ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
M sky (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
M sky (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 27:
[[ไฟล์:เภสัชจุฬา_2456.jpg|thumb|left|250px|นักเรียนปรุงยาและคณาจารย์ถ่ายภาพร่วมกัน (รุ่น พ.ศ. 2456 - 2458)]]
 
ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] [[สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ|สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]] เสนาธิการทหารบกในขณะนั้น ทรงมีพระดำริประทานแก่[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร]] ผู้ตรวจการ[[คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล|โรงเรียนราชแพทยาลัย]]ในขณะนั้น ว่าตามกรมกองทหารบกมีแพทย์ประจำหน่วยพยาบาลอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดได้เล่าเรียนและได้รับการอบรมไปประจำตามที่จ่ายยา ควรตั้งโรงเรียนแพทย์ปรุงยาขึ้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งทรงมีพระดำริเห็นพ้องและจึงมีพระบันทึกเรื่อง "ความคิดเห็นเรื่อง การฝึกหัดแพทย์ผสมยา" เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เนื้อหาของบันทึกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบบการจัดการเรียนการสอน สถานที่การปฏิบัติการ และครูผู้สอนในการเรียนแพทย์ผสมยา จากแนวพระดำริดังกล่าวจึงได้มีการสถาปนาแผนกแพทย์ผสมยาขึ้นตามประกาศเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เรื่อง "ระเบียบการจัดนักเรียนแพทย์ผสมยา พ.ศ. 2457" เมื่อวันที่ [[8 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2456]] จึงถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันก่อตั้งสถาปนาวิชาชีพเภสัชกรรมขึ้นในประเทศไทย และถือเป็นวันกำเนิดคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรจึงได้รับการยกย่องเป็น "บิดาแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย"<ref name="กระถิน"/>
 
การศึกษาด้านเภสัชศาสตร์เริ่มต้นการสอนแผนกแพทย์ผสมยาหรือในอีกชื่อหนึ่งว่า "โรงเรียนปรุงยา" ในสังกัดโรงเรียนราชแพทยาลัย เมื่อวันที่ [[2 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2457]] เมื่อจบการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรแพทย์ปรุงยา โดยมีนักเรียนจบการศึกษาในรุ่นแรก 4 คน ต่อมาได้มีการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น กระทรวงธรรมการจึงได้ประกาศให้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้ามาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ [[6 เมษายน]] [[พ.ศ. 2460]] เป็นคณะแพทยศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) การศึกษาด้านเภสัชศาสตร์จึงได้ยกระดับขึ้นสู่ระดับอุดมศึกษา<ref name="กระถิน"/> โดยใช้สถานที่ทำการสอนบริเวณ[[วังวินด์เซอร์]] เรือนนอนหอวังและ[[โรงพยาบาลศิริราช]] ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ปทานุกรมของไทยได้กำหนดให้บัญญัติใช้คำว่า "เภสัชกรรม" แทนคำว่า "ปรุงยา" หรือ "ผสมยา"<ref>ภญ.รศ.ภรทิพย์ นิมมานนิตย์, "ประวัติการศึกษาเภสัชศาสตร์" '''การประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่น''', สมาคมนิสิตเก่าคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2553.</ref> จึงได้มีประกาศกระทรวงธรรมการให้มีการเปลี่ยนชื่อแผนกเป็น "แผนกเภสัชกรรม" ในสังกัดของคณะแพทยศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<ref>ราชกิจจานุเบกษา [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2476/D/290.PDF ประกาศกระทรวงธรรมการ เรื่อง แก้ไขความคลาดเคลื่อนประกาศขนานนามแผนกเภสัชกรรม] เรียกข้อมูลวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553</ref> ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 บังคับใช้ขึ้น โดยกำหนดจัดตั้งแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ มีฐานะเป็นแผนกอิสระ ในบังคับบัญชาโดยตรงของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับแผนกสถาปัตกรรมศาสตร์ในขณะนั้น เป็นหน่วยงานในบังคับบัญชาโดยตรงของมหาวิทยาลัย และได้ยกระดับวุฒิการศึกษาเป็น "ประกาศนียบัตรเภสัชกรรม (ป.ภ.)" เทียบเท่าอนุปริญญา โดยให้คณบดีคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รักษาการตำแหน่งหัวหน้าแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์อีกตำแหน่งหนึ่ง
 
