการเสี่ยงกันเกินกว่าเหตุก็เป็นได้<ref>{{Harvnb|Garber|2000|pp=37–38, 44–47}}</ref>
 
ตลอดปี ค.ศ. 1636 ราคาสัญญาของหัวทิวลิปที่หายากก็ยังคงถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกายน ราคาสัญญาทิวลิปธรรมดาที่ไม่แตกสีก็เริ่มสูงตามขึ้นไปด้วย ดัตช์เรียกสัญญาการซื้อขายทิวลิปว่า "windhandel" ซึ่งหมายถึง "การซื้อขายลม" เพราะตัวหัวทิวลิปมิได้มีการแลกเปลี่ยนมือกันจริง ๆ ตามสัญญาซื้อขายกันล่วงหน้า<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=322}}</ref> แต่เมื่อมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1637 สัญญาการซื้อขายหัวทิวลิปก็ล่มในทันทีและการค้าขายหัวทิวลิปก็ยุติลงตามไปด้วยหลังจากนั้น<ref>{{Harvnb|Garber|1989|pp=543–44}}</ref>
 
=== ข้อมูลที่มี ===
บรรทัด 37:
== "ความคลั่งของมหาชน" โดยแม็คเคย์ ==
{| class="infobox" style="float:right; clear:all; margin-left:1em; margin-right:1em; margin-top:0em; font-size:90%; width:180pt;"
! style="background:#DCDCDC;" colspan = "2"|สินค้าทั้งหมดที่แลกเปลี่ยนกับ<br />หัว “ไวซรอย” เพียงหัวเดียว<ref name=Mac3/>
|-
! style="background:#000000;" colspan = "2"|
|-
| width = "110pt"|ข้าวสาลีสอง lasts
บรรทัด 85:
แม็คเคย์บรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยอาศัยแหล่งข้อมูลจากงานเขียน “ประวัติการประดิษฐ์ การค้นพบ และที่มา” ที่เขียนในปี ค.ศ. 1797 โดย[[โยฮันน์ เบ็คมันน์]] เป็นส่วนใหญ่ และในงานเขียนของเบ็คมันน์ก็ใช้จุลสารอีกสามเล่มที่เขียนโดยนักประพันธ์นิรนามที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1637 ที่เป็นเอกสารที่มีจุดประสงค์เบื้องหลังของการเขียนเพื่อการต่อต้านการเก็งกำไร เป็นแหล่งข้อมูลอีกทีหนึ่ง<ref>{{Harvnb|Garber|1990|p=37}}</ref> หนังสือของแม็คเคย์ที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้งเป็นที่นิยมกันโดยนักเศรษฐศาสตร์และบรรดาผู้มีบทบาทในการค้าขายหุ้นอยู่หลายชั่วคน และความเป็นที่นิยมนี้ก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อมา แม้ว่าเนื้อหาที่เกี่ยวกับความคลั่งทิวลิปของสภาวะ[[ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่|ฟองสบู่ของการเก็งกำไร]]จะมีความบกพร่อง และแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ในคริสต์ทศวรรษ 1980 จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าสมมติฐานหลายประการของหนังสือไม่ค่อยถูกต้องนักก็ตาม<ref>{{Harvnb|Garber|1990|p=37}}</ref>
 
ตามความเห็นของแม็คเคย์การตื่นตัวของความแพร่หลายของทิวลิปเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1600 ทำให้ชนทั้งชาติต่างก็หันมาให้ความสนใจกับการซื้อขายทิวลิป -- “ประชาชนแม้กระทั่งชนชั้นล่างสุดต่างก็หันมามีส่วนร่วมในการค้าขาย”<ref name=Chap3/> เมื่อถึง ค.ศ. 1635 ก็มีการบันทึกถึงการขายหัวทิวลิป 40 หัวเป็นจำนวนเงิน 100,000 [[กิลเดอร์ดัตช์|โฟลริน]] (หรือที่เรียกว่า[[ดัตช์กิลเดอร์]]) เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเนยในขณะนั้นที่ค้าขายกันในราคา 100 [[กิลเดอร์ดัตช์|โฟลริน]]ต่อหนึ่งตัน หรือช่างฝีมือที่มีรายได้ราว 150 [[กิลเดอร์ดัตช์|โฟลริน]]ต่อปี หรือ “หมูอ้วนแปดตัว” มีราคา 240 [[กิลเดอร์ดัตช์|โฟลริน]]<ref name=Chap3/> (จากการตั้งค่าของสถาบันประวัติศาสตร์สังคมศาสตร์นานาชาติ หนึ่ง[[กิลเดอร์ดัตช์|โฟลริน]]สามารถมีค่าเท่ากับ [[ยูโร|€]]10.28 ตามค่าเงินในปี ค.ศ. 2002<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=323}}</ref>)
 
เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1636 ทิวลิปก็ค้าขายกันใน[[ตลาดหลักทรัพย์]]ตามเมืองต่างๆ ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการทำให้การค้าขายเป็นที่แพร่หลายไปยังผู้คนระดับต่างๆ ของสังคม แม็คเคย์กล่าวว่าประชาชนบางคนถึงกับนำทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาใช้ในการเก็งกำไร เช่นการเสนอราคาแลกเปลี่ยนที่ดิน 12 เอเคอร์ (49,000 ตารางเมตร) กับหัว “Semper Augustus” หัวเดียวหรือสองหัว หรือการแลกหัว “ไวซรอย” กับสินค้าต่างๆ ตามรายการบนตารางทางขวาเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,500 โฟลรินเป็นต้น<ref name=Mac3>This basket of goods was actually exchanged for a bulb according to Chapter 3 of {{Harvnb|Mackay|1841}} and also {{Harvnb|Schama|1987}}, but Krelage (1942) and {{Harvnb|Garber|2000 |pp=81–83}} dispute this interpretation of the original source, an anonymous pamphlet, saying that the commodity bundle was clearly given only to demonstrate the value of the Dutch guilder at the time.</ref>
บรรทัด 106:
[[ไฟล์:Semper Augustus Tulip 17th century.jpg|thumb|right|240px|ภาพเขียนสีน้ำของทิวลิป “''Semper Augustus''” โดยจิตรกรนิรนามของคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่เป็นทิวลิปที่ได้ชื่อว่ามีราคาสูงที่สุดที่ขายระหว่างความคลั่งทิวลิป]]
 
คำอธิบายของแม็คเคย์ถึงพฤติกรรมอันไม่มีเหตุผลของมวลชนไม่มีผู้ใดค้านและตรวจสอบมาจนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษ 1980<ref>{{Harvnb|Garber|1989|p=535}}</ref> แต่การค้นคว้าเรื่องความคลั่งทิวลิปตั้งแต่นั้นมาโดยเฉพาะจากผู้สนับสนุน[[สมมติฐานประสิทธิภาพของตลาด]]<ref>{{Harvnb|Kindleberger|2005|p=115}}</ref> ผู้ไม่มีความเชื่อมั่นในทฤษฎีฟองสบู่จากการเก็งกำไรโดยทั่วไปตั้งข้อเสนอว่า เรื่องราวของความคลั่งทิวลิปเป็นเรื่องที่ไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้อง ในการวิจัยทางวิชาการในบทวิจัย “ความคลั่งทิวลิป” โดยแอนน์ โกลด์การ์ ตั้งข้อเสนอว่าเหตุการณ์นี้จำกัดอยู่แต่เฉพาะกับ “กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องจริงเพียงจำนวนน้อย” และเรื่องต่างๆ ที่ได้รับบันทึกในช่วงนั้นก็เป็นเรื่องที่ “มีพื้นฐานมาจากงาน[[โฆษณาชวนเชื่อ]]ร่วมสมัยเพียงชิ้นสองชิ้น และจากเอกสารที่เป็นงาน[[โจรกรรมทางวรรณกรรม]]เสียเป็นส่วนใหญ่”<ref name=Kuper>Kuper, Simon "[http://www.ft.com/cms/s/50e2255e-0025-11dc-8c98-000b5df10621.html Petal Power]" (Review of {{Harvnb|Goldgar|2007}}), “Financial Times”, May 12, 2007. Retrieved on July 1, 2008.</ref> ปีเตอร์ การ์เบอร์ค้านว่าลูกโป่งระเบิดครั้งนี้ “ไม่มีความหมายมากไปกว่าเกมที่เล่นกันในวงเหล้าระหว่างฤดูหนาวโดยประชาชนที่ต้องประสบกับโรคระบาดที่ใช้ความตื่นตัวของตลาดทิวลิปเป็นเครื่องมือ”<ref>{{Harvnb|Garber|2000|p=81}}</ref>
 
