ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ขุนนางกรุงศรีอยุธยา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
replaceViaSearch
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
บรรทัด 8:
== ยศ หรือ บรรดาศักดิ์ และ ราชทินนาม ==
=== ยศ หรือ บรรดาศักดิ์ ===
การกำหนด ยศ หรือ [[บรรดาศักดิ์]] และ [[ราชทินนาม]] เป็นของคู่กัน กษัตริย์พระราชทานพร้อมกันในคราวเดียวกัน ยศหรือบรรดาศักดิ์ของขุนนางในตอนต้นอยุธยาเท่าที่ปรากฏหลักฐานพบว่า ยศหรือบรรดาศักดิ์สูงสุดคือ "ขุน" เป็นยศที่ขึ้นอยู่กับระบบบริหารของเมืองหลวง โดยเป็นยศสำหรับขุนนางในระดับเสนาธิบดีประจำ[[จตุสดมภ์]] ได้แก่เวียง วัง คลัง นา ส่วนยศทีรองมาคือ หมื่น พัน นายร้อย นายสิบ
 
จนต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ยศขุนนางได้มีการพัฒนาโดยนำยศต่างชาติเช่น[[อินเดีย]] และ[[เขมร]]มาใช้เพิ่มเติม ได้แก่ พระยา พระ หลวง ในเอกสารของชาวตะวันตกนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 ตอนปลายถึงพุทธศตวรรษที่ 23 เรียกยศเหล่านี้ว่า ออกญา ออกพระ ออกหลวงและ ออกขุน ทำให้ยศ ออกขุน ถูกลดฐานะลงมาก เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย ส่วนยศนายร้อยและนายสิบกลายเป็นยศที่ไม่ได้จัดเป็นขุนนาง และกลายเป็นยศของไพร่ที่มูลนายแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ช่วยควบคุมไพร่ ต่อมาจนถึงตอนปลายอยุธยามีการเพิ่มยศ "เจ้าพระยา" เป็นยศสูงสุดสำหรับขุนนาง นอกจากนี้ ยศขุนนางที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะอีกพวกหนึ่งได้แก่ [[เจ้าหมื่น]] [[จมื่น]] เป็นยศบรรดาศักดิ์ที่ใช้ในกรมมหาดเล็กเท่านั้น
บรรทัด 15:
ราชทินนามมักเป็น[[ภาษามคธ]]หรือ[[สันสกฤต]]ล้วนๆ หรือผสมกับ[[ภาษาไทย]]สั้นๆ เป็นการบ่งบอกหน้าที่ของขุนนางนั้นๆ เพราะหน้าที่ตำหน่างต่างๆ จะมียศและราชทินนามกำกับไว้ เช่น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ เป็นยศและราชทินนามประจำตำแหน่งสมุหนายก เป็นต้น ขุนนางในตำแหน่งต่างๆ จึงย่อมมีราชทินนามเฉพาะไว้เพื่อให้ทราบหน้าที่
 
ตำแหน่ง เป็นสิ่งที่กำหนดสิ่งที่กำหนดระดับอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยปกติมักจะสอดคล้องกับบรรดาศักดิ์และราชทินนาม ตำแหน่งสำคัญตามกรมกองต่างๆ ในระบบบริหารส่วนกลางคือ [[อัครมหาเสนาบดี]] ได้แก่ [[สมุหานายก]]และ[[สมุหกลาโหม]] เสนาบดีจตุดมภ์ ตำแหน่งทั้ง 2 ประเภทนี้มียศเป็น [[พระยา]] และต่อมาภายหลังเป็น [[เจ้าพระยา]] ทั้งสิ้น
 
ตำแหน่งขุนนางระดับรองลงมาได้แก่ ตำแหน่ง[[จางวาง]] ซึ่งใช้สำหรับกรมที่ใหญ่กว่ากรมทั่วไป แต่เล็กกว่ากรมของเสนาบดี รองจากจางวางคือตำแหน่ง[[เจ้ากรม]] รองจากเจ้ากรมคือตำแหน่ง[[ราชปลัดทูลฉลอง]]สำหรับกรมใหญ่ และปลัดกรมสำหรับกรมเล็กหรือกรมธรรมดา จากนั้นก็เป็น ตำแหน่ง[[สมุห์บัญชี]] ทำหน้าที่ควบคุมบัญชีกำลังพลในกรมนั้น ๆ
บรรทัด 35:
หน้าที่การเก็บภาษีอาการ เช่นการเก็บภาษีที่เก็บจากไพร่พลของตนและภาษีอากรที่อยู่ในบังคับบัญชาของกรมที่ตนสังกัด ถ้าเป็นเจ้าเมืองหัวเมืองชั้นนอกมีอำนาจหน้าที่เก็บภาษีอาการทั้งหมดในบริเวณอาณาเขตที่เจ้าเมืองนั้นมีอำนาจ
 