การปรับปรุงการศึกษาทางเภสัชศาสตร์ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยในปี [[พ.ศ. 2479]] ได้ยกระดับหลักสูตรเป็น "อนุปริญญาเภสัชศาสตร์" ใช้ระยะเวลาศึกษา 3 ปี เป็นหลักสูตรที่ครอบคลุมเนื้อหาวิชาทางเภสัชศาสตร์อย่างกว้างขวาง และนำเอาวิชาทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาบรรจุในหลักสูตรดังกล่าวโดยเริ่มใช้ในปีการศึกษาต่อมา และมีการแบ่งแผนกวิชาต่างๆ ขึ้นตามกฎหมาย แม้กระนั้นการศึกษาเภสัชศาสตร์ก็ไม่ได้รับความสนใจต่อผู้เข้าการศึกษามากนัก จนกระทั่ง [[ตั้ว ลพานุกรม|เภสัชกร ดร. ตั้ว ลพานุกรม]] อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐการในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์อีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อวันที่ [[19 พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2482]]<ref name="กระถิน"/> และได้จัดการศึกษาเภสัชศาสตร์ขึ้นอย่างเต็มรูปแบบโดยยกระดับหลักสูตรเภสัชกรรมศาสตร์จนถึงระดับปริญญา (หลักสูตร 4 ปี) และจัดสร้างอาคารเรียนถาวรของแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเปิดใช้ตั้งแต่วันที่ [[24 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2484]] (อาคาร[[คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย|คณะศิลปกรรมศาสตร์]]ในปัจจุบัน)<ref name="3.1">[http://www.pharm.chula.ac.th/รายงาน/บทที่%203.1.pdf รายงานวิจัยบุคคลสำคัญทางเภสัชศาสตร์] คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกข้อมูลวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552</ref>
 
[[ไฟล์:ห้องสมุด เภสัช จุฬาฯ ตึกเก่า.jpg|thumb|right|250px|ห้องสมุด คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (อาคารคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในปัจจุบัน)]]
=== 2486 - 2515 คณะเภสัชกัมสาตร มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ===
 
ในปี [[พ.ศ. 2486]] มีการจัดตั้ง[[มหาวิทยาลัยมหิดล|มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์]] ในฐานะเป็นกรมหนึ่งของ[[กระทรวงสาธารณสุข]] และได้โอนย้ายแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปเป็นคณะเภสัชกัมสาตร มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ พร้อมกับแผนกทันตแพทยศาสตร์และแผนกสัตวแพทยศาสตร์ อย่างไรก็ดี อัตรากำลังและสถานที่ที่ใช้ทำการสอนยังคงอยู่ภายในบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่นเดิม พร้อมกันนั้นได้เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทและพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี ตั้งแต่ [[พ.ศ. 2500]] โดยต้องศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเวลา 2 ปี และคณะเภสัชศาสตร์เภสัชกัมสาตร มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เป็นเวลา 3 ปี มีการกำหนดจำนวนเวลาฝึกงานทั้งในโรงงานเภสัชกรรม ร้านยา และสถานพยาบาล และในช่วง พ.ศ. 2509 มีความต้องการให้เภสัชกรเข้ามาดูแลระบบสาธารณสุขและการใช้ยาของประชาชนมากขึ้น จึงได้มีการเพิ่มเติมวิชาทางเภสัชกรรมคลินิกและโรงพยาบาลในหลักสูตรการศึกษา<ref>95 ปี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ''95 ปี เภสัชศาสตร์ในประเทศไทย''</ref><ref>ภก.รศ.ประโชติ เปล่งวิทยา. ''87 ปี การศึกษาเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย''</ref>
 
ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2505 ได้มีหนังสือจากกระทรวงมาถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ว่า ขอให้มีการเปิดรับนักศึกษาสาขาเภสัชศาสตร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนั้นเปิดรับนักศึกษาปีละประมาณ 100 คน แต่ด้วยสภาพพื้นที่ของคณะเภสัชศาสตร์ไม่สามารถขยายรับนักศึกษาเพิ่มได้อีก จึงได้บรรจุโครงการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์แห่งใหม่ขึ้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 2 และมีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์แห่งใหม่คือ [[คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล|คณะเภสัชศาสตร์ พญาไท มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์]] บริเวณถนนพญาไท แล้วให้ใช้หลักสูตรเดียวกับคณะเภสัชศาสตร์เดิม และมีการสับกำลังอัตราคณาจารย์กัน<ref>95 ปี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</ref>
 