ขณะที่แม็คเคย์อ้างว่าผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์มาจากทุกระดับของสังคม แต่งานศึกษาของโกลด์การ์กล่าวว่าแม้กระทั่งในขณะที่ปริมาณการค้าขายทิวลิปถึงจุดสูงสุด ผู้เข้าร่วมในการซื้อขายก็จำกัดอยู่แต่เฉพาะกลุ่มพ่อค้า และช่างฝีมือที่มีฐานะดี โดยไม่มีผู้เข้าร่วมผู้ใดที่มาจากชนระดับขุนนาง<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=141}}</ref> เศรษฐกิจที่ล่มหลังจากตลาดทิวลิปหดตัวก็เป็นเพียงจำกัด โกลด์การ์ผู้พบชื่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กล่าวว่ามีก็เพียงบุคคลไม่กี่คนที่ได้รับผลกระทบกระเทือนทางการเงินจากช่วงเวลานี้ และในกรณีของบุคคลเหล่านี้ก็ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าเป็นปัญหาทางการเงินที่มาจากการค้าขายทิวลิปหรือไม่<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|pp=247–48}}</ref> ข้อสรุปนี้ก็ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเท่าใดนัก เพราะแม้ว่าราคาทิวลิปจะสูงขึ้นแต่ก็มิได้มีการแลกเปลี่ยนตัวเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายกันจริง ๆ ฉะนั้นกำไรของผู้ขายจึงเป็นกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง นอกจากว่าผู้ขายจะนำเครดิตไปทำการซื้อต่อเพื่อหวังผลกำไร ราคาที่ทรุดลงจึงมิได้มีผลให้ผู้ใดต้องเสียเงินจริงๆ<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=233}}</ref>
บรรทัด 112:
=== คำอธิบายด้วยเหตุผล ===
 
ไม่มีใครโต้แย้งว่าเหตุการณ์การขึ้นและตกของตลาดทิวลิปที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1636 ถึงปี ค.ศ. 1637 นั้นมิได้เกิดจริง แต่ก็มิได้หมายความว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็น [[ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่|ภาวะเศรษฐกิจลูกโป่งแตก]] หรือการระเบิดของการเก็งกำไร การที่ความคลั่งทิวลิปจะถือว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจลูกโป่งแตกได้ก็เมื่อราคาของหัวทิวลิปเกินเลยแยกตัวจาก[[มูลค่าในตัว]]ของหัวทิวลิปเอง นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ตั้งข้อเสนอหลายข้อในการพยายามอธิบายถึงราคาที่ขึ้นและตกของหัวทิวลิปที่ไม่ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่าภาวะลูกโป่งแตก<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=100}}</ref>
 