ขุนนางมีหน้าที่ต้องรายงานพระมหากษัตริย์ทันทีที่ได้รู้เห็นว่าที่จะเป็นผลร้ายต่อพระมหากษัตริย์เช่น ข่าวกบฏ ยักยอกพระราชทรัพย์ ลักลอบติดต่อนางสนมกำนัลเป็นต้น ถ้ารู้แล้วไม่กราบทูลมีโทษถึง[[กบฏ]] ลักษณะเช่นนี้ทำให้ขุนนางระแวงกันเอง หรืออาจมีการกลั่นแกล้งกัน โดยแจ้งเรื่องเท็จ หรือทำบัตรสนเท่ห์ ทำให้ขุนนางระมัดระวังอยู่เสมอ และขุนนางทุกคนจะต้องเข้าร่วม[[พิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา]] ใครขาดถือมีโทษถึง[[กบฏ]]
 
การควบคุมพฤติกรรม เพื่อกำหนดขอบเขตการเคลื่อนไหวของขุนนางหรือเจ้านายรวมตัวกัน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ เช่น เจ้าเมืองไปมาหาสู่กันไม่ได้ ขุนนางศักดินา 800-10,000 ไปมาหาสู่กันถึงเรือน หรือในที่สงัดหรือลอบเจรจากันในศาลาลูกขุนสองต่อสอง ล้วนแล้วมีความผิดโทษถึง[[ตาย]] หรือแม้แต่ห้ามมิให้ขุนนางที่จะถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสวมแหวนนาก แหวนทอง กินข้าวกินปลาก่อนถือน้ำ ก็มีโทษระวาง[[กบฏ]]
 
== สิทธิและผลประโยชน์ ==
ขุนนางในสมัยอยุธยามีรายได้และผลประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ที่ตนดำรงอยู่ ดังนั้น การอยู่ในตำแหน่งของขุนนางจึงมักเรียกว่า "กินตำแหน่ง" หรือ "กินเมือง"
 
ขุนนางและครอบครัวบุตรหลานบริวารได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ขุนนางไม่ต้องเสียภาษี มีไพร่ในสังกัดเพื่อควบคุมตามความสูงศักดิ์ไม่ต้องไปศาลเอง แต่มีสิทธิใช้ทนายไปให้การในศาลแทน และการสืบสวนขุนนางจะทำได้ต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงพระบรมราชานุญาต ขุนนางมีสิทธิเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ตามลำดับยศศักดิ์ มีสิทธิในการใช้เสมียนนายรับใช้ใกล้ชิดติดตามขุนนาง นอกจากนี้ ขุนนางได้รับเครื่องยศต่างๆ เพื่อแสดงฐานะสูงศักดิ์ เช่น หีบหมาก คนโท กระโถน หรือบางทีอาจมีช้าง มีม้า ข้าคนและที่ดิน เครื่องยศเหล่านี้ต้องคืนถวายเมื่อถึงแก่อนิจกรรมหรือออกจากราชการ ขุนนางที่มีความดีความชอบมาแต่ก่อน แต่ทำความผิดซึ่งโทษถึง[[ตาย]] (ยกเว้นเป็นกบฏ) มีสิทธิขอพระราชทานลดโทษไม่ให้ถึง[[ตาย]]ได้
บรรทัด 47:
 
== ค่าตอบแทนจากรัฐ ==
ขุนนางไม่มีเงินเดือน แต่จะได้รับเบี้ยหวัดเงินปีจากพระมหากษัตริย์ ได้มากหรือน้อยขึ้นกับยศศักดิ์ แต่รายได้หลักมาจากการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ถ้ากรมกองใดงานในหน้าที่อำนวยให้มีรายได้มาก เช่น เก็บภาษีอากร ค่าฤชาการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ฯลฯ ขุนนางในกรมนั้นจะได้รายได้สูงไปด้วย ทั้งนี้ เพราะขุนนางสามารถจัดเก็บรายได้ส่วนหนึ่งไว้แบ่งจ่ายเฉลี่ยกันเองในกรม โดยนำส่วนหนึ่งเข้าท้องพระคลัง ซึ่งขุนนางก็สามารถจะปิดบังรางได้ที่แท้จริง เพื่อให้เข้าพระคลังน้อยและไว้แบ่งปันกันเองให้มาก การทุจริตในหน้าที่ต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติที่แพร่หลาย และปฏิบัติสืบต่อมาจนเป็นประเพณี
 
นอกจากนี้ขุนนางยังอาจมีรายได้และผลประโยชน์เป็นคราว ๆ ถ้าปฏิบัติราชการมีความดีความชอบในเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นการเฉพาะ เช่น ในการราชการสงคราม พระมหากษัตริย์จะพระราชทานรางวัลเป็นทรัพย์สินมีค่า ข้าทาสบริวาร ช้างม้า ตลอดจนที่ดิน
 
[[หมวดหมู่:ขุนนางไทย| ขุนนางไทย]]
{{โครง}}