ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การข่มขืนกระทำชำเรา"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
||
บรรทัด 2:
{{ต้องการอ้างอิง}}
{{เตือนเรื่องเพศ}}
'''การข่มขืนกระทำชำเรา''' ({{lang-en|Rape}}) เป็นรูปแบบหนึ่งของ[[การทำร้าย]]
ไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนที่จะแยกระหว่างการข่มขืนกระทำชำเรา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงโดยผู้ชาย
== ประวัติศาตร์ของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
[[ไฟล์:
คำว่า “ข่มขืนกระทำชำเรา” มีต้นกำเนิดมาจากคำกริยา[[ภาษาลาติน]]ว่า Rapare หมายถึง
ผ่านส่วนต่างๆ ของประวัติศาสตร์
ในยุคโบราณของกรีกและโรมันจนถึงยุคล่าอาณานิคม
กฎหมายของอังกฤษระบุว่าการข่มขืนกระทำชำเราถือเป็นตัณหารุนแรง
การพัฒนาทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 นี้
ระบบการให้ความยุติธรรมเกี่ยวกับอาชญากรรมยุคใหม่
ส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์การข่มขืนกระทำชำเราคือการก่อตั้งมูลนิธิ RAINN ในปี 1994 โดย Tori Amos (ดารานักร้องชื่อดัง) และ Scott Berkowitz
วัฒนธรรมทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ชายหรือผู้หญิงด้วยกันเองได้
=== การข่มขืนกระทำชำเราและสงคราม ===
การข่มขืนกระทำชำเรา
มีคำกล่าวว่ามีผู้หญิงประมาณ 200,000 คน ถูกข่มขืนกระทำชำเราระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพของบังคลาเทศโดยทหารชาวปากีสถาน
== คำจำกัดความของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
ในการตัดสินคดีความ
คำตัดสินอื่นขยายความว่า คำว่า
* ภายใต้การขู่บังคับประเภทต่างๆ (การใช้กำลัง, ความรุนแรง, [[การแบล็คเมล์]]
* การวินิจฉัยอ่อนแอลง หรือไร้ความสามารถ
* การตัดสินใจอ่อนแอลง
* อายุต่ำกว่าเกณท์ที่จะให้การยินยอม ที่นับว่าถูกตามกฎหมายได้
การข่มขืนกระทำชำเราผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่ยินยอมให้ร่วมประเวณีด้วยได้ ('''Statutory Rape''') นับการมีการสัมพันธ์ทางเพศว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่จำเป็นว่า มีการใช้อำนาจบังคับหรือเป็นอีกฝ่ายพร้อมใจหรือไม่
ในบทลงโทษของกฎหมายบราซิล กล่าวถึงการข่มขืนกระทำชำเราว่า
ใน[[สก็อตแลนด์]]
== สาเหตุของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
การดื่ม[[เครื่องดื่มแอลกอฮอล์]]หรือการใช้[[สิ่งเสพติด]] มักจะเกี่ยวข้องกับการข่มขืนกระทำชำเรา ใน 47% ของการข่มขืนกระทำชำเราทั้งเหยื่อและผู้กระทำผิดจะดื่มเหล้า
นักวิจัยส่วนใหญ่พบว่า
นักข่มขืนกระทำชำเราส่วนมากไม่มีการเลือกว่าจะข่มขืนกระทำชำเรา ต่อเมื่อมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์
== ประเภทของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
มีประเภทของการข่มขืนกระทำชำเรา 6 – 7 อย่าง
แม้ว่าคนพยายามจะทึกทักเอาเอง
'''การข่มขืนกระทำชำเราโดยผู้กระทำการ'''
บรรทัด 74:
|-
| เพื่อนๆ
| 16.5 %
|-
| แฟนเก่า
บรรทัด 92:
|-
| คนแปลกหน้า
|
|}
ผลการวิจัยทางการข่มขืนกระทำชำเราและการแจ้งความระบุว่า การข่มขืนกระทำชำเราส่วนใหญ่มีคำจำกัดความว่าฝ่ายชายกระทำต่อฝ่ายหญิงเท่านั้น
=== การโทรม ===
คำว่า tournante เป็นคำคุณศัพท์ภาษาฝรั่งเศส
== สถานที่ ==
ขัดแย้งกับความเชื่อของคนโดยทั่วไป
== สถิติของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