ราคาที่สูงขึ้นในปีคริสต์ทศวรรษ 1630 ประจวบกับช่วงเวลาการชะลอตัวของ[[สงครามสามสิบปี]]<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=103}}</ref> ฉะนั้นก็ดูเหมือนว่าตลาดจะตอบโต้สถานการณ์อย่างมีเหตุผล (อย่างน้อยก็ในระยะแรก) ในการตอบรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อราคาตกอัตราการตกเป็นไปอย่างไม่ได้สัดส่วนกับเมื่อราคาขึ้น ข้อมูลการขายส่วนใหญ่หายไปหลังจากที่ราคาตกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1637 แต่ข้อมูลที่ยังเหลืออยู่ชี้ให้เห็นว่าราคาของหัวทิวลิปหลังจากเหตุการณ์ความคลั่งทิวลิปก็ยังคงตกลงเรื่อยมาจนอีกหลายสิบปีต่อมา
บรรทัด 132:
ก่อนที่รัฐสภาจะออกประกาศ ผู้ซื้อสัญญาทิวลิป—หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า[[สัญญาซื้อขายล่วงหน้า]] (futures contract) —ต้องซื้อหัวทิวลิปตามกฎหมาย ประกาศใหม่เปลี่ยนแปลงลักษณะสัญญาที่ถ้า[[ราคาทันที]] (Spot price) ตกผู้ซื้อก็มีโอกาสที่จะจ่ายเฉพาะค่าปรับและเลิกสัญญาโดยไม่ต้องจ่ายเต็มราคาตามที่ตกลงกันในสัญญา การเปลี่ยนกฎหมายนี้หมายความตามภาษาสมัยใหม่ว่า[[สัญญาซื้อขายล่วงหน้า]]ถูกเปลี่ยนเป็น[[ออปชัน|สัญญาออปชัน]] ข้อเสนอนี้เริ่มเป็นที่โต้แย้งกันระหว่างฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1636 และถ้าผู้ลงทุนจะสามารถทราบได้ว่าประกาศนี้จะได้รับการอนุมัติและบังคับใช้อย่างแน่นอน ราคาสินค้าก็อาจจะสูงขึ้น<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=101}}</ref>
 
การประกาศของรัฐสภาที่อนุญาตให้ผู้ซื้อสัญญาสามารถเลี่ยงสัญญาได้โดยการเสียค่าปรับเพียง 3.5 เปอร์เซนต์ของราคาสัญญา<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=101}}</ref> ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนซื้อขายกันด้วยราคาที่สูงหนักยิ่งขึ้นไปอีก นักเก็งกำไรสามารถลงนามในสัญญาซื้อทิวลิปเป็นจำนวน 100 กิลเดอร์ ถ้าราคาขึ้นสูงกว่า 100 กิลเดอร์ นักเก็งกำไรก็จะได้กำไรส่วนที่เกิน แต่ถ้าราคายังคงต่ำนักเก็งกำไรก็สามารถเลี่ยงสัญญาได้โดยเสียค่าปรับเพียง 3.5 กิลเดอร์ ฉะนั้นสัญญามูลค่า 100 กิลเดอร์ สำหรับผู้ลงทุนแล้วก็จะสูญเสียไม่เกิน 3.5 กิลเดอร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ราคาสัญญาก็ถึงจุดสุดยอด เจ้าหน้าที่ดัตช์ก็เข้ามาหยุดยั้งการซื้อขายของสัญญาเหล่านี้<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=111}}</ref>
 
ทอมสันกล่าวว่าตลอดช่วงเวลาเดียวกันนี้การซื้อหัวทิวลิปกันจริงๆ ยังคงอยู่ในระดับปกติ ทอมสันจึงสรุปว่า “ความคลั่ง” เป็นพฤติกรรมที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการรักษาสัญญา<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=111}}</ref> เมื่อดูจากข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการจ่ายของ[[สัญญาซื้อขายล่วงหน้า]] และ [[ออปชัน|สัญญาออปชัน]] ในบางกรณีแล้ว ทอมสันก็โต้ว่าแนวโน้มของราคาสัญญาหัวทิวลิปก็ใกล้เคียงกับแบบจำลองทางเศรษฐกิจที่ตั้งไว้ “ราคาสัญญาซื้อทิวลิปก่อน ระหว่าง และหลังจากการคลั่งทิวลิปดูเหมือนกับว่าจะแสดงลักษณะที่ตรงกันกับลักษณะของ “ความมีประสิทธิภาพของตลาด” (market efficiency) อย่างชัดแจ้ง”<ref>{{Harvnb|Thompson|2007|p=109}}</ref>
 
==== ข้อวิจารณ์ ====
บรรทัด 145:
[[ไฟล์:Hans Bollongier - Stilleven met bloemen.jpg|thumb|upright|240px|ภาพทิวลิปที่เขียนโดย [[Hans Gillisz. Bollongier]] ในปี ค.ศ. 1639]]
 