วันที่ [[2 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2512]] มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหิดลประกาศใช้หลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนาม "มหิดล" แทนชื่อ "มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์" คณะเภสัชศาสตร์จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล" ต่อมามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ได้โอนคณะเภสัชศาสตร์แห่งนี้ (ณ ตำบลวังใหม่) กลับเข้าสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 118 ลงวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2515<ref>[http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2515/A/060/1.PDF ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 118 ลงวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2515] เรียกข้อมูลวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552</ref> จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" จวบจนปัจจุบัน และได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2538 (ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 118 ลงวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2515 ว่าด้วยการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์และคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกใช้บังคับในระหว่างที่มีการปกครองโดยคณะปฏิวัติและใช้ชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติ สมควรปรับปรุงรูปแบบและบทบัญญัติของกฎหมายตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวให้เป็นพระราชกฤษฎีกา เพื่อให้เป็นไปตามวิธีการตรากฎหมายในระบบปกติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้)<ref>http://www.lawreform.go.th/lawreform/images/th/legis/compe/th/decree/2538/a820-2A-2538-001.htm</ref>
บรรทัด 45:
<!--[[ไฟล์:อาคารเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.jpg|thumb|left|250px|ด้านหน้าอาคารเภสัชศาสตร์]] -->
 
เมื่อย้ายสังกัดเข้าสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบริหารและระบบติดตามการเรียนการสอน และการนับหน่วยกิตตามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนปัญหาด้านสถานที่ของคณะที่ไม่เอื้อต่อการเรียนการสอนและการขยายจำนวนนิสิต ทำให้คณะมีโครงการจัดสร้างอาคารใหม่ขึ้นในบริเวณใกล้เคียงอาคารหลังเดิม แต่อย่างไรก็ดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยมีแนวคิดการสร้าง "Medical Square" ในพื้นที่การศึกษาที่ติดต่อกับสยามสแควร์ซึ่งมีคณะทันตแพทยศาสตร์และคณะสัตวแพทยศาสตร์อยู่แล้ว จึงมีโครงการสร้างอาคารคณะเภสัชศาสตร์หลังใหม่ในบริเวณใหม่ดังกล่าว<ref> 80 ปี เภสัชศาสตร์, 2537</ref> การก่อสร้างเสร็จสิ้นในปี [[พ.ศ. 2525]] และได้ย้ายสถานที่ทำการเรียนการสอนคณะเภสัชศาสตร์ไปยังอาคารแห่งใหม่บริเวณ[[สยามสแควร์]]
 
คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดโครงการเภสัชกรคู่สัญญาโดยใช้ทุนเป็นเวลา 2 ปี ในวันที่ [[20 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2527]]<ref>[http://www.moph.go.th/ops/thrd/thrd7/..%5Cthrd6/idea6.htm ทางเลือกโครงการเภสัชกรคู่สัญญา : ผลกระทบด้านกำลังคนเภสัชกร] วารสารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (หน้า 80 - 92) เมษายน - มิถุนายน 2543</ref> โดยคณะเภสัชศาสตร์ยังคงปรับปรุงการศึกษาอย่างสืบเนื่อง ในปี [[พ.ศ. 2532]] ได้เปิดหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต 3 สาขา และในปีถัดมาได้ปรับปรุงหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตเป็นลักษณะกึ่งเฉพาะทาง 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาเภสัชกรรมโรงพยาบาลและเภสัชกรรมคลินิก, สาขาเทคโนโลยีการผลิตยา, สาขาวิจัยและพัฒนาเภสัชภัณฑ์, สาขาเภสัชกรรมชุมชนและบริหารเภสัชกิจ และสาขาเภสัชสาธารณสุข และมีการจัดสร้างอาคารเรียนและปฏิบัติการแห่งใหม่เพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนาเภสัชศาสตร์ในสยามประเทศครบ 80 ปีโดยใช้ชื่อ "อาคาร 80 ปีเภสัชศาสตร์" ในปี พ.ศ. 2536