สหประชาชาติได้รับความยินยอมจากรัฐบาลจากหลักฐานที่แสดงว่า มากกว่า 250,000 คดีข่มขืนกระทำชำเรา หรือพยายามข่มขืนกระทำชำเราทุกปี
สืบเนื่องมาจากเอกสารทางความยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา “การทำให้เป็นเหยื่ออาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา” , มีเหยื่อ 191,670 คนจากการข่มขืนกระทำชำเราและการขู่บังคับในปี 2005
การข่มขืนกระทำชำเราโดยผู้หญิงเป็นปรากฏการณ์ที่ยากจะเข้าใจ
ขณะที่นักวิจัยและทนายความไม่เห็นด้วยกับเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนของการกล่าวหา
จากปี 2000 -2005 , 95% ของการข่มขืนกระทำชำเราไม่ดู้กรายงานภายใต้ระบบกฎหมาย
มากกว่า 67,000 คดี ที่เกิดขึ้นกับเด็ก
สืบเนื่องจากมหาวิทยาลัย Durban-Westville แผนกมานุษยวิทยาและนักวิจัย ชื่อ SuZanne Leclerc-Madlana, "ตำนานการมีเพศสัมพันธ์กับพรหมจารีย์ เพื่อรักษาเอดส์ไม่ได้มีแค่ในอาฟริกาใต้เท่านั้น" กลุ่มนักติดตามผู้วิจัยเรื่องเอดส์ใน[[แซมเบีย]], [[ซิมบับเว]] และ[[ไนจีเรีย]]
== ผลกระทบของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
หลังถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องปกติสำหรับเหยื่อที่จะประสบกับความเครียด และบางครั้งก็คาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกอ่อนไหวมาก และพวกเขาอาจจะพบว่ายากที่จะจัดการกับความทรงจำของพวกเขาต่อเหตุการณ์
** รู้สึกชา
** ยากที่จะจำเหตุการณ์ส่วนสำคัญของการขู่บังคับได้
** ผ่อนบรรเทาความรู้สึกแย่ๆได้โดยการคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในความทรงจำอันนั้น
** หลีกเลี่ยงสิ่งของ
** เครียดกังวลเพิ่มสูงขึ้น หรือถูกรุกเร้าได้ง่าย (นอนหลับยาก
** หลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตในสังคม
มันสามารถทำให้เกิด[[ความผิดปกติทางจิตใจภายหลังภยันตราย]] (Post-Traumatic Stress Disorder หรือ PTSD) อย่างไรก็ดีขณะที่ผลกระทบของฝันร้ายอาจจะแย่มาก
ในปี 1972 แอน วอล์เบิร์ท เบอร์เก็สส์ และลินดา ลีทเทิ่ล โฮลสตอร์ม ได้ทำการศึกษาของผลการตอบสนองต่อการข่มขืนกระทำชำเรา
ระหว่างระยะล่อแหลมผู้รอดชีวิตจะพบกับความช็อกและไม่เชื่อ
เหยื่ออาจจะตอบสนองการข่มขืนกระทำชำเราในทางที่แสดงออกหรือในทางควบคุม
หลังระยะล่อแหลม
ผู้รอดชีวิตมักจะแยกตัวอยู่ตามลำพังจากกลุ่มคนที่สนับสนุนเขา อาจเป็นทางร่างกายหรือทางอารมณ์ความรู้สึก
อีกขอบข่ายหนึ่งของการค้นคว้า
การข่มขู่ทางเพศสามารถมีผลกระทบต่อคนๆ นั้นตลอดไป เปลี่ยนเขาให้เป็นคนที่อยู่ในระยะยุ่งเหยิงตลอดเวลา
== การฟ้องผิดของตัวเหยื่อเอง ==
“การฟ้องผิดของตัวเหยื่อเอง” เป็นสิ่งที่ยึดเหยื่อไว้กับอาชญากรรม อาจจะหมายถึงว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้น เหยื่อต้องรับผิดชอบ
== การกล่าวโทษตัวเอง ==
มีการกล่าวโทษตัวเอง 2 ประเภท
=== พฤติกรรมการโทษตัวเอง ===
พฤติกรรมการโทษตัวเองอ้างถึง
=== บุคลิกทางจิตวิทยาที่โทษตัวเอง ===
บุคลิกทางจิตวิทยาที่โทษตัวเองใช้เมื่อเหยื่อรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ตกทอดมาถึงพวกเขาอย่างผิดๆ (ทำให้พวกเขาสมควรถูกขู่บังคับ) การกล่าวโทษประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อเหยื่อไม่สามรถคิดได้อีกแล้วว่าเขาทำอะไรผิดจนทำให้เกิดการขู่เข็ญครั้งนี้ขึ้น
=== คำจำกัดความของการโทษตัวเอง ===