หนังสือของแม็คเคย์ก็ยังเป็นที่นิยมกันแม้จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ โดยนำ ''Extraordinary Popular Delusions'' มาตีพิมพ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ ที่มีบทนำโดยนักเขียนเช่นผู้ลงทุน[[เบอร์นาร์ด บารุค]] (Bernard Baruch) (ค.ศ. 1932) หรือนักเขียนทางการเงิน[[แอนดรูว์ โทไบอัส]] (ค.ศ. 1980),<ref> Introduction by Andrew Tobias to "Extraordinary Popular Delusions and the Madness of Crowds" (New York: Harmony Press, 1980) available on-line at [http://www.andrewtobias.com/ExPopDel-1.html Andrew Tobias, Money and Other Subjects]. Retrieved on August 12, 2008</ref> และ[[ไมเคิล หลุยส์ (นักประพันธ์)|ไมเคิล หลุยส์]] (ค.ศ. 2008) และนักจิตวิทยา[[เดวิด เจย์. ชไนเดอร์]] (ค.ศ. 1993) ซึ่งขณะนี้มีอย่างน้อยหกฉบับที่ยังขายกันอยู่
 
การ์เบอร์โต้ว่าแม้ว่าความคลั่งทิวลิปอาจจะไม่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าฟองสบู่ทางเศรษฐกิจหรือฟองสบู่การเก็งกำไร แต่กระนั้นก็เป็นสถานการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนทางจิตวิทยาต่อชาวดัตช์ในด้านอื่น ตามข้อเขียนที่กล่าวว่า “แม้ว่าผลกระทบกระเทือนทางการเงินจะมีต่อคนเพียงไม่กี่คนโดยตรง แต่ความช็อคจากความคลั่งทิวลิปก็ทำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นในโครงสร้างของคุณค่าของสินค้า”<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=18}}</ref> ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความคิดที่ว่าราคาดอกไม้จะสามารถมีค่าสูงกันได้ถึงขนาดที่ประเมินกันเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจได้ ค่าของสายพันธ์ทิวลิปบางชนิดสูงกว่ารายได้ทั้งปีของบุคคลบางอาชีพ และความคิดที่ว่าราคาดอกไม้ที่ปลูกกันในฤดูร้อนจะมีผลในทำให้ราคามาผันผวนได้ในช่วงฤดูหนาวทำให้เป็นการยากที่จะเข้าใจถึง “มูลค่า” ที่แท้จริงของสินค้าได้<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|pp=276–77}}</ref>
บรรทัด 151:
แหล่งข้อมูลหลายแหล่งกล่าวถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่อความคลั่งทิวลิป เช่นจุลสารเพื่อการต่อต้านการเก็งกำไรที่ต่อมาใช้เป็นงานอ้างอิงของบทเขียนของเบ็คมันน์และแม็คเคย์ถึงผลเสียหายในทางเศรษฐกิจ แต่จุลสารเหล่านี้มิได้เขียนโดยผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงเมื่อตลาดล่ม แต่เขียนโดยผู้มีอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถือโอกาสประณามความวุ่นวายที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลมาจากความเสื่อมโทรมทางจริยธรรมของสังคม—และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า “ผู้ที่มีความมัวเมาในทางโลก แทนที่จะเป็นทางธรรมได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง” ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆในทางเศรษฐกิจที่หยิบยกมาเติมสีสันให้เป็นเรื่องสอนใจด้านคุณธรรม<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|pp=260–61}}</ref>
 
อีกร้อยปีต่อมาระหว่างที่[[บริษัทมิสซิสซิปปี]]ล่ม และ[[เหตุการณ์ฟองสบู่แตกเซาธ์ซี]] ราวปี ค.ศ. 1720 ก็มีการอ้างถึงความคลั่งทิวลิปในการเสียดสีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|pp=307–09}}</ref> เมื่อกล่าวถึงความคลั่งทิวลิปเป็นครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษ 1780 [[โยฮันน์ เบ็คมันน์]]เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับการซื้อสลากกินแบ่ง<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=313}}</ref> ตามความคิดเห็นของโกลด์การ์และนักเขียนเกี่ยวกับสภาวะการลงทุนสมัยใหม่เช่น[[เบอร์ตัน มาลคีล]] (Burton Malkiel) ''A Random Walk Down Wall Street'' (ค.ศ. 1973) และ [[จอห์น เค็นเน็ธ กาลเบร็ธ]] (John Kenneth Galbraith) ใน ''A Short History of Financial Euphoria'' (ค.ศ. 1990) ที่เขียนไม่นานหลังจาก[[วันจันทร์ทมิฬ|ตลาดหลักทรัพย์ล่ม]]ของปี ค.ศ. 1987 ก็ใช้เรื่องราวของความคลั่งทิวลิปเป็นบทเรียนทางจริยธรรม<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=314}}</ref><ref>{{Harvnb|Galbraith|1990|p=34}}</ref><ref>{{Harvnb|Malkiel|2007|pp=35–38}}</ref> นอกจากนั้นแล้วความผันผวนของตลาดทิวลิปก็ยังเป็นโครงเรื่องในนวนิยายที่เขียนโดย[[เกรกอรี แมไกวร์]] (Gregory Maguire) ''Confessions of an Ugly Stepsister'' (ค.ศ. 1999) <ref>Maguire, HarperCollins, 1999</ref><ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=329}}</ref>
 
ความคลั่งทิวลิปมากลายเป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันอีกครั้งเมื่อเกิด[[ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม|ภาวะฟองสบู่ดอตคอมแตก]] ขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1995 ถึง ค.ศ. 2001<ref>{{Harvnb|Goldgar|2007|p=314}}</ref> และล่าที่สุดนักวรสารก็เปรียบเทียบกับ[[วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์]]<ref>"[http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2007/08/10/AR2007081001912.html Bubble and Bust; As the subprime mortgage market tanks, policymakers must keep their nerve]", “The Washington Post”, August 11, 2007. Retrieved on July 17, 2008.</ref><ref>Horton, Scott. "[http://www.harpers.org/archive/2008/01/hbc-90002258 The Bubble Bursts]", “Harper's Magazine”, January 27, 2008. Retrieved on July 17, 2008.</ref> แม้ว่าความคลั่งทิวลิปจะยังเป็นเรื่องที่นิยมเล่าขานกันอยู่ แต่แดเนียล โกรสส์แห่งนิตยสาร “Slate” กล่าวถึงคำอธิบายของนักเศรษฐศาสตร์ถึง[[สมมติฐานประสิทธิภาพของตลาด]]ในการอธิบายสภาวะความผันผวนของตลาดทิวลิปว่า “ถ้าคำอธิบายดังกล่าวถูกต้องจริงแล้ว...ก็เท่ากับว่านักเขียนเกี่ยวกับธุรกิจทั้งหลายก็สามารถลบเรื่องของความคลั่งทิวลิปออกจากบรรดาอุปมานิทัศน์ของเรื่องฟองสบู่แตกได้ทั้งหมด”<ref>Daniel Gross. "[http://slate.msn.com/id/2103985/ Bulb Bubble Trouble; That Dutch tulip bubble wasn't so crazy after all]", Slate, July ค.ศ. 16, 2004. Retrieved on July 22, 2008.</ref>
 