การโทษตัวเองเป็นทักษะที่เกี่ยวเนื่องกับการหลีกเลี่ยงในการเยียวยารักษา
=== ผลกระทบที่ทำลายจากการโทษตัวเอง ===
นักวิจัยที่โดดเด่นคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกฟ้องผิด
นอกจากนี้ความรู้สึกละอายยังเชื่อมโยงกับปัญหาทางด้านจิตใจ
=== การเยียวยารักษา ===
การตอบสนองทางคำปรึกษาพบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ในเยียวยาคือ ลดการฟ้องผิดในตัวเองลง, การให้ความรู้ความเข้าใจในทางจิตวิทยา (เรียนรู้เกี่ยวกับอาการทรมานจากการถูกข่มขืนกระทำชำเรา)
== มุมมองทางสังคมชีววิทยา ==
บางคนโต้แย้งว่าการข่มขืนกระทำชำเรา
นักสังคมชีววิทยาบางคนโต้แย้งว่าความสามารถของเราที่จะเข้าใจการข่มขืนกระทำชำเรา (และในการป้องกันมัน) เป็นเรื่องที่ครึ่งๆกลางๆอย่างรุนแรง เพราะจุดเริ่มต้นของมันในวิวัฒนาการมนุษย์ถูกเพิกเฉยเสีย
นักวิจารณ์สังคมชาวอเมริกันชื่อ คามิลล์ ปาเจลีย และนักสังคมชีววิทยาบางคน
== การสูญเสียการควบคุมและความเป็นส่วนตัว ==
การข่มขืนกระทำชำเราถูกนับว่าเป็น “อาชญากรรมของความรุนแรงและการควบคุม” ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา
* “ความเป็นสิทธิ์ส่วนตัวไม่ใช่การหายไปของผู้ใดผู้หนึ่งจากการปรากฏตัวของอีกผู้หนึ่ง แต่การควบคุมเหนือคนที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วยต่างหาก ที่มี (ทำให้มีการหายไปของผู้หนึ่งผู้ใด) อยู่ด้วย” (Pedersen, D. 1997)
บรรทัด 190:
การควบคุมจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะรู้ว่า
* อะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อ การกำหนดชีวิตจิตใจที่ปกดิ
* การมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างมีเสถียรภาพ
* การพัฒนาการของบุคคล (Pedersen, D. 1997)
ความรุนแรงต่อความเป็นบุคคล
คนคนนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อพูดถึงประเด็นก้าวล้ำความเป็นส่วนตัว และในการเน้นย้ำถึงว่า
ศาลสูงสุดของสหรัฐฯที่ดูแล Kansas v. Hendrick ที่มีผู้ต้องหาข่มขู่ทางเพศสามารถที่จะกระทำผิดได้อีกหลังได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก
บรรทัด 202:
{{รายการอ้างอิง}}
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
** 7
** 8
** 9
'''การเป็นเหยื่อครั้งที่สองและการกล่าวโทษตัวเอง'''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
** 7
** 8
** 9
** 10
''' ประวัติศาสตร์ของการข่มขืนกระทำชำเรา '''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
** 7
'''การโทษตัวเอง'''
** 1
** 2
** 3
** 4
'''สาเหตุของการเป็นเหยื่อหลายครั้ง'''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
'''เหยื่อเพศชาย'''
** 1
** 2
** 3
'''ทฤษฎี'''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
** 7
** 8
** 9
** 10
** 11
** 12
** 13
** 14
** 15
** 16
** 17
** 18
'''การข่มขืนกระทำชำเราเด็กและการขู่บังคับเด็กทางเพศ'''
** 1
** 2
'''ผู้กระทำการเพศหญิง'''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
** 7
** 8
** 9
** 10
'''การข่มขืนกระทำชำเราในการสมรสหรือผู้ใกล้ชิด'''
** 1
** 2
** 3
** 4
** 5
** 6
'''ผู้กระทำการเพศชาย'''
** 1
** 2
'''ด้านอื่นๆ'''
** Anonymous. A Woman in Berlin: Six Weeks in the Conquered City. Translated by Anthes Bell. ISBN.
**
**
**
**
**
**
**
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
|