== อ้างอิง ==
บรรทัด 162:
== บรรณานุกรม ==
<div style="overflow:scroll;height:300px;">
* {{nl icon}} P.Cos (1637) – ''Verzameling van een meenigte tulipaanen, naar het leven geteekend met hunne naamen, en swaarte der bollen, zoo als die publicq verkogt zijn, te Haarlem in den jaare A. 1637, door P. Cos, bloemist te Haarlem.'' – Haarlem : [s.n.], 1637. – 75 pl. available online at [http://library.wur.nl/tulips/blauw_content.html Wageningen Tulip Portal]. Retrieved on August 11, 2008.
* {{citation | title = Tulipomania: The Story of the World's Most Coveted Flower and the Extraordinary Passions It Aroused | last = Dash | first = Mike | year = 1999 | publisher = Gollancz | location = London | isbn = 0-575-06723-3 }}
* {{citation | last = French | first = Doug | year = 2006 | title = The Dutch monetary environment during tulipomania | volume = 9 | issue = 1 | pages = 3–14 | doi=10.1007/s12113-006-1000-6 | url=http://www.mises.org/journals/qjae/pdf/qjae9_1_1.pdf |format=PDF| journal = The Quarterly Journal of Austrian Economics }}. Retrieved on June 24, 2008.
* {{citation | title = A Short History of Financial Euphoria | last = Galbraith | first = J. K. | year = 1990 | publisher = Penguin Books | location = New York | isbn = 0-670-85028-4 }}
* {{citation | last = Garber | first = Peter M. | year = 1989 | title = Tulipmania | volume = 97 | issue = 3 | pages = 535–560 | doi = 10.1086/261615 | accessdate= 2008-06-24 | journal = Journal of Political Economy }}
* {{Citation | title = Famous First Bubbles | last = Garber | first = Peter M. | journal = The Journal of Economic Perspectives | volume = 4 | issue = 2 | year = 1990 | pages = 35–54 }}, JSTOR: [http://www.jstor.org/stable/1942889 1942889] (subscription required). Retrieved on August 15, 2008.
* {{citation | title = Famous First Bubbles: The Fundamentals of Early Manias | last = Garber | first = Peter M. | year = 2000 | publisher = MIT Press | location = Cambridge | isbn = 0-262-07204-1 }}
* {{citation | title = Tulipmania: Money, Honor, and Knowledge in the Dutch Golden Age | last = Goldgar | first = Anne | year = 2007 | publisher = University of Chicago Press | location = Chicago | isbn = 978-0-226-30125-9 | url=http://books.google.com/books?id=gViwLbCJ7X0C&printsec=frontcover&hl=nl&source=gbs_summary_r&cad=0}}
บรรทัด 173:
* {{citation | title = Bloemenspeculatie in Nederland | last = Krelage | first = E.H. | year = 1942| publisher = P.N. van Kampen & Zoon | location = Amsterdam }}
* {{citation | title = Manias, Panics, and Crashes: A History of Financial Crises | edition = 5th | last = Kindleberger | first = Charles P. | year = 2005| publisher = Wiley | location = Hoboken | isbn = 0-471-46714-6| first2 = Robert | last2 = Aliber }}
* {{citation | title = Memoirs of Extraordinary Popular Delusions and the Madness of Crowds | last = Mackay | first = Charles | year = 1841 | url = http://www.econlib.org/library/mackay/macExContents.html | location = London | publisher = Richard Bentley | format = }}. Retrieved on August 15, 2008.
* {{citation | title = A Random Walk Down Wall Street | edition = 9th | last = Malkiel | first = Burton G. | year = 2007 | isbn = 0-393-06245-7 | publisher = W. W. Norton | location = New York}}
* {{citation | title = The Tulip | last = Pavord | first = Anna | year = 2007 | publisher = Bloomsbury | location = London | isbn = 0-7475-7190-2 }}
* {{citation | title = The Botany of Desire | last = Pollan | first = Michael | year = 2002 | publisher = Random House | location = New York | isbn = 0-375-76039-3 }}
* {{citation | title = The Embarrassment of Riches: an interpretation of Dutch culture in the Golden Age| last = Schama | first = Simon | year = 1987 | publisher = Alfred Knopf| location = New York |isbn = 0-394-51075-5}}
* {{citation | title = Irrational Exuberance | edition = 2nd | last = Shiller | first = Robert J. | year = 2005 | location = Princeton |publisher = Princeton University Press | isbn = 0-691-12335-7 }}
* {{Citation | title = The tulipmania: Fact or artifact? | last = Thompson | first = Earl | journal = Public Choice | volume = 130 | issue = 1–2 | year = 2007 | pages = 99–114 | url = http://www.econ.ucla.edu/thompson/Document97.pdf |format=PDF| doi = 10.1007/s11127-006-9074-4}}. Retrieved on August 15, 2008.
</